บทที่ 1973 เศษสวะ

พิชิตสวรรค์ ทะยานฟ้า

เหมียวอี้สัมผัสได้ถึงความทรมานของตั๊กแตนทมิฬ อยากจะร่ายอิทธิฤทธิ์กันดินแดนหยางบริสุทธิ์ไม่ให้รบกวนตั๊กแตนทมิฬ เพียงแต่คิดไปคิดมาก็ยังเหยียบลงพื้น แล้วเก็บตั๊กแตนทมิฬเอาไว้เสียเลย แล้วใช้วิธีวิ่งบนพื้นอย่างรวดเร็ว

ระดับความเข้มข้นของธาตุไฟบนพื้นทำให้เหมียวอี้ปลาบปลื้ม ตั้งแต่อยู่ข้างนอกหลายปีก็ไม่เคยได้สัมผัสกับธาตุไฟหยางที่เข้มข้นแบบนี้อีกเลย สิ่งนี้ไม่กี่ยวข้องกับขนาดเพลิงที่ถูกเผาไหม้ ถึงขั้นไม่เกี่ยวข้องกับอุณหภูมิด้วย แดนมรณะดึกดำบรรพ์แห่งนี้มหัศจรรย์จริงๆ ไม่รู้ว่าปราณชั่วร้ายที่เข้มข้นมาจากไหน ไม่รู้ว่าธาตุไฟที่เข้มข้นมาจากไหน บางทีอาจจะเกี่ยวข้องกับรูปกรวยในดาราจักรอย่างที่เทพมังกรบอก

ภูเขาสูงที่ดูโบราณเรียบง่าย ตั้งตระหง่านอย่างยิ่งใหญ่อลังการ แข็งแกร่งราวกับหอคอยทมิฬดึกดำบรรพ์ปรากฏเบื้องหน้า หินหนืดหลายสายที่ยาวเหยียดเหมือนมังกรไหลลงจากภูเขาอย่างช้าๆ ลักษณะภูเขาสูงชันอันตราย สูงโดดตะปุ่มตะป่ำ เหมียวอี้วิ่งไปข้างหน้าอย่างบ้าคลั่งตลอดทาง สุดท้ายก็กระโจนตัวขึ้นมา ไปหยุดยืนอยู่บนเนินหิน

ใต้หน้าผาที่อยู่ข้างหน้า ก็คือทะเลหินหนืดที่เดือดปุดๆ สีแดงเดือดแสบตา ฟองหินหนืดถูกกระตุ้นขึ้นมาไม่หยุด แล้วก็ระเบิดไม่หยุดด้วย

ขณะทอดสายตามองภูเขามหึมาสีดำขลับที่เต็มไปด้วยกลิ่นอายโบราณ เหมียวอี้ที่ยืนอยู่ริมสระหินหนืดรู้สึกว่าตัวเองเล็กน้อยราวกับฝุ่นผง

ในสระหินหนืด เหมือนสัมผัสได้ถึงการรุกรานจากโลกภายนอก สัตว์ประหลาดลอยขึ้นจากหินหนืดตัวแล้วตัวเล่า ทั้งยังมีชายหนุ่มผมแดง ทั้งหมดล้วนเป็นวิญญาณอัคคี

มีวิญญาณอัคคีบางส่วนค่อนข้างฉุนเฉียวกับการมาของเหมียวอี้ ทำแก้มป่องเหมือนต้องการจะพ่นอะไรบางอย่างเพื่อโจมตีใส่เหมียวอี้ แต่กลับมีวิญญาณอัคคีที่รู้จักเหมียวอี้โบกมือห้าม ดังนั้นวิญญาณอัคคีกลุ่มหนึ่งที่ลอยอยู่บนทะเลหินหนืดจึงมองเหมียวอี้ที่อยู่บนหน้าผาอย่างเงียบๆ

เหมียวอี้จ้องสภาพในทะเลหินหนืดพลางยิ้มบางๆ แล้วก็เงยหน้ามองภูเขาสูงสีดำขลับลูกใหญ่นั่นอีก นี่ก็คือถ้ำมังกร ทันใดนั้นก็เงยหน้าคำรามขึ้นฟ้า “อ๋าว!”

“อ๋าว…” จู่ๆ ก็มีเสียงมังกรคำรามดังขึ้นพักหนึ่ง ดังก้องทั่วหุบเขาฟ้าไม่ดับสูญ ราวกับดังก้องขึ้นไปถึงสวรรค์ชั้นเก้า

เหมียวอี้อึ้งไปชั่วครู่ แล้วใช้ดวงตาอิทธิฤทธิ์จ้องไปทางโพรงที่ดำมืดบนภูเขา เห็นเพียงหัวของสัตว์ประหลาดโผล่ออกมา

สัตว์ประหลาดหัวใหญ่ที่มีดวงตาสีแดงเหมือนจะจ้องเขาเช่นกัน จากนั้นสัตว์ประหลาดก็โผล่ออกมาทั้งตัว เหมียวอี้ตกใจมาก เป็นมังกรยักษ์สีดำตัวหนึ่ง หน้าตาดุร้าย มีพลังอำนาจ ห้าวหาญเกรียงไกร มันบินวนภูเขาโบราณรอบหนึ่ง แล้วสั่นหัวส่ายหน้าพุ่งขึ้นไปบนเมฆอย่างรวดเร็ว พอขึ้นไปบนเมฆแล้วก็ลากเสียงยาวคำราม “อ๋าว”

เหมียวอี้ตกใจไม่เบาแล้วจริงๆ ในถ้ำมังกรยังซ่อนมังกรยักษ์ไว้ด้วยเหรอ เป็นมังกรที่แท้จริง ไม่น่าเชื่อว่าครั้งก่อนเขาจะไม่สังเกตเห็น

บนฟ้าสูงมีลมพัดเมฆเคลื่อน มีเสียงฟ้าร้องเป็นพักๆ สายฟ้าขวักไขว่ เหมียวอี้ขมวดคิ้ว สายฟ้าเหมือนทำให้เขาตระหนักอะไรบางอย่างได้ เพียงแต่ไม่กล้าแน่ใจ

ทันใดนั้นก็เห็นจุดดำๆ พุ่งลงมาจากสายฟ้า มังกรยักษ์สีดำพุ่งลงมาหาเขาราวกับสายฟ้า ลักษณะท่าทางแบบนั้นเหมือนจะโจมตีทะลุแผ่นดิน

เหมียวอี้ที่เงยหน้ามองพลันเบิกตากว้าง ระแวดระวังตัวอย่างสูง

วูบ! มังกรยักษ์สีดำพลันเหยียบลงพื้น กรงเล็บทั้งสี่แนบติดพื้น กำจัดแรงปะทะระหว่างร่างกายกับพื้น ควบคุมแรงได้พอดี ไม่มีความเสียหายใดๆ บนพื้นดิน เพียงแต่ลมแรงพัดกระพือหินก้อนใหญ่บนพื้นให้ปลิวว่อนขึ้นมา

เกล็ดย้อนแผ่นใหญ่ที่เผยอเล็กน้อยบนร่างมังกรยักษ์ปิดแล้ว กระแสลมแรงที่หมุนวนรอบกายก็หายไปเช่นกัน หัวขนาดใหญ่ของมังกรดำหมอบลงช้าๆ ยื่นปากใหญ่ที่มีฟันยาวน่าเกลียดไปตรงหน้าเหมียวอี้ แล้วจู่ๆ ก็เปล่งเสียงโวยวาย “นายท่าน ในที่สุดท่านก็กลับมาแล้ว”

แลบลิ้นใหญ่สีแดงจะเลียบนตัวเหมียวอี้ เพียงแต่ยังไม่ทันได้เลียก็หยุดแล้ว ไม่กล้าเข้าไปข้างหน้าอีกแล้ว

เหมียวอี้ถือทวนเกล็ดย้อนไว้ในมือ ปลายทวนแหลมชี้ไปที่มัน

“เหอะๆ!” มังกรดำหัวเราะเจ้าเล่ห์ หดลิ้นใหญ่กลับเข้าปาก

“เฮยทั่น?” เหมียวอี้ไม่แน่ใจ

“ใช่แล้วๆ!” มังกรดำใช้กรงเล็กข้างหนึ่งตบหน้าอก แล้วกล่าวอย่างตื่นเต้นฮึกเหิม “ข้าคือโจรอ้วนไง ท่านจำข้าไม่ได้แล้วเหรอ? ก็ใช่น่ะสิ ตอนนี้ข้าเปลี่ยนเป็นห้าวหาญเกรียงไกรขนาดนี้ จะแปลกหูแปลกตาไปก็ถือว่าสมเหตุสมผล” มันเงยหน้าพูด ท่าทางเย่อหยิ่งลำพองใจ

เหมียวอี้กลอกตามองบน เก็บทวนในมือแล้ว แน่ใจได้แล้วว่ามันคือเฮยทั่น ความไร้ยางอายของเฮยทั่นก็เห็นๆ กันอยู่ จำได้ง่ายมาก

เมื่อเห็นทั้งสองจำกันได้แล้ว วิญญาณอัคคีที่อยู่ในสระหินหนืดก็ทยอยกันจมลงไปในหินหนืดแล้ว

เหมียวอี้กวาดสายตามองเบื้องล่าง แล้วก็มองที่ตัวมังกรดำอีก “ทำไมเจ้ากลายเป็นแบบนี้ไปแล้ว?”

“มังกรไง! ตอนนี้ข้าเป็นมังกรอย่างแท้จริงแล้ว วิวัฒนาการเป็นมังกรอย่างแท้จริงแล้ว ท่านไม่ดีใจเหรอ?” มังกรดำทำท่าเหมือนไม่ได้คุยกับคนมานานมาก พออ้าปากก็พูดมากจนหุบปากไม่ลงแล้ว “นายท่าน ท่านไม่รู้หรอก ตอนที่วิวัฒนาการเป็นมังกรอย่างแท้จริง รสชาตินั้นทรมานมากจริงๆ…”

เหมียวอี้ตั้งใจฟังขั้นตอนที่เฮยทั่นถอดรกเปลี่ยนกระดูก ฟังเจ้าสัตว์ตัวนี้เล่าขั้นตอนอันเจ็บปวดทรมานไร้ที่เปรียบ

พอเริ่มฟังไปก็ตกตะลึงนิดหน่อย ทั้งยังทนไม่ไหวด้วย บางทีก็รู้สึกเห็นใจ แต่สุดท้ายก็พบว่าเฮยทั่นช่างพูด บ่นไม่รู้จักจบจักสิ้น ทั้งยังชมตัวเองไม่หยุด เหมียวอี้เริ่มหมดความสนใจทีละนิด ไม่อยากฟังมันพูดไร้สาระต่ออีกแล้ว สายตามองไปที่ถ้ำมังกร แล้วจู่ๆ ก็กระโจนตัวลงจากหน้าผา ตกลงในทะเลหินหนืด วิ่งราวกับอยู่บนพื้นหญ้า วิ่งขึ้นไปทางภูเขาใหญ่ตลอดทาง แล้วก็วิ่งขึ้นภูเขาไปอีก

“นี่ ข้ายังพูดไม่จบนะ…” มังกรดำโวยวาย แล้วก็บินตามไปทันที ไปเหยียบลงบนภูเขา จากนั้นก็ใช้กรงเล็บทั้งสี่วิ่งตะบึงตามอยู่ข้างกายเหมียวอี้ ระบายความในใจต่อไป

เหมียวอี้กระโดดลงตรงหน้าประตูใหญ่รูปหัวมังกรโบราณตรงไหล่เขา แล้วเดินก้าวยาวเข้าไป

มังกรดำตามหลังเข้าไป ยังคงบ่นไม่หยุด

พอเข้ามาในตำหนักใหญ่ ลมเย็นสบายโผเข้าหน้า ธาตุไฟล่องลอย เรื่องปาฏิหารย์ในบ่อเพลิงมังกรยังคงอยู่ เพลิงเดือดที่บิดม้วนราวกับมังกรเพลิงเลื้อยอยู่ในสุญญากาศ

“หุบปาก!” เหมียวอี้ตะคอกบอกมังกรดำข้างกายที่บ่นไม่หยุด ตอนแรกยังตั้งตารอจะพบกับเฮยทั่นสักครั้ง แต่ใครจะคิดว่าพอพบกันแล้วเจ้าตัวนี้จะทำให้รำคาญ

เสียงกลืนน้ำลายดังเอื้อก เฮยทั่นหุบปากแล้ว กลอกลูกตาใหญ่มองเหมียวอี้ พบว่าลักษณะท่าทางของเหมียวอี้มีสง่าราศียิ่งกว่าในปีนั้น

“ผู้อาวุโส” เหมียวอี้กุมหมัดคารวะเงาเพลิงในบ่อเพลิงมังกร

เกิดเสียงดังพรึ่บ เพลิงเดือดที่เลื้อยอยู่เหนือบ่อเพลิงมังกรพลันกลายเป็นหัวมังกรขนาดใหญ่ที่ดุร้ายน่ากลัว ดวงตาเพลิงอันน่าตระหนกจ้องเหมียวอี้ เสียงอันน่าเกรงขามดังก้องอยู่ในตำหนัก “เจ้าหนุ่ม มาแล้วเหรอ”

เสียงที่ปนกันแปดเสียงดังขึ้นพร้อมกัน เหมียวอี้ได้ยินเสียงประหลาดอีกครั้ง ตอบด้วยความเคารพว่า “ใช่แล้ว ข้ากลับมาแล้ว”

หัวมังกรเพลิงถามว่า “เจ้ากลับมาทำไม? จะพาเจ้าสัตว์เลื้อยคลานกลับไปแล้วเหรอ? ถ้าเป็นอย่างนั้น ก็รีบพาเขาไปไวๆ เถอะ หลายปีมานี้ข้าอดทนกับเจ้าสัตว์เลื้อยคลานตัวนี้มาพอแล้ว ให้เขารีบไสหัวไป!”

เหมียวอี้ค่อนข้างพูดไม่ออก นึกไม่ถึงว่าพอเจอกับเศษวิญญาณเทพมังกร อีกฝ่ายก็เอ่ยปากขอร้องทันที ไม่รู้เหมือนกันว่าเฮยทั่นไปก่อเรื่องอะไรน่าแค้นนักนา

เฮยทั่นเบิกตากว่าง “ตาเฒ่าลูกผสม ข้าเป็นมังกรที่สมจริงกว่าเจ้าเสียอีก ไม่ใช่สัตว์เลื้อยคลาน ถ้าข้าไม่ไปแล้วเจ้าจะทำอะไรข้าได้?”

“ไสหัวไป!” หัวมังกรเพลิงพลันตะโกนอย่างเดือดดาล กรงเล็บมังกรข้างหนึ่งในบ่อเพลิงมังกรโจมตีเพลิงสายฟ้าออกมา ถล่มโจมตีบนตัวเฮยทั่น ทำให้เกิดแรงระเบิดคลั่ง

เฮยทั่นหลับตาลง ไปให้ตัวเองโดนโจมตีอยู่อย่างนั้น พอลืมตาขึ้นมาก็สั่นหัวส่ายหางกล่าวอย่างลำพองใจ “ตาเฒ่าลูกผสม นี่กำลังสะกิดให้ข้าคันหรือไง? เจ้าเชื่อมั้ยว่าข้ารื้อบ่อเพลิงมังกรนี่ได้?”

เมื่อเห็นเขาไม่เป็นอะไร เหมียวอี้ก็ค่อนข้างประหลาดใจ ไม่รู้ว่าตอนนี้พลังของเฮยทั่นไปถึงระดับไหนแล้ว

“เจ้ากล้าเหรอ?” หัวมังกรเพลิงตะคอก

เหมียวอี้จึงหันกลับมาตะคอกทันที “หุบปาก ห้ามเสียมารยาทกับท่านเทพมังกร!”

เฮยทั่นอธิบายทันทีว่า “นายท่าน ท่านไม่รู้หรอกว่าตาเฒ่าลูกผสมชั่วร้ายขนาดไหน ก่อนหน้านี้ข้าสู้คนแก่ไม่ได้เลยโดนเขารังแก เหยียดหยาม ตอนนี้เขาทำอะไรข้าไม่ได้แล้ว พวกเราไม่ต้องกลัวเขาแล้ว ตอนนี้เขาก็ทำได้แค่วางมาดพูดจาอวดดี ทุกครั้งที่ข้าจะเอาจริงรื้อบ่อเพลิงมังกรของเขา เขาก็จะขอร้องข้าทันที ข้าล่ะดูถูกตาเฒ่าลูกผสมที่ไม่ยอมดื่มสุราคำนับ อยากดื่มสุราทัณฑ์นี่ที่สุด”

“เจ้าสัตว์เลื้อยคลานนี่ชั่วร้ายมาก เวลาว่างๆ ก็ถ่อมาบ่นไม่รู้จักจบจักสิ้น  ทั้งชีวิตนี้ข้าไม่เคยเจอใครพูดมากขนาดนี้มาก่อน รำคาญจะตายอยู่แล้ว ถ้าเจ้าไม่ฟังเขาก็จะก่อกวนที่นี่ เจ้าดูรูปปั้นในตำหนักสิ ทั้งหมดนั่นถูกเขาลาย โครงกระดูกตอนข้ายังมีชีวิตอยู่ก็ถูกเขาโปรยเป็นเถ้าไปแล้วเหมือนกัน ทนจนไม่รู้จะทนยังไงแล้ว!” หัวมังกรเพลิงโมโห

ปาดเหบงื่อ! เหมียวอี้กวาดสายตามองหินแตกในตำหนัก แล้วปาดเหงื่อด้วยความอับอาย ก่อนหน้านี้เขาก็รู้สึกได้แล้วว่าเฮยทั่นพูดมาก ยิ่งไปกว่านั้น เขาก็รู้ดีว่าเฮยทั่นมีนิสัยอย่างไร สัตว์พาหนะของเขาไม่ได้มีสันดานดีอะไรเลยจริงๆ ดังนั้นเขาจึงจินตนาการได้เลยว่าตอนที่หัวมังกรเพลิงทำอะไรเฮยทั่นไม่ได้ เฮยทั่นจะกำเริบเสิบสานขนาดไหน คาดว่าคงกลั่นแกล้งจนเทพมังกรเฒ่านี่เหลืออด เพียงแต่เหมียวอี้ก็ยังปกป้อง “ผู้อาวุโส เขาไม่รู้ความ ท่านอย่าไปถือสาเลย”

“ข้าไม่จำเป็นต้องถือสาเจ้าสัตว์เลื้อยคลานนั่นหรอก หุบเขาฟ้าไม่ดับสูญเก็บเจ้าเศษสวะนี่ไว้ไม่ได้อยู่แล้ว เจ้าพามันออกไปเดี๋ยวนี้!” หัวมังกรเพลิงกล่าว

เฮยทั่นหัวเราะหึหึทันที “ตาเฒ่าลูกผสม เจ้าว่าใครเป็นเศษสวะ?” ยื่นกรงเล็บออกมา ยื่นไปทางบ่อเพลิงมังกร

“หยุดนะ!” หัวมังกรเพลิงตะคอก

“หยุดนะ!” เหมียวอี้รีบตะโกนห้ามเช่นกัน

“หฮ่า!” เฮยทั่นหดกรงเล็กกลับอย่างร่าเริง สายตาเต็มไปด้วยความลำพองใจ เหมือนชอบท่าทางเวลาเทพมังกรขอร้องมาก

หัวมังกรเพลิงกลับกล่าวด้วยเสียงคร่ำครวญ “ข้าก็เหมือนมังกรที่ลงน้ำตื้นแล้วโดนกุ้งหยอก ถ้าเป็นในปีนั้น ข้าตบเจ้ากรงเล็บเดียวก็ตายแล้ว!”

“มาเลยๆๆ ลองดูสิ ดูว่าใครจะตบใครตายก่อน!” เฮยทั่นเอ็ดตะโรทันที

ไม่ทันรอให้หัวมังกรเพลิงอาละวาด เหมียวอี้ก็ชี้ด่าเฮยทั่นแล้ว “ถ้ายังพูดมากอีก เชื่อมั้ยว่าข้าจะให้เจ้าอยู่ที่นี่ไปทั้งชีวิต!”

“เอ่อ…” เฮยทั่นหัวเราะแห้งแล้วกล่าวเสียงอ่อนปวกเปียกทันที “ล้อเล่น ล้อเล่นน่า ตาเฒ่าลูกผสมนี่ก็นะ ล้อเล่นด้วยไม่ได้เลย ไม่ได้เรื่อง” พูดจบก็หุบปาก ทั้งยังนอนหมอบลงอย่างผ่อนคลาย สะบัดโบกหางใหญ่ไปมาเป็นระยะ

เหมียวอี้เห็นเขามีท่าทางแบบนี้ ก็ถามว่า “โจรอ้วน เจ้ายังกลายร่างเป็นคนไม่ได้ไม่ใช่เหรอ?”

เฮยทั่นไม่คิดอย่างนั้น “ตอนนี้ยังไม่ได้ แต่เมื่อหลายร้อยปีก่อนข้าเพิ่งวิวัฒนาการเป็นมังกรแท้ได้ ช้าเร็วก็ต้องเกิดเรื่องนี้สักวันแน่นอน”

หัวมังกรเพลิงทำเสียงฮึดฮัด “ออกจากถ้ำมังกรแล้วข้าจะคอยดูว่าเจ้าจะกลายร่างเป็นคนยังไง รีบไสหัวไป!”

“ตาเฒ่าลูกผสม…” เฮยทั่นด่า แล้วทำท่าจะลุกขึ้นมาอีก แต่โดนเหมียวอี้ถลึงตาใส่ จึงหมอบลงไปอย่างซื่อสัตย์อีกครั้ง

เหมียวอี้เหล่ตามองหัวมังกรเพลิง เขาตำหนิไม่หยุดเหมือนกัน พบว่าตาแก่นี่ก็ปากจัดเหมือนกัน รู้อยู่แจ่มชัดว่าเอาชนะปากเฮยทั่นไม่ได้ แต่ก็ยังไม่ยอมแพ้ ทำไมต้องลำบากขนาดนั้น สงสัยบางเรื่องตัวเองก็แกว่งเท้าหาเสี้ยน

………………………