บทที่ 1974 ในความลึกลับ

พิชิตสวรรค์ ทะยานฟ้า

ที่จริงเหมียวอี้ก็รู้จักนิสัยเฮยทั่น การที่เฮยทั่นทำอย่างนี้ได้ จะต้องเกี่ยวข้องกับท่าทีของเทพมังกรเฒ่าที่มีต่อเฮยทั่นในตอนแรกแน่นอน เหมียวอี้อยากจะถามเทพมังกรเฒ่ามากว่า ทำไมไม่ชอบเฮยทั่นตั้งแต่แรกขนาดนี้ ก่อนหน้านี้ด่าเฮยทั่นสัตว์เลื้อยคลานว่าพอรับได้ แต่ถึงอย่างไรตอนนี้เฮยทั่นก็วิวัฒนาการเป็นมังกรแท้แล้ว นับว่าเป็นเผ่ามังกรเหมือนกัน นอกจากปัญหาเรื่องนิสัยของเฮยทั่น ท่านดูถูกมันจริงๆ เหรอ?

เหมียวอี้รู้สึกไปเองว่าเฮยทั่นก็ไม่ได้แย่ ทั้งยังมีข้อดีด้วย เพียงแต่สุดท้ายปัญหานี้ก็ยังไม่มีทางออก ไม่จำเป็นต้องทะเลาะกับเทพมังกรเฒ่า

มองไปรอบๆ แล้วถามว่า “แล้วหงส์น้อยตัวนั้นล่ะ?”

“นายท่านถามถึงนกไก่น้อยเหรอ?” เฮยทั่นเงยหน้าถาม

เหมียวอี้งงไปชั่วขณะ เดิมทีเรียกว่าไก่นกไม่ใช่เหรอ? ทำไมกลายเป็นนกไก่น้อยแล้วล่ะ? เขาพยักหน้า “ใช่แล้ว”

เฮยทั่นหมอบศีรษะแล้วพ่นลมหายใจมังกรที่หนักอึ้ง ตอบเหมือนเซ็งนิดหน่อยว่า “ไปแล้ว”

“ไปแล้วเหรอ?” เหมียวอี้ประหลาดใจ “ไปไหนแล้ว?”

หัวมังกรเพลิงตอบแทนให้ “กลับทุ่งน้ำแข็งโบราณไปแล้ว ที่นี่เหมาะแก่การฟักไข่เท่านั้น แต่การฝึกตนที่แท้จริง อยู่ที่รังหงส์เหมาะกับนางมากกว่า นางจะมาที่นี่เป็นบางครั้ง”

“อ้อ!” เหมียวอี้พยักหน้าสื่อว่าเข้าใจแล้ว “เดี๋ยวจะไปเยี่ยมที่รังหงส์สักหน่อย”

เฮยทั่นส่ายหางอย่างตื่นเต้นทันที “ไปด้วยกันสิ ไปด้วยกัน นายท่าน เดี๋ยวข้าไปส่งท่านเอง”

เหมียวอี้ไม่คัดค้านเรื่องนี้ แต่ใครจะคิดว่าหัวมังกรเพลิงจะพูดเหน็บแนมว่า “อีกฝ่ายไม่ต้อนรับสัตว์เลื้อยคลานอย่างเจ้าเลย ทำไมต้องไปหาเรื่องใส่ตัว?”

เฮยทั่นโมโห “ตาเฒ่าลูกผสม…” แต่พอเห็นเหมียวอี้ถลึงตา มันก็หมอบลงไปอีก

เหมียวอี้ชำเลืองมองทั้งสอง ฟังจากน้ำเสียงแล้วเหมือนจะรู้อะไรบางอย่าง เหมือนเฮยทั่นกับหงส์น้อยนั่นจะมีเรื่องอะไรบางอย่างกัน

ที่ตรงนั้นเงียบลงเล็กน้อย แล้วจู่ๆ หัวมังกรเพลิงก็ถามอีกว่า “เจ้าหนุ่ม หลายปีมานี้นอกแดนมรณะดึกดำบรรพ์มีความเปลี่ยนแปลงอะไรบ้าง?”

“มีความเปลี่ยนแปลงนิดหน่อย อิ๋งจิ่วกวงล้มแล้ว…” เหมียวอี้เล่าสถานการณ์ภายนอกให้ฟังคร่าวๆ

ไม่ใช่แค่หัวมังกรเพลิงเท่านั้นที่สนใจเรื่องนี้ เฮยทั่นก็สนใจเหมือนกัน

สำหรับอิ๋งจิ่วกวงอะไรนั่น หัวมังกรเพลิงก็แค่รู้จัก รู้ด้วยว่ายุคนี้อิ๋งจิ่วกวงมีตำแหน่งสูงและอำนาจมาก แต่กลับไม่เคยคบค้าอะไรด้วย ถึงอย่างไรเขาก็ถูกทำลายด้วยน้ำมือพระปีศาจหนานโปตั้งนานแล้ว ไม่ใช่คนยุคเดียวกับอิ๋งจิ่วกวงเลย ดังนั้นอิ๋งจิ่วกวงจะล้มหรือไม่ล้มก็ไม่ได้สำคัญสำหรับเขาสักเท่าไหร่ สิ่งที่เขาสนใจก็คือความเปลี่ยนแปลงของสถานการณ์ข้างนอก ว่าเป็นผลดีต่อเผ่ามังกรหรือเปล่า

พอได้ยินว่าข้างนอกกำลังสนใจเรื่องไม้ไม่ผุ ก็อดไม่ได้ที่จะยิ้มเย้ย “ไม้ไม่ผุ หาพบก็ดีน่ะสิ ถ้าจะให้ดีที่สุดก็ต้องทำให้ประมุขชิงสู้กับพวกเขาอย่างเอาเป็นเอาตาย”

เหมียวอี้เข้าใจความรู้สึกของเขา คาดว่าคงหวังให้เรื่องไม้ไม่ผุทำให้ใต้หล้าวุ่นวาย เผ่ามังกรจะได้ฉวยโอกาสหนีเอาตัวรอด เพียงแต่พอได้ยินเรื่องไม้ไม่ผุ เหมียวอี้ก็แววตาเป็นประกายเล็กน้อย “ไม่ทราบว่าผู้อาวุโสเคยเห็นไม้ไม่ผุหรือเปล่า?”

หัวมังกรเพลิงตอบว่า “เคยเห็น เมื่อนานมาแล้วบ่นทุ่งน้ำแข็งโบราณก็มีอยู่ต้นหนึ่ง เพียงแต่ตอนหลังมีคนมาเพราะอยากเป็นอมตะ ได้รับอนุญาตจากเผ่าหงส์ ตัดทิ้งไปแล้ว”

เหมียวอี้ปวดประสาท ไม่รู้ว่าต้นที่พิภพเล็กเป็นไม้ไม่ผุจริงหรือเปล่า ถ้าเป็นจริง เช่นนั้นก็คงได้เห็นผีแล้วจริงๆ ทำไมถึงโดนคนตัดไปเสียแล้วล่ะ? เขาอดไม่ได้ที่จะถามว่า “มีตำนานบอกไว้ว่า ถ้าดื่มเลือดจากไม้ไม่ผุก็จะอายุยืน ไม่จำเป็นต้องตัดทั้งต้นไม่ใช่เหรอ?”

หัวมังกรเพลิงทำเสียงฮึดฮัด “เพียงเพราะมีใจเห็นแก่ตัวไง ในปีนั้นเผ่าหงส์ติดหนี้น้ำใจใครบางคน จึงรับปากว่าจะให้ไม้ไม่ผุกับอีกฝ่าย ผลปรากฏว่าคนคนนั้นอยากเป็นอมตะเพียงคนเดียว ไม่อยากให้มีคนมาเทียบเทียมเขา เพราะตัวเองทำสำเร็จแล้ว ก็ตัดไม้ไม่ผุทิ้งไป”

เหมียวอี้สงสัย “หมายความว่า คนคนนั้นได้อายุยืนแล้วจริงๆ น่ะสิ?”

หัวมังกรเพลิงได้ยินแล้วหัวเราะลั่น “อายุยืนเหรอ อายุยืนแล้วยังไงล่ะ? คนคนนั้นน่าจะได้อายุยืนแล้ว แต่จนใจที่พลังไม่มากพอ สุดท้ายก็ตายด้วยน้ำมือพระปีศาจหนานโป เจ้าหนุ่ม อายุยืนกับพลังที่มีน้ำหนักเท่ากันหรอกนะ อายุยืนก็ใช่ว่าจะไม่มีใครฆ่าเจ้าตายได้ เราอายุยืนแล้วยังไง เราก็เป็นอย่างนั้นอยู่แล้วไม่ใช่เหรอ พระปีศาจหนานโปบรรลุถึงระดับวิญญาณศักดิ์สิทธิ์จนอายุยืนยาวแล้วยังไงล่ะ? วัฏจักรธรรมชาติย่อมมีหลักการของตัวเอง ขับกับสภาพสังคมนี้ จะอายุยืนได้ยังไง?”

เหมียวอี้จึงบอกว่า “ตามที่ข้ารู้มา วิญญาณศักดิ์สิทธิ์ของพระปีศาจหนานโปจะไม่ดับสูญ เพียงแค่ถูกผนึกเอาไว้ชั่วคราวเท่านั้น ยังมีโอกาสเกิดใหม่” เขาไม่ได้บอกว่าตัวเองหาสถานที่ผนึกเจอแล้ว

หัวมังกรเพลิงถอนหายใจ “พระปีศาจหนานโปเป็นสุดยอดสิ่งอัปมงคลที่ไม่เคยมีมาก่อนจริงๆ เกิดใหม่ได้แล้วยังไงล่ะ เขานึกว่าตัวเองจะเป็นอมตะเหนือสรรพสิ่งเชียวหรือ? นั่นคือความคิดเพ้อฝันไร้สาระ! การมีอยู่ของสรรพสิ่งในโลกหล้าย่อมมีหลักการของตัวเอง มีหรือที่จะถูกพันธนาการด้วยความอมตะ เขาสามารถทำให้ปลาทุกตัวขึ้นมาใช้ชีวิตบนบกได้หรือเปล่าล่ะ? เขาสามารถทำให้ทิวทัศน์ในฤดูใบไม้ผลิหายไปได้หรือเปล่า? เขาสามารถทำให้อารมณ์ความรู้สึกของคนหายไปได้หรือเปล่า? หมายถึงสิ่งที่เรียบง่ายที่สุดยังไม่มีใครสามารถควบคุมได้ แล้วจะมีใครสามารถอยู่เหนือสรรพสิ่งได้จริงๆ”

“หรือว่าผู้อาวุโสไม่กังวลว่าหลังจากพระปีศาจหนานโปหลุดออกมาแล้วจะลงมือกับเผ่ามังกรอีก?” เหมียวอี้ถาม

หัวมังกรเพลิงตอบว่า “เผ่ามังกรกลายเป็นอย่างนี้แล้ว ยังมีอะไรน่ากังวลอีก? เจ้าหนุ่ม  จะต้องทำความเข้าใจสิ่งหนึ่งไว้ ต่อให้เจ้าวรยุทธ์สูงขนาดไหน พลังแข็งแกร่งขนาดไหน แต่ช้าเร็วก็ต้องถึงเวลาที่พ่ายแพ้เหมือนกัน มีแต่ต้องทำตัวคล้อยตามธรรมชาติ ดอกไม้บานดอกไม้ร่วงต่างหากถึงจะเป็นหลักการอมตะของโลกนี้ ต่อให้พระปีศาจหนานโปหลุดออกมาแล้วยังไงล่ะ ถ้าเขาไม่ก่อกรรมทำเข็ญก็ดีไป แต่ถ้าเขาก่อกรรมทำเข็ญ ท่ามกลางความลึกลับก็ย่อมมีคนที่สมควรปรากฏตัวโผล่มา ย่อมมีคนจัดการเขาได้อยู่แล้ว”

สำหรับเรื่องนี้ เหมียวอี้ไม่กล้าคล้อยตามไปอย่างไร้เหตุผล ต่อให้ฝ่ายจะพูดจามีเหตุผล เขาเองก็ยอมรับว่าอีกฝ่ายพูดมีเหตุผล แต่ที่เขาพูดล้วนเป็นหลักการภาพรวม ปัญหาในโลกแห่งความเป็นจริงกลับเป็น  สิ่งที่ทุกคนต้องเผชิญหน้า ต่อให้เป็นเหมียวอี้ก็สามารถเข้าใจได้ แต่ก็เป็นไปไม่ได้ที่จะปล่อยให้พระปีศาจหนานโปมาฆ่าตัวเองหรือคนในครอบครัวตัวเองโดยไม่สนใจ ถ้าเป็นอย่างนั้นจริงๆ เขาจะลำบากดิ้นรนเพื่อความอยู่รอดทำไม จะแย่งชิงอย่างเอาเป็นเอาตายทำไม

ดังนั้นเหมียวอี้รู้สึกว่าพูดอะไรพวกนี้กับเขาไปก็ไม่มีความหมาย เปลี่ยนประเด็นกลับมาพูดสิ่งที่อยู่ตรงหน้า “ไม้ไม่ผุหน้าตาเป็นยังไง?”

ฟังจากตำนานรู้สึกว่าไม่น่าเชื่อถือ อยากจะฟังจากคนที่เคยเห็นมาเองกับตา คาดว่าคงน่าเชื่อถือกว่า

“ทั้งต้นเป็นสีขาวดุจหยก ข้างในมีเส้นเลือด…” หัวมังกรเพลิงบรรยายลักษณะของไม้ไม่ผุโดยละเอียด

เหมียวอี้ที่จดจำรายละเอียดเงียบๆ อดไม่ได้ที่จะแอบยิ้มเจื่อน สงสัยต้นไม้ที่เฟิงเป่ยเฉินตัดไปจะเป็นไม้ไม่ผุจริงๆ มีตาแต่ไม่มีแวว โอกาสดีที่จะได้มีอายุยืนถูกเฟิงเป่ยเฉินฟันทิ้งไปแล้ว พอนึกว่าที่ทุ่งน้ำแข็งโบราณก็โดนตัดไปต้นนึงเหมือนกัน เหมียวอี้ก็อดไม่ได้ที่จะถามว่า “ไม่ทราบว่าคนที่ตัดไม้ไม่ผุในทุ่งน้ำแข็งโบราณคือใคร?”

“ฮ่าๆ!” หัวมังกรเพลิงเหมือนได้ยินเรื่องตลกอะไรสักอย่าง หัวเราะลั่นไม่หยุด หลังจากผ่านไปพักใหญ่ ถึงได้กล่าวช้าๆว่า “ในโลกนี้คนที่สามารถทำให้เผ่าหงส์ติดหนี้น้ำใจได้มีไม่เยอะ คนที่สามารถเข้าออกทุ่งน้ำแข็งโบราณมาตัดไม้ไม่ผุไป…คนที่ถ่ายทอดมหาเคล็ดวิชาให้เจ้าน่าจะรู้จักดีสิ เขาจะไม่เคยบอกเจ้าเชียวหรือ?”

หัวมังกรเพลิงถอนหายใจ ไม่ได้ปฏิเสธ “จะว่าไปแล้ว การที่พระปีศาจหนานโปผงาดขึ้นมาก็เกี่ยวข้องกัเขาเหมือนกัน ในปีแรกๆ เดิมทีพระปีศาจหนานโปไม่ใช่คู่ต่อสู้ของเขา ก่อกรรมทำชั่วมากมายจนตกอยู่ในมือเขาและเคยโดนเขาขังไว้ แต่กลับออกมาตัดไม้ไม่ผุให้เขา ทำให้พระปีศาจหนานโปหาโอกาสหนีเจอ ถึงได้ทำให้พระปีศาจหนานโปมีโอกาสผงาดขึ้นมา เผ่าหงส์ให้เขาตัดไม้ไม่ผุแล้ว เผ่ามังกรก็ปล่อยเขาโดยไม่ห้าม ผลปรากฏว่าเขาที่มาตัดต้นไม้ก็ตายด้วยน้ำมือพระปีศาจหนานโป เผ่ามังกรและหงส์ก็ประสบหายนะเหมือนกัน เจ้าคิดว่าท่ามกลางความลึกลับของวัฏจักรธรรมชาติมีการลิขิตไว้แล้วหรือเปล่า? แล้วจะโทษใครได้ล่ะ”

ไม่น่าเชื่อว่าจะมีเรื่องแบบนี้ เหมียวอี้ประหลาดใจ สงสัยจะโดนอาจารย์ท่านนั้นของตนตัดทิ้งไปแล้วจริงๆ หยางชิ่งบอกว่าความเคลื่อนไหวของไม้ไม่ผุด้านนอกเกิดจากประมุขไป๋ หรือว่าปิ่นปักผมอันนั้นก็มาจากไม้ไม่ผุของทุ่งน้ำแข็งโบราณเหมือนกัน?

พอลองใช้ความคิดก็นึกถึงเฟิงเป่ยเฉิน เฟิงเป่ยเฉินตัดไม้ไม่ผุแล้ว ผลปรากฏว่าตายด้วยน้ำมือเขาเหมือนกัน แบบนี้นับว่าเปป็นกรรมตามสนองอย่างหนึ่งหรือเปล่า? สองคนที่ตัดไม้ไม่ผุโดนฆ่าตายหมดแล้ว…เรื่องบางเรื่องเขาไม่อยากจะคิดลึก ไม่อย่างนั้นจะรู้สึกว่าท่ามกลางความลึกลับเหมือนมีดวงตาคู่หนึ่งจ้องตัวเองอยู่ ในมือตนมีหนี้เลือดมากมายขนาดนั้น คิดๆ แล้วรู้สึกกลัว

หลังจากคุยกันนาน เหมียวอี้ก็ไม่ได้อยู่ที่นี่นาน เพราะเขาค่อนข้างอยากรู้จักเจ้าของคนใหม่ของรังหงส์ เตรียมจะไปดูสักหน่อย ยิ่งไปกว่านั้นทางรังหงส์ก็เหมาะกับการฝึกตนของเขามากกว่า จึงตัดสินใจจะไปสักครั้ง

เฮยทั่นค่อนข้างตื่นเต้นกับสิ่งนี้ รู้ว่าเหมียวอี้อยู่ที่นี่ไม่สามารถร่ายอิทธิฤทธิ์เหาะเหินได้ แต่มันวิวัฒนาการกลายเป็นมังกรแท้แล้วไม่มีปัญหา จึงเอาแต่พูดว่าจะส่งเขาไป

เหมียวอี้กล่าวอำลาเศษวิญญาณเทพมังกร ออกจากถ้ำมังกร แล้วกระโดดขึ้นหลังเฮยทั่น

ลมแรงพัดใส่หน้าวูบหนึ่ง เฮยทั่นพุ่งขึ้นฟ้าในแนวตรง เหมียวอี้จับเขามังกรของเฮยทั่นทะยานขึ้นฟ้าตามไป

ขึ้นบนฟ้าสูงแล้วหันมองรอบๆ แยกแยะทิศทาง จากนั้นเฮยทั่นก็พุ่งออกไปราวกับลำแสง ข้ามผ่านไปยังบนฟ้าของหุบเขาฟ้าไม่ดับสูญ

เหมียวอี้ที่ขี่มังกรขึ้นฟ้ามองเฮยทั่นที่สั่นหัวส่ายหางบินอย่างตื่นเต้น รู้สึกได้รางๆ ว่าเฮยทั่นเฝ้าคอยที่จะพบหงส์น้อยมาก อดไม่ได้ที่จะถามว่า “โจรอ้วน เจ้าอยู่ที่นี่ก็บินได้ คงจะได้พบหงส์น้อยบ่อยล่ะสิ?”

เฮยทั่นถอนหายใจ “บ่อยที่ไหนล่ะ อยู่ที่นี่น่าเบื่อเกินไปแล้ว ข้าอยากจะไปเล่นกับนาง แต่ทุกครั้งที่ไปหา ก็มีหงส์น้ำแข็งมาขัดขวาง ข้ามทุ่งน้ำแข็งโบราณได้ยากมาก!”

ตอนที่ไปถึงบนฟ้าเหนือทุ่งน้ำแข็งโบราณแล้วมองลงมาข้างล่าง เหมียวอี้ก็นึกขึ้นได้ถึงฉากที่เขากับเฮยทั่นฝ่าวิกฤติความตายด้วยกัน “ในปีนั้นอวี้ซาหลุดมือเขาไปแล้ว เจ้าอยู่ที่แดนมรณะดึกดำบรรพ์มาหลายปีขนาดนี้ คงไม่ได้อยู่ที่หุบเขาฟ้าไม่ดับสูญตลอดหรอกใช่มั้ย ไม่ได้เจอเขาอีกเลยเหรอ?”

เฮยทั่นกลล่าวกลั้วหัวเราะ “เขาไม่มาหาข้า ข้าก็ยังคิดจะไปสะสางบัญชีกับเขาอยู่ดี แต่น่าเสียดาย ไม่รู้ไปหลบอยู่ไหน ตอนนี้ข้านับว่าเป็นดาวข่มของวิญญาณชั่วร้ายแล้ว วิญญาณชั่วร้ายเห็นข้าแล้วหลบกันหมด”

คิดไปคิดมาก็พบว่าใช่ เหมียวอี้พยักหน้า

“มาแล้วๆ คนขวางมาอีกแล้ว” เฮยทั่นพลันร้องโวยวาย “นายท่าน ต้องพึ่งท่านแล้ว”

เหมียวอี้พลันมองไปเบื้องหน้า เห็นเพียงจุดแสงหลากสีนับไม่ถ้วนลอยอยู่ไกลๆ ส่วนกลุ่มหุบเขาน้ำแข็งข้างล่างก็พลันเปลี่ยนเป็นสีฟ้าจ้าตา เปลวเพลิงสีฟ้าหลายกลุ่มลอยขึ้นฟ้าติดกับจุดแสงสีรุ้ง ชั่วพริบตาเดียวก็กลายเป็นหงส์อัคคีน้ำแข็งกลุ่มหนึ่งบินเข้ามา

เหมียวอี้ไม่ได้เห็นฉากนี้เป็นครั้งแรก ตอนที่มาครั้งก่อนก็ได้บทเรียนแล้ว แม้เคล็ดวิชาฝึกตนของเขาจะทำให้ไม่กลัว อาศัยวรยุทธ์ตอนนี้ก็รับมือได้อย่างสบายๆ แต่หงส์อัคคีน้ำแข็งกลุ่มนี้ก็ฆ่าไม่ตายปราบไม่หมด ถ้าโดนพัวพันก็ค่อนข้างยุ่งยาก

ไข่มุกน้ำแข็งสีฟ้าโปร่งแสงเม็ดหนึ่งปรากฏบนมือเหมียวอี้ มันคือ ‘หัวใจแห่งอัคคีน้ำแข็ง’ นั่นเอง

ชั่วพริบตานั้น เงาหงส์เฟิ่งหวงสีฟ้าที่สวยสง่าเปล่งรัศมีแวววาวตัวหนึ่งก็ปรากฏขึ้น มันบินร่อนรอบกายเหมียวอี้ ท่วงท่าอ่อนช้อยสง่างาม

…………………………