เมื่ออยู่ต่อหน้าเชื้อสายของจ้าวแห่งโลกปีศาจ นักล่าวิญญาณก็ไม่กล้าปิดบังหรือโกหกสิ่งใดและเปิดเผยความจริงเกี่ยวกับทุกอย่างที่ทราบโดยละเอียด
“สรุปว่าเจ้ามิใช่คนที่วางข่ายอาคมตรึงวิญญาณหรอกหรือ ?”
จู่ ๆ ฉินอวี้โม่ก็นึกถึงเรื่องนี้และเอ่ยถามออกไปอีกครั้ง
ข่ายอาคมตรึงวิญญาณคือสิ่งที่กักขังจิตวิญญาณไว้ในหมู่บ้านแห่งนี้และไม่ให้โอกาสพวกเขาได้ไปผุดไปเกิด อย่างไรก็ตาม เมื่อได้ฟังคำอธิบายจากนักล่าวิญญาณ นางก็รู้สึกว่าข่ายอาคมตรึงวิญญาณนี้อาจจะไม่ได้ถูกจัดตั้งขึ้นมาโดยมัน
“แน่นอนว่าไม่ ข้าไม่มีความสามารถถึงเพียงนั้นหรอก”
นักล่าวิญญาณส่ายศีรษะเบา ๆ แรกเริ่มเดิมทีมันเองก็สัมผัสได้ว่าที่นี่มีข่ายอาคมตรึงวิญญาณอยู่ซึ่งเป็นสิ่งที่ช่วยมันได้มาก นั่นคือหนึ่งในสาเหตุที่มันเลือกมาที่หมู่บ้านกล้วยไม้เมฆาแห่งนี้
แม้แต่ผู้นำของดินแดนล่าวิญญาณก็ไม่สามารถวางข่ายอาคมในตำนานชนิดนี้ได้ นับประสาอะไรกับสมาชิกธรรมดา ๆ เช่นมันที่เป็นเพียงนักล่าวิญญาณระดับกลางซึ่งไม่มีสิทธิ์มีเสียงในเผ่านักล่าวิญญาณด้วยซ้ำ
“เข้าใจแล้ว”
ฉินอวี้โม่พยักศีรษะด้วยความเข้าใจ ดูเหมือนว่าหมู่บ้านกล้วยไม้เมฆาที่ดูธรรมดา ๆ แห่งนี้จะเต็มไปด้วยปริศนาที่ยังรอการหาคำตอบอีกมาก…
“แม่นาง ข้าน้อยยินดีจำนนต่อท่านและจะไม่มีวันทรยศท่านอย่างแน่นอน ได้โปรดรับข้าน้อยไว้เป็นข้ารับใช้ด้วยเถิด”
นักล่าวิญญาณกล่าวอย่างเคารพนอบน้อมและแสดงทัศนคติอย่างรวดเร็ว
ในฐานะสตรีของจ้าวแห่งเผ่าปีศาจ ไม่จำเป็นต้องคิดเลยว่านางจะน่าสะพรึงกลัวเพียงใด แม้ความแข็งแกร่งยังถือว่าไม่มากนักในตอนนี้ ทว่าอนาคตของนางก็ไม่มีทางหยุดอยู่เพียงเท่านี้อย่างแน่นอน คฤหาสน์เฟิงหัวเพียงอย่างเดียวก็พิสูจน์เรื่องนี้ได้เป็นอย่างดี
การจำนนต่อฉินอวี้โม่ก็เหมือนกับการจำนนต่อจ้าวแห่งโลกปีศาจ ความหวาดกลัวและความเชื่อที่พวกมันนักล่าวิญญาณมีต่อจ้าวแห่งโลกปีศาจเป็นสิ่งที่มาจากก้นบึ้งของหัวใจ และการที่ได้รับใช้จ้าวแห่งโลกปีศาจก็ถือเป็นเกียรติสำหรับมันเช่นกัน
“ตกลง หลังจากนี้ก็ติดตามข้าได้เลย หากข้าคาดเดาไม่ผิด เจ้าคงจะสัมผัสถึงนักล่าวิญญาณตนอื่น ๆ ได้เช่นกัน ต่อไปในอนาคตข้างหน้าก็ช่วยข้าระบุตัวของนักล่าวิญญาณเพื่อที่ข้าจะได้เตรียมตัวเมื่อต้องประจันหน้ากับพวกมัน”
ฉินอวี้โม่พยักศีรษะตอบตกลงโดยเร็ว การมีนักล่าวิญญาณเป็นหนึ่งในผู้ติดตามจะเป็นส่วนช่วยนางได้มาก ยิ่งไปกว่านั้น ในเมื่อมีนักล่าวิญญาณที่หมู่บ้านแห่งนี้ ในสถานที่แห่งอื่นก็คงจะมีนักล่าวิญญาณอยู่เช่นกัน ยิ่งไปกว่านั้น นักล่าวิญญาณบางส่วนก็อาจจะจำแลงร่างเป็นมนุษย์ได้แล้วและเป็นเรื่องยากที่จะแยกแยะระหว่างพวกมันกับมนุษย์ทั่วไป การที่รับนักล่าวิญญาณระดับกลางตนนี้มาจึงจะช่วยให้สถานการณ์ของฉินอวี้โม่สะดวกขึ้นมากเมื่อต้องเผชิญหน้ากับนักล่าวิญญาณในอนาคต
“ขอบคุณแม่นางเป็นอย่างมาก ข้าน้อยมีนามว่าต่งเฉิง หากท่านต้องการสิ่งใดก็เชิญสั่งข้าได้เลย”
ต่งเฉิง—นักล่าวิญญาณระดับกลางแสดงความนอบน้อมต่อฉินอวี้โม่มากขึ้นเรื่อย ๆ และตัดสินใจที่จะอยู่ในคฤหาสน์เฟิงหัวต่อไป ยิ่งไปกว่านั้น มันก็พร้อมที่จะบุกน้ำลุยไฟทุกเมื่อที่ได้รับคำสั่ง สำหรับการหาทางจำแลงร่างมนุษย์ มันจะปล่อยวางเรื่องนั้นไปก่อนเป็นการชั่วคราว
“หากข้าจำไม่ผิด ยังมีทางอื่นที่จะทำให้เจ้าจำแลงร่างมนุษย์ได้ นั่นคือการหาร่างที่เข้ากับเจ้าอย่างสมบูรณ์และเข้าสิงมัน เมื่อถึงตอนนั้น เจ้าจะไม่ต่างจากมนุษย์ทั่วไป ไม่ต้องห่วง ในอนาคตข้าจะจดจำเรื่องนี้ไว้ให้แม่น หากมีโอกาส ข้าจะช่วยเติมเต็มความปรารถนาของเจ้าเอง”
ฉินวี้โม่กล่าวต่อ สำหรับความต้องการของต่งเฉิง นางก็ไม่รังเกียจที่จะช่วยเหลือ
“ขอบคุณนายหญิงขอรับ”
ต่งเฉิงเปลี่ยนสรรพนามคำเรียกและแสดงความเคารพต่อฉินอวี้โม่มากยิ่งขึ้น มันไม่กังขาในความสามารถของฉินอวี้โม่แม้แต่น้อย ในฐานะภรรยาของจ้าวแห่งโลกปีศาจ แน่นอนว่านางมีพลังอำนาจเช่นนั้นอยู่
“เจ้าไปก่อนเถอะ”
หานโม่ฉือโบกมือและส่งสัญญาณให้ต่งเฉิงตามเสี่ยวเฮยและอสูรอื่น ๆ ไปยังที่ของพวกมันก่อน
แน่นอนว่าต่งเฉิงไม่คัดค้านขณะเดินตามเสี่ยวเฮยและบรรดาอสูรออกไป เวลานี้จึงเหลือเพียงหานโม่ฉือและฉินอวี้โม่สองต่อสอง
“โม่ฉือ ตอนนี้สถานการณ์ในโลกปีศาจเป็นอย่างไรบ้าง ?”
แม้หานโม่ฉือจะดูสบายดีและสามารถแบ่งเวลามาช่วยนางได้ออ อย่างไรก็ตาม โลกปีศาจก็เป็นดินแดนที่น่าสะพรึงกลัวกว่าโลกมนุษย์มากนัก แม้ไม่กล่าวสิ่งใด ฉินอวี้โม่ก็รับรู้ได้ถึงความกดดันที่เขาต้องเผชิญ
“ข้ายังรับมือได้ ไม่ต้องกังวลหรอก”
หานโม่ฉือกล่าวพร้อมรอยยิ้ม สถานการณ์ของโลกปีศาจยังถือว่าคงที่พอสมควร ในเวลานี้ เขากำลังเก็บตัวเพื่อฟื้นฟูพลังเดิม เมื่อพลังส่วนใหญ่กลับคืนมาแล้ว เขาก็จะมุ่งหน้าไปที่เมืองหลวงของโลกปีศาจเพื่อกอบกู้ร่างจิตที่ทิ้งไว้ที่นั่น อย่างไรก็ตาม จนถึงตอนนั้น เขาอาจต้องเผชิญกับปัญหาความยุ่งยากสักหน่อย
“นั่นเป็นเรื่องที่ดี เจ้าต้องระวังตัวด้วยล่ะและรอข้าที่โลกปีศาจ เมื่อข้าแข็งแกร่งมากพอ ข้าจะไปช่วยเจ้าอีกแรง”
ฉินอวี้โม่ไม่ถามให้มากความ ในเมื่อหานโม่ฉือกล่าวเช่นนี้ นางก็เลือกที่จะเชื่อมั่นในตัวเขา เรื่องบางเรื่องก็ไม่มีความจำเป็นที่ต้องถาม ด้วยความแข็งแกร่งของนางในตอนนี้ นางก็ทำได้เพียงหลีกเลี่ยงมิให้ตนเองกลายเป็นภาระตัวถ่วงของเขา
“ตกลง ข้าจะรอ อย่างไรก็ตาม อย่าฝืนตัวเองมากจนเกินไปล่ะ ค่อย ๆ พัฒนาไปทีละขั้น ข้าเชื่อมั่นในตัวเจ้า”
หานโม่ฉือสวมกอดฉินอวี้โม่อย่างอ่อนโยน ไม่มีผู้ใดทราบถึงความพยายามของสตรีร่างบางผู้นี้ไปมากกว่าตัวเขาอีกแล้ว เส้นทางในการอดทนฝึกฝนและพัฒนาตนเองอย่างต่อเนื่องของนางไม่ได้ราบรื่นไปกว่าเขาแม้แต่น้อย
“ข้ารู้…หากยังไม่ได้พบกับเสี่ยวอ้ายโม่ เสี่ยวอ้ายฉือ ท่านพ่อท่านแม่ และสะสางเรื่องวุ่นวายทั้งหมด ข้าจะไม่มีทางปล่อยให้ตัวเองเป็นอะไรไป”
ฉินอวี้โม่คลี่ยิ้มขณะเอนศีรษะพิงอ้อมแขนอันแข็งแกร่ง แววตาของนางแสดงถึงความสำราญใจอย่างที่สุด
“ข้าอยู่ที่นี่ได้เพียงสองก้านธูปเท่านั้น สำหรับคราต่อไปที่จะเข้ามาที่นี่ได้ ข้าจะต้องรอเวลาอีกหนึ่งเดือน อย่างไรก็ตาม มันก็ถือว่าดีกว่าก่อนมาก”
หานโม่ฉือกล่าวด้วยน้ำเสียงที่แสดงความรักใคร่หลงใหล ในความจริง คุณสมบัติใหม่นี้ของคฤหาสน์เฟิงหัวก็มีขีดจำกัดเวลาอยู่ ร่างจิตของเขาจะอยู่ที่นี่ได้เพียงสองก้านธูปเท่านั้นและจะใช้งานได้เพียงเดือนละหนึ่งครั้ง
แน่นอนว่าหากคฤหาสน์เฟิงหัวของฉินอวี้โม่พัฒนาต่อไป คุณสมบัตินี้ของมันก็อาจจะพัฒนาตามไปด้วย
“ถ้าอย่างนั้นข้าจะไปพบเจ้าบ้างได้หรือไม่ ?”
ฉินอวี้โม่ทราบคำตอบนี้อยู่แล้วทว่ายังเอ่ยถามออกไป นางต้องการไปที่โลกปีศาจโดยเร็วที่สุด ทว่าตอนนี้พลังของนางยังคงน้อยเกินไป
“ไม่ได้หรอก แต่บางทีหลังจากที่คฤหาสน์เฟิงหัวพัฒนาขึ้นไปในอีกระดับ มันก็อาจจะเป็นไปได้”
หานโม่ฉือตอบกลับอย่างจริงจังและเข้าใจความหมายของฉินอวี้โม่เป็นอย่างดี
ทั้งสองพูดคุยกันครู่ใหญ่และเวลาสองก้านธูปก็ผ่านไปอย่างรวดเร็ว
“ข้าต้องไปแล้ว”
หลังจากที่ทั้งสองสวมกอดกันด้วยความรักที่เต็มเปี่ยม หานโม่ฉือก็กล่าวขึ้นด้วยน้ำเสียงที่ไม่เต็มใจจากลากันนัก
“ไปเถอะ ข้าจะดูแลตัวเอง”
ฉินอวี้โม่ก็พยายามอดกลั้นความรู้สึกในใจของตนเองไว้ก่อนที่จะกล่าวพร้อมรอยยิ้มและจุมพิตประทับริมฝีปากของบุรุษคนรัก
จากนั้นร่างจิตของหานโม่ฉือก็ค่อย ๆ กลายเป็นภาพพร่าเลือนและหายไปต่อหน้าฉินอวี้โม่ราวกับทุกอย่างที่เกิดขึ้นเป็นเพียงภาพลวงตา…
ณ โลกปีศาจ ภายในถ้ำที่หานโม่ฉือเก็บตัวอยู่ เขาลืมตาโพลงอย่างกะทันหัน
เขายกมือขึ้นแตะริมฝีปากของตนเอง สัมผัสที่นุ่มนวลและแผ่วเบายังคงชัดเจนจนทำให้เขาโหยหายิ่งกว่าเดิม
“นายท่าน จ้าวแห่งโลกปีศาจคนปัจจุบันเชิญเราไปพบ”
เสียงของกิเลนอัคคีดังขึ้น ในช่วงที่ผ่านมา มันประจำการอยู่ภายนอกและไม่ได้เข้าไปเก็บตัวกับหานโม่ฉือ เมื่อครู่มันสัมผัสได้ว่าร่างจิตของเขาเข้าไปคฤหาสน์เฟิงหัว มันจึงไม่กล้าเข้าไปรบกวน
ในเมื่อหานโม่ฉือกลับมาแล้ว มันจึงรายงานเรื่องนี้โดยตรง
เดิมทีหานโม่ฉือวางแผนที่จะไปยังเมืองหลวงของโลกปีศาจในช่วงงานเฉลิมฉลองครั้งใหญ่ของโลกปีศาจเพื่อกอบกู้พลังที่เคยทิ้งไว้ ไม่คิดเลยว่าก่อนที่จะได้หารือและเตรียมแผนการ คำเชิญจะถูกส่งมาจากเมืองหลวงโดยตรง
“คนผู้นั้นเชิญนายท่านและผู้อาวุโสหลายคนจากฝ่ายเราไปที่เมืองหลวงเพื่อเข้าร่วมงานเฉลิมฉลองครั้งใหญ่ของโลกปีศาจและให้คำมั่นว่าจะไม่แตะต้องนายท่าน”
กิเลนอัคคีเปิดเผยเนื้อหาของสาส์นเชิญครานี้ซึ่งถูกระบุไว้อย่างชัดเจน