น่าเสียดายที่ฉินอวี้โม่ไม่สนใจตำแหน่งผู้ปกครองของโลกแห่งเทพ ยิ่งไปกว่านั้น หากต้องการพิชิตโลกแห่งเทพจริง ๆ นางก็สามารถพึ่งพาพลังความแข็งแกร่งของตนเองได้และไม่จำเป็นต้องร้องขอความช่วยเหลือจากนักล่าวิญญาณตรงหน้านี้
เพราะเหตุนั้น ข้อเสนอที่ล่อตาล่อใจของอีกฝ่ายจึงไม่มีทางทำให้ฉินอวี้โม่คล้อยตามได้เลย
“เจ้าเข้ามาที่ดินแดนนี้เพราะเหตุใด ?”
นางเอ่ยถามออกไปและสงสัยใคร่รู้เป็นอย่างมากว่านักล่าวิญญาณปรากฏตัวในดินแดนนี้ได้อย่างไร
“เหอะ บางสิ่งบางอย่าง รู้ไปก็มิใช่เรื่องดีหรอก !”
นักล่าวิญญาณเขียนลงบนพื้นเช่นเดิม เห็นได้ชัดว่ามันไม่คิดที่จะตอบคำถามของฉินอวี้โม่
“ฮ่า ๆ ๆ ไม่ว่าจะดีหรือไม่ดี พวกเราจะเป็นฝ่ายตัดสินใจเอง อีกอย่าง…ข้าก็ต้องสืบทราบให้ได้ว่ามีนักล่าวิญญาณเข้ามายังดินแดนนี้กี่ตนและเป้าหมายที่แท้จริงของพวกเจ้าคืออะไรกันแน่ ?”
ฉินอวี้โม่หัวเราะเบา ๆ และเอ่ยถามต่อไป
“ข้าจะต้องทำอย่างไรเจ้าจึงจะยอมปล่อยข้าไป ?”
นักล่าวิญญาณยังคงไม่ตอบคำถามของฉินอวี้โม่ ทว่านั่นทำให้นางมั่นใจขึ้นเรื่อย ๆ ว่าจะต้องเกิดการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ขึ้นในดินแดนของนักล่าวิญญาณอย่างแน่นอน และมันเป็นการเปลี่ยนแปลงที่มากพอจะส่งผลกระทบต่อสถานการณ์ในโลกแห่งเทพ
เพราะเหตุนั้น ฉินอวี้โม่จะต้องหาคำตอบในเรื่องนี้ให้ได้
“บอกแผนการของเจ้ามา…และข้าจะปล่อยเจ้าไป”
ฉินอวี้โม่เสนอเงื่อนไขของตนเองออกไป
“ถ้าเช่นนั้นข้าก็จะอาศัยอยู่กับเจ้า ถึงอย่างไรคฤหาสน์ล่องหนของเจ้าก็ไม่เลวเลย”
นักล่าวิญญาณส่ายศีรษะเบา ๆ และเขียนคำตอบลงบนพื้นด้วยสีหน้าที่ไร้ซึ่งความเกรงกลัว
เพราะถึงอย่างไร มันก็ยังเป็นนักล่าวิญญาณซึ่งถือเป็นสิ่งมีชีวิตที่ลึกลับที่สุดในโลกหล้าและยังมีความเป็นอมตะอีกด้วย ต่อให้ฉินอวี้โม่สังหารมันไป มันก็สามารถฟื้นคืนชีพขึ้นใหม่ได้ ยิ่งไปกว่านั้น การอยู่ในคฤหาสน์เฟิงหัวแห่งนี้ก็มิใช่สิ่งที่เลวร้ายแต่อย่างใด
ฉินอวี้โม่เริ่มรู้สึกปวดหัวขึ้นมา หากนักล่าวิญญาณยืนกรานที่จะปิดปากเงียบ นางก็คงจะทำสิ่งใดไม่ได้อีก
“หึ เหตุใดจะต้องทำให้มันยุ่งยากด้วยเล่า ?”
ทันใดนั้น เสียงหัวเราะในลำคอก็ดังขึ้นและทำให้ฉินอวี้โม่อดยิ้มออกมาไม่ได้
คลื่นบางอย่างเคลื่อนผ่านอากาศและร่างของหานโม่ฉือก็ปรากฏกายตรงหน้านาง อย่างไรก็ตาม มันเป็นเพียงร่างจิตของเขาเท่านั้น
“โม่ฉือ…”
ฉินอวี้โม่อุทานออกมาอย่างแปลกใจเนื่องจากคาดไม่ถึงว่าจะได้พบกับหานโม่ฉือในเวลานี้ เพราะถึงอย่างไรทั้งสองก็ไม่ได้พบหน้ากันมานาน
“โม่เอ๋อร์”
หานโม่ฉือก้าวเข้ามาใกล้และสวมกอดร่างบางด้วยความรักความโหยหาอย่างเต็มเปี่ยม
ก่อนหน้านี้เขากำลังฝึกวิชาอยู่ภายในที่พำนักในโลกปีศาจ ทว่าจู่ ๆ เขาก็สัมผัสได้ถึงพลังที่คุ้นเคยบางอย่าง ดูเหมือนว่าการพัฒนาครั้งล่าสุดของคฤหาสน์เฟิงหัวจะช่วยให้ร่างจิตของเขาเข้ามาในคฤหาสน์เฟิงหัวเป็นการชั่วคราวได้ แต่ก็จะใช้เวลาอยู่ที่นี่ได้เพียงไม่นานนัก
ในกรณีนี้ เขาก็จะมีโอกาสได้พบกับฉินอวี้โม่ในคฤหาสน์เฟิงหัวได้บ่อยครั้งมากขึ้น
“เยี่ยมไปเลย”
แม้ยังคงประหลาดใจ ฉินอวี้โม่ก็รู้สึกสุขใจมากกว่า คิดไม่ถึงเลยว่าการขาดการติดต่อกับคฤหาสน์เฟิงหัวครานี้จะทำให้เกิดผลประโยชน์มากมาย แม้ยังไม่ทราบว่าเหตุใดจึงติดต่อกับหานโม่ฉือได้ มันก็เป็นเรื่องดีและน่าพึงพอใจอย่างที่สุด
“เจ้าเป็นใคร ?”
นับตั้งแต่ชั่วอึดใจที่หานโม่ฉือปรากฏตัว สีหน้าของนักล่าวิญญาณก็เปลี่ยนไปอย่างมาก บุรุษผู้มาใหม่ทำให้มันรู้สึกถึงความคุ้นเคยบางอย่างราวกับเคยพบเห็นมาก่อน ทว่ายังนึกไม่ออกในตอนนี้…
“เหอะ เป็นเพียงนักล่าวิญญาณระดับกลาง แต่ริอาจข่มขู่คนรักของข้าอย่างนั้นรึ ? ในช่วงที่ผ่านมานี้ พวกเจ้านักล่าวิญญาณดูจะปีกกล้าขาแข็งขึ้นมาก !”
หานโม่ฉือแค่นเสียงเย็นชาและแรงกดดันที่น่าสะพรึงกลัวก็กดทับลงไปที่ร่างของนักล่าวิญญาณส่งผลให้อีกฝ่ายทรุดลงกองกับพื้นอย่างมิอาจควบคุมและใบหน้าบิดเบี้ยวเหยเกขึ้นเรื่อย ๆ
“หากภรรยาของข้าถามสิ่งใด เจ้าจงตอบคำถามทุกอย่างแต่โดยดี หากยังวางท่าและปิดบังความจริงอีกละก็ เชื่อเถอะว่าข้าผู้นี้จะทำลายจิตวิญญาณของเจ้าจนสูญสิ้น !”
เขากล่าวขึ้นอีกครั้งด้วยสีหน้าไม่แยแสและใช้วาจาข่มขู่อย่างเปิดเผย
จากนั้นเขาก็โบกมือขยับไปมาเล็กน้อยราวกับเปิดเส้นชีพจรบางอย่าง และอึดใจต่อมา นักล่าวิญญาณก็เริ่มอ้าปากและสื่อสารภาษามนุษย์ออกมาได้
“นี่มัน…พลังของจ้าวแห่งโลกปีศาจ !”
จู่ ๆ นักล่าวิญญาณก็คุกเข่าลงตรงหน้าหานโม่ฉือพร้อมกล่าวด้วยน้ำเสียงที่แสดงถึงความตื่นตระหนกอย่างชัดเจน
หากจะกล่าวถึงผู้ที่พวกมันเหล่านักล่าวิญญาณหวาดกลัวมากที่สุด ไม่มีผู้ใดที่พวกมันจะเกรงกลัวไปมากกว่าจ้าวแห่งโลกปีศาจในอดีตอีกแล้ว ในอดีต จ้าวแห่งเผ่าปีศาจบุกเข้าไปในดินแดนล่าวิญญาณเพียงลำพังและแสดงพลังอำนาจที่ทำให้ดินแดนล่าวิญญาณพลิกจากหน้ามือกลายเป็นหลังมือ แม้แต่ผู้นำของดินแดนล่าวิญญาณในตอนนั้น เมื่อประจันหน้ากับจ้าวแห่งโลกปีศาจที่ทรงพลัง มันก็ยังต้องยอมก้มหัวศิโรราบและไม่กล้าสร้างความขุ่นเคืองใจใด ๆ
หลังจากนั้น ก่อนที่จ้าวแห่งโลกปีศาจจะจากไป เขาก็ได้ปิดผนึกดินแดนล่าวิญญาณไว้และนำบางสิ่งบางอย่างกลับไปด้วย ผู้นำของดินแดนล่าวิญญาณเองก็ฉลาดมีไหวพริบดีและไม่กล้าคัดค้านสิ่งใด
อย่างไรก็ตาม เมื่อหลายพันปีก่อน จ้าวแห่งโลกปีศาจกลับสิ้นอำนาจไปและผนึกที่เขาวางไว้ในดินแดนล่าวิญญาณก็เริ่มแตกร้าว จนกระทั่งเมื่อไม่นานมานี้ สมาชิกของเผ่านักล่าวิญญาณหลุดออกมาในโลกภายนอกเป็นจำนวนมาก ซึ่งรวมถึงนักล่าวิญญาณตรงหน้าที่เดินทางมายังหมู่บ้านกล้วยไม้เมฆาในโลกแห่งเทพ
“ในเมื่อเจ้าทราบว่าข้าเป็นใครก็อธิบายมาเสียดี ๆ “
หานโม่ฉือกล่าวอย่างเย็นชาขณะดึงร่างบางของฉินอวี้โม่มานั่งลงข้างกาย
“นายท่าน รอยแตกบนผนึกของดินแดนล่าวิญญาณกำลังลุกลามมากขึ้นเรื่อย ๆ ท่านผู้นำสั่งให้เรามาที่โลกมนุษย์และตรวจสอบสถานการณ์ปัจจุบันของที่นี่ ยิ่งไปกว่านั้น ตลอดหลายปีที่ผ่านมานี้ ดินแดนล่าวิญญาณของเราก็สูญเสียสภาวะพลังไปมากและมันมิใช่ที่ที่เหมาะสำหรับการอยู่อาศัยอีกต่อไป เพราะเหตุนั้น ท่านผู้นำจึงส่งเราออกมาหาพื้นที่เหมาะสมเพื่อตั้งรกรากถิ่นฐานใหม่และย้ายสมาชิกทั้งหมดเข้าไป หลังออกมาจากดินแดนล่าวิญญาณ ข้าก็สัมผัสได้ถึงพลังของจิตวิญญาณที่หนาแน่นในหมู่บ้านกล้วยไม้เมฆา ข้าจึงได้เดินทางมาที่นี่ อีกอย่าง…คนเหล่านั้นก็ไม่ได้ตายไปเพราะฝีมือของข้า”
เมื่ออยู่ต่อหน้าหานโม่ฉือ นักล่าวิญญาณที่เคยวางท่าก่อนหน้านี้ก็ไม่กล้าปกปิดสิ่งใดอีกต่อไปและเปิดเผยทุกสิ่งทุกอย่างที่ทราบอย่างรวดเร็ว
ไม่ว่าจะเป็นสถานการณ์ปัจจุบันของดินแดนล่าวิญญาณ จุดประสงค์ที่แท้จริงของพวกมัน และจำนวนสมาชิกที่เดินทางมายังโลกมนุษย์ มันไม่ได้ปิดบังสิ่งใดแม้แต่น้อย
“เจ้าจะบอกว่าดวงวิญญาณที่ถูกกักขังอยู่ในหมู่บ้านกล้วยไม้เมฆา…เจ้าไม่ได้เป็นคนฆ่าพวกเขาอย่างนั้นหรือ ?”
ฉินอวี้โม่เอ่ยถามเพื่อยืนยันอีกครั้งและเชื่อว่านักล่าวิญญาณไม่กล้าโกหกอย่างแน่นอน เพียงแต่นางคิดไม่ถึงว่าหานโม่ฉือจะน่าสะพรึงกลัวถึงเพียงนี้ แม้แต่นักล่าวิญญาณที่ทรงพลังก็ยังแสดงท่าทีเคารพและยำเกรงเขาอย่างที่สุด มิอาจจินตนาการได้เลยว่าในยามที่เขามีพลังสูงสุด เขาจะทรงพลังมากเพียงใด
จู่ ๆ นางก็นึกสงสัยขึ้นมาว่าเหตุการณ์ใดกันที่ทำให้หานโม่ฉือผู้ทรงพลังดับสิ้นไปได้ ?ยิ่งไปกว่านั้น เมื่อครั้งที่เข้าไปในดินแดนล่าวิญญาณ เขานำสิ่งใดติดมือออกมาด้วย ?
ตอนนี้ความทรงจำของหานโม่ฉือฟื้นกลับมาเพียงบางส่วนเท่านั้นและยังมีอีกหลายเรื่องราวที่เขาจดจำไม่ได้ เขาก็ยังไม่มีคำตอบสำหรับสองเรื่องนี้เช่นกัน เพราะเหตุนั้น สำหรับความสงสัยของฉินอวี้โม่ เขาจึงอธิบายสิ่งใดไม่ได้ บางทีเมื่อถึงวันที่แข็งแกร่งมากขึ้น เขาก็คงจะได้ทราบเรื่องราวทุกอย่างที่เคยเกิดขึ้นในอดีต…
“มิใช่ข้า ในตอนแรกข้าไม่ได้ฆ่าใครทั้งสิ้น ทว่าในภายหลังเมื่อมีคนเข้ามาสืบเรื่องราวที่เกิดขึ้นที่นี่และค้นพบตัวตนของข้า คนเหล่านั้นก็ตายไปด้วยเงื้อมมือของข้าจริง ๆ อย่างไรก็ตาม มีคนบางส่วนที่ฆ่าแกงกันเองโดยที่ข้าก็ไม่ทราบเหตุผล”
นักล่าวิญญาณรีบอธิบายอย่างรวดเร็วด้วยสีหน้าท่าทางที่ดูเคารพนอบน้อมมากขึ้นเรื่อย ๆ
นับตั้งแต่เดินทางมาที่นี่ มันก็สัมผัสได้ถึงพลังของจิตวิญญาณที่แกร่งกล้าในหมู่บ้านนี้ รวมถึงจิตวิญญาณชั่วร้ายมากมาย และเมื่อมันมาถึง ประชากรในหมู่บ้านนี้ก็ล้มตายไปแล้ว จนถึงทุกวันนี้ จำนวนของมนุษย์ที่ถูกสังหารไปด้วยมือมันก็มีไม่เกินห้าคนเท่านั้น และจากจำนวนห้าคน สองคนในนั้นมาจากนิกายหมื่นกระบี่
นอกจากนี้ยังมีคนอื่น ๆ ที่ฆ่าฟันกันเองซึ่งมันไม่ทราบเลยว่าเป็นเพราะเหตุใด
“ฆ่ากันเองอย่างนั้นหรือ ?”
ฉินอวี้โม่ประหลาดใจยิ่งนัก เพราะสาเหตุใดกันที่ทำให้จอมยุทธ์ตัดสินใจลงมือสังหารกันเอง ? ยิ่งไปกว่านั้น มิอาจคาดเดาได้เลยว่าผู้ที่สังหารประชากรในหมู่บ้านกล้วยไม้เมฆาเป็นใครและมีจุดประสงค์อะไรกันแน่
ในเวลานี้ ดูเหมือนว่าจะมีชั้นหมอกหนาที่ปกคลุมรอบตัวนาง และหลายสิ่งหลายอย่างก็ดูจะลึกลับพิศวงมากขึ้นเรื่อย ๆ…