ในเวลานี้ ภายในวงล้อมของข่ายอาคมเก้ามังกรทลายพิภพ คู่อสูรวายุทมิฬกลายเป็นซากศพไร้ชีวิตไปแล้วและเห็นได้ชัดว่าซากศพของพวกเขายังคงสดใหม่
ใบหน้าของพวกเขาดูสงบนิ่งและบนร่างกายไม่ปรากฏบาดแผลใด หากมิใช่เพราะเสียงกรีดร้องแหลมเมื่อครู่ ฉินอวี้โม่ก็คงไม่รับรู้ด้วยซ้ำว่าพวกเขาเสียชีวิตไปแล้ว
“พวกเขาตายไปแล้ว !”
สีหน้าของเหลิ่งซวงเสวี่ยและเมิ่งเถียนถอดสีเช่นกัน พวกนางทราบดีว่าข่ายอาคมที่ฉินอวี้โม่วางไว้มีความน่าสะพรึงกลัวเพียงใด อย่างไรก็ตาม เห็นได้ชัดว่าใครสักคนฝ่าทะลวงมันเข้าไปและสังหารคู่อสูรวายุทมิฬโดยที่ฉินอวี้โม่ไม่รู้ตัวด้วยซ้ำ มิอาจคาดเดาได้เลยว่าความแข็งแกร่งของคนผู้นั้นจะอยู่ในระดับที่น่าสะพรึงกลัวมากเพียงใด…
“ข้าจะเข้าไปสำรวจดูสักหน่อย”
หลังจากครุ่นคิดครู่หนึ่ง ฉินอวี้โม่ก็ตัดสินใจทันทีว่าจะต้องเข้าไปดูสิ่งที่เกิดขึ้นให้เห็นกับตาและตรวจสอบสาเหตุการตายของคนทั้งสอง
“ศิษย์น้องอวี้โม่ เราจับกลุ่มไปด้วยกันจะดีกว่า”
ตอนนี้ความแข็งแกร่งของเสิ่นเสี่ยวไห่ฟื้นฟูกลับมาพอสมควรแล้วและอาการบาดเจ็บก็ดีขึ้นมาก เขาจึงไม่รอช้าและกล่าวพร้อมลุกขึ้นยืนทันที
แม้จะมิทราบว่าจุดประสงค์ของอีกฝ่ายคือสิ่งใด อย่างไรก็ตาม สิ่งที่ไม่ต้องสงสัยเลยก็คือพลังอำนาจของอีกฝ่ายจะต้องน่าพรั่นพรึงมากเป็นแน่ หากไปที่นั่นเพียงลำพัง ฉินอวี้โม่อาจจะตกอยู่ในอันตราย ทว่าหากไปด้วยกัน อย่างน้อยที่สุดทุกคนก็พอจะช่วยเหลือซึ่งกันและกันได้ในระดับหนึ่ง
“ศิษย์พี่เสิ่น หากข้าเดาไม่ผิด คนผู้นั้นคงจะเกรงกลัวบางอย่างในเรือนที่เราอยู่ตอนนี้และไม่กล้าบุกเข้ามา การที่ทุกคนอยู่ที่นี่ถือเป็นที่ปลอดภัยแล้ว ถึงอย่างไรสองคนนั้นก็ตายไปแล้วและคนผู้นั้นคงจะกำลังดักรออยู่ที่นั่น หากข้าไปคนเดียว ต่อให้เผชิญกับปัญหา การหลบหนีเอาตัวรอดก็จะง่ายกว่ามาก”
ฉินอวี้โม่โบกมือปัดและกล่าวปฏิเสธ เรือนที่ทุกคนอยู่ในตอนนี้ถือเป็นสถานที่ที่ปลอดภัยที่สุดแล้ว แม้ไม่มีการป้องกันใดที่เห็นได้ชัดและดูเหมือนเป็นเรือนธรรมดาทั่วไป นางก็สัมผัสได้ว่ามันไม่ธรรมดาอย่างที่เห็นภายนอกอย่างแน่นอน
“อวี้โม่พูดถูก นางไปคนเดียวจะปลอดภัยกว่ามาก พวกเราเพียงรออยู่ที่นี่และรอให้นางกลับมาจะดีกว่า”
เหลิ่งซวงเสวี่ยและเมิ่งเถียนกล่าวขึ้นพร้อมกัน พวกนางตระหนักถึงความสามารถของฉินอวี้โม่เป็นอย่างดี แม้ความแข็งแกร่งภายนอกอาจไม่มากเท่าพวกตน ทว่าพลังในการต่อสู้ที่แท้จริงของนางก็เหนือชั้นกว่าทุกคนในที่แห่งนี้อย่างแน่นอน ต่อให้เผชิญหน้ากับศัตรู นางก็มีโอกาสที่จะเอาตัวรอดได้มาก
“ถ้าเช่นนั้นก็ระวังตัวด้วยล่ะ”
เสิ่นเสี่ยวไห่ไม่คัดค้านและกำชับกับฉินอวี้โม่อย่างจริงจัง
เถียนซินและคนอื่น ๆ ก็ย้ำเตือนให้ฉินอวี้โม่ระวังตัวเช่นเดียวกัน ทุกคนไม่ต้องการที่จะกลายเป็นภาระตัวถ่วงของนาง
จากนั้นฉินอวี้โม่ก็ออกจากเรือนและมุ่งหน้าไปยังเรือนหลังที่วางข่ายอาคมไว้อย่างรวดเร็ว
นางไม่รอช้าขณะโบกมือเพื่อถอนข่ายอาคมเก้ามังกรทลายพิภพเพื่อก้าวเข้าไปสำรวจสาเหตุการตายของสองคนในนั้น
เวลานี้ จิตวิญญาณของเฮยเฟิงและซวงซาหายสาบสูญไปอย่างไร้ร่องรอยและสูญเสียพลังชีวิตไปทั้งหมดแล้ว ยิ่งไปกว่านั้น ภาพที่เห็นในตอนนี้ก็บ่งบอกอย่างชัดเจนว่าพวกเขาไม่ได้ดิ้นรนขัดขืนใด ๆ ก่อนตาย เห็นได้ชัดว่าพลังของศัตรูผู้นั้นแกร่งกล้าพอที่จะบดขยี้พวกเขาได้ง่าย ๆ
ด้วยการที่ความแข็งแกร่งของเฮยเฟิงและซวงซาอยู่ในขอบเขตเทพเซียนหกดาราเป็นอย่างต่ำ เพียงเท่านี้ก็พิสูจน์ให้เห็นแล้วว่าพลังของผู้ที่สังหารพวกเขาจะต้องเหนือยิ่งกว่าขอบเขตเทพเซียนเสียอีกและบรรลุไปถึงขอบเขตที่สูงกว่าอย่างแน่นอน
ฉินอวี้โม่อดขมวดคิ้วมุ่นไม่ได้ ด้วยความสามารถของพวกนาง หากต้องประจันหน้ากับศัตรูที่ทรงพลังเช่นนั้น เกรงว่าพวกนางจะไร้หนทางในการตอบโต้
ขณะที่นางกำลังจะกลับไปเพื่อหารือกับเสิ่นเสี่ยวไห่และทุกคนเกี่ยวกับสิ่งที่เกิดขึ้น จู่ ๆ ฉินอวี้โม่ก็รู้สึกว่ามีพลังประหลาดบางอย่างที่เข้าครอบงำร่างของนางจนขยับเขยื้อนไม่ได้
พลังประหลาดดังกล่าวพุ่งตรงเข้าไปในห้วงจิตของนางราวกับต้องการจะกลืนกินจิตวิญญาณของนางซึ่งทำให้ฉินอวี้โม่รู้สึกอึดอัดอย่างที่สุด
“ไสหัวไปให้พ้น !”
นางเปล่งเสียงออกไปขณะพลังของกายเทพมายาแผ่ไปทั่วร่างเพื่อปัดเป่าภัยคุกคามที่เกิดจากพลังประหลาดนั้น
ทันทีที่การเคลื่อนไหวกลับคืนเป็นอิสระ ฉินอวี้โม่ก็พุ่งตรงไปยังทิศทางที่จากมาก่อนหน้านี้ทันทีในขณะที่วางข่ายอาคมรอบตัวอย่างต่อเนื่อง
พลังดังกล่าวก็ไล่ตามนางไปอย่างใกล้ชิด หากมิใช่เพราะความเร็วและทักษะการเคลื่อนไหวที่คล่องแคล่วของฉินอวี้โม่ เกรงว่านางคงจะถูกพลังนั้นคว้าไว้ได้และเสียท่าในที่สุด
พลังนั้นยังคงตามมาไม่หยุดจนกระทั่งนางมาถึงเรือนหลังเดิมและเข้าไปหลบซ่อนตัวข้างใน
เป็นจริงดังที่คิดไว้ เรือนหลังนี้มีความพิเศษบางอย่างที่ทำให้พลังชั่วร้ายนั้นหวาดกลัว
“พี่อวี้โม่ เกิดอะไรขึ้น ?”
เถาเซี่ยวเซี่ยวรออยู่ใกล้ประตูอย่างใจจดใจจ่อ เมื่อเห็นฉินอวี้โม่ปรี่กลับมาอย่างร้อนรน นางก็พุ่งตัวเข้าไปหาและเอ่ยถามทันที
ทุกคนก็ตามไปเช่นกันและมองฉินอวี้โม่ด้วยแววตาเป็นกังวล
“นั่นมันอะไร ?!”
ทันใดนั้น เถียนซินอุทานลั่นขึ้นมาและทุกคนหันขวับไปมองเป็นตาเดียว ท่ามกลางความว่างเปล่าตรงหน้า ดวงตาสีแดงโลหิตคู่หนึ่งกำลังจับจ้องตรงมาที่คณะศิษย์ของนิกายหมื่นกระบี่อย่างไม่กะพริบตา ร่างของสิ่งนั้นซ่อนเร้นอยู่ในความว่างเปล่าโดยสมบูรณ์และมองเห็นได้เพียงดวงตาคู่เดียวซึ่งทำให้ทุกคนหวาดหวั่นใจขึ้นมา
ทุกคนอดไม่ได้ที่จะถอยร่นไปอย่างพร้อมเพรียง ทว่าดวงตาคู่นั้นก็หายวับไปอย่างรวดเร็วราวกับไม่เคยปรากฏมาก่อน
“นั่นมันตัวอะไรกัน ?”
ดวงตาของสวีเยว่เบิกกว้างและกล่าวด้วยใบหน้าที่หวาดกลัว พลังที่อัดแน่นในดวงตาสีแดงคู่นั้นน่าสะพรึงกลัวจนนางทำได้เพียงสบตากับคนอื่น ๆ และยืนแข็งทื่อเท่านั้น นับประสาอะไรกับการต่อสู้กับมัน
“ข้าก็ไม่ทราบเหมือนกัน มันคงจะเป็นตัวการเบื้องหลังของเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นที่นี่”
ฉินอวี้โม่ส่ายศีรษะอย่างจนปัญญาก่อนนำทุกคนเข้าไปในเรือน
“เฮยเฟิงและซวงซาถูกพลังนั่นช่วงชิงจิตวิญญาณไปโดยตรงและไม่มีโอกาสต่อสู้ด้วยซ้ำ หากข้าเดาไม่ผิด พลังนั่นคงจะมีความสามารถในการโจมตีและควบคุมจิตวิญญาณของคู่ต่อสู้ได้โดยตรง”
ฉินอวี้โม่กล่าวถึงสถานการณ์ของบุรุษชุดดำทั้งสองพลางขมวดคิ้วมุ่น
นี่เป็นครั้งแรกที่นางได้เผชิญกับปีศาจร้ายที่สามารถโจมตีจิตวิญญาณได้โดยตรง สำหรับจอมยุทธ์เช่นพวกนาง หากแข็งแกร่งมากพอ พวกนางก็สามารถจู่โจมจิตวิญญาณของคนอื่นได้ อย่างไรก็ตาม การทำลายจิตวิญญาณของอีกฝ่ายไปโดยตรงเป็นเรื่องที่แตกต่างออกไปอย่างสิ้นเชิง เพราะเหตุนั้น นางจึงสันนิษฐานได้ว่าเจ้าของดวงตาสีแดงโลหิตนั้นคงจะมิใช่มนุษย์
“หากมิใช่มนุษย์ แล้วมันเป็นอสูรประเภทใดกัน ?”
เถียนซินกล่าวด้วยความฉงนงุนงง นางไม่เคยพบเห็นอสูรเช่นนั้นแม้ในตำราก็ตาม
“ข้าไม่เคยได้ยินเกี่ยวกับอสูรที่สามารถช่วงชิงจิตวิญญาณได้ อย่างไรก็ตาม ข้าเคยอ่านเจอบันทึกบางอย่างที่ใกล้เคียงกัน”
เถาเซี่ยวเซี่ยวกล่าวขึ้นทันที แม้ยังเยาว์วัย นางก็มีความรู้ที่กว้างขวางในหลายด้าน โดยเฉพาะจากการที่นางชอบอ่านตำราเกร็ดความรู้ต่าง ๆ อยู่เป็นประจำ ตอนนี้นางจึงนึกถึงบางสิ่งที่เกี่ยวข้องกับเหตุการณ์ตรงหน้าขึ้นมาได้
“บันทึกเกี่ยวกับอะไรหรือ ?”
สายตาของทุกคนมองไปที่เถาเซี่ยวเซี่ยวอย่างพร้อมเพรียงและรอให้นางอธิบายต่อ
“นักล่าวิญญาณ !”
เถาเซี่ยวเซี่ยวกล่าวอย่างช้า ๆ ทว่าทำให้สีหน้าของฉินอวี้โม่และเสิ่นเสี่ยวไห่เปลี่ยนไปทันที
‘นักล่าวิญญาณ’ แน่นอนว่าพวกนางก็เคยได้ยินมาบ้างเช่นกัน อย่างไรก็ตาม บันทึกในอดีตกล่าวว่านักล่าวิญญาณไม่ได้มีตัวตนอยู่ในโลกมนุษย์ หากแต่เป็นนรกขุมพิเศษ นักล่าวิญญาณไม่มีร่างกายและสามารถปลดปล่อยพลังโจมตีทางจิตวิญญาณที่น่าสะพรึงกลัวได้ ยิ่งไปกว่านั้นก็ไม่มีผู้ใดที่สามารถต้านทานพลังการโจมตีดังกล่าว เว้นเพียงแต่เป็นจอมยุทธ์ผู้ที่แกร่งกล้าที่สุดเท่านั้น
สถานการณ์นี้คล้ายคลึงกับสิ่งที่เกิดขึ้นกับคู่อสูรวายุทมิฬ
“กล่าวกันว่านักล่าวิญญาณมักวนเวียนอยู่ในพื้นที่อันตรายบางแห่งเพื่อเก็บเกี่ยวจิตวิญญาณของผู้ที่ล้มตาย เมื่อรวบรวมได้มากพอ พวกมันจะสามารถควบแน่นจิตวิญญาณเหล่านั้นให้กลายเป็นลูกปัดวิญญาณและสร้างกายเนื้อขึ้นมาได้ซึ่งจะดูไม่แตกต่างจากคนทั่วไป ทว่าพลังของพวกมันจะน่าสะพรึงกลัวยิ่งกว่าสิ่งมีชีวิตอื่น ๆ ในดินแดน เพราะเหตุนั้นข้าจึงคิดว่าศัตรูที่พวกเรากล่าวถึงคงจะเป็นนักล่าวิญญาณเหล่านั้น !”
เถาเซี่ยวเซี่ยวกล่าวต่อและใบหน้าของนางเริ่มแสดงความตึงเครียดมากขึ้น
“แม่เจ้า เราจะทำอย่างไรกันดี ?!”
เมื่อได้ทราบว่าศัตรูที่ต้องเผชิญหน้าถือได้ว่าเป็นสิ่งที่น่าสะพรึงกลัวที่สุดในโลกหล้า ทุกคนก็ตื่นอกตกใจกันขึ้นมา นักล่าวิญญาณเป็นตัวตนที่น่าหวาดกลัวอย่างที่สุดและนี่เป็นสิ่งที่ทุกคนตระหนักดี
ด้วยความแข็งแกร่งในปัจจุบันของพวกนาง เกรงว่าการที่พวกนางมาที่นี่จะเป็นการนำศีรษะมาถวายโดยแท้…