หลังจากหานโม่ฉือกลับไป ฉินอวี้โม่ก็ออกจากคฤหาสน์เฟิงหัวและเดินกลับไปยังเรือนที่เหลิ่งซวงเสวี่ยและคนอื่น ๆ รออยู่
ภายในเรือนหลังนั้น ทุกคนมีสีหน้าเป็นกังวลอย่างเห็นได้ชัด
เวลาล่วงเลยไปเกือบหนึ่งชั่วยามแล้วทว่ายังไม่มีความเคลื่อนไหวใด ๆ อีกทั้งยังไม่มีเสียงการต่อสู้ดังขึ้น ด้วยการที่ทุกอย่างดำเนินไปท่ามกลางความเงียบสนิทจึงเป็นธรรมดาที่ทุกคนจะอดกังวลกันไม่ได้
อย่างไรก็ตาม ฉินอวี้โม่กำชับไว้ก่อนหน้านี้แล้วว่าทุกคนไม่ควรออกไปจากเรือนหลังนี้ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นก็ตาม เพราะเหตุนั้น พวกนางจึงไม่กล้าออกไปเสี่ยงและทำได้เพียงเฝ้ารอให้นางกลับมา
“รออีกครึ่งชั่วยามก็แล้วกัน หากยังไม่มีการเคลื่อนไหว ข้าจะออกไปตรวจดูด้วยตัวเอง อย่าคิดที่จะห้ามข้าเด็ดขาด !”
เถียนซินอดกล่าวขึ้นมาไม่ได้ อีกครึ่งชั่วยามหลังจากนี้จะเป็นเวลาตีห้าซึ่งเป็นเวลาเกือบรุ่งสางเต็มที หากฉินอวี้โม่ยังไม่กลับมา นั่นคงจะหมายความว่านางกำลังตกอยู่ในอันตรายและพวกนางมิอาจอยู่เฉยได้อีกต่อไป
“ท่านไม่จำเป็นต้องไปหรอก ข้าจะไปดูเอง”
เถาเซี่ยวเซี่ยวกล่าวแทรกขึ้นมา นางเองก็วางแผนไว้แล้วเช่นกัน หากมิใช่เพราะเหลิ่งซวงเสวี่ยปรามไว้ก่อน นางคงจะมุ่งหน้าออกไปตั้งนานแล้ว
แม้เสิ่นเสี่ยวไห่และคนอื่น ๆ จะไม่กล่าวสิ่งใด พวกเขาก็มีความคิดเช่นเดียวกัน พวกเขาไม่สามารถอดทนรออยู่ที่นี่ได้อีกต่อไปและจะต้องเข้าไปตรวจดูสถานการณ์เพื่อช่วยเหลือฉินอวี้โม่ ต่อให้ช่วยไม่ได้ การได้เผชิญหน้ากับอุปสรรคและเสี่ยงเป็นเสี่ยงตายไปด้วยกันก็ย่อมเป็นทางเลือกที่ดีกว่า
“ขอโทษที่ทำให้ทุกคนต้องรอนาน”
เสียงของฉินอวี้โม่ดังขึ้นและทุกคนรีบปรี่ตรงไปยังประตูอย่างรวดเร็ว
เมื่อประตูเปิดออก เหลิ่งซวงเสวี่ยและทุกคนก็ได้เห็นฉินอวี้โม่ผู้ซึ่งยืนรออยู่ตรงหน้าประตูด้วยใบหน้าที่ประดับรอยยิ้ม
“พี่อวี้โม่ ท่านกลับมาแล้ว”
เถาเซี่ยวเซี่ยวจับมือฉินอวี้โม่และมองนางตั้งแต่ศีรษะจรดเท้าอย่างรวดเร็วเพื่อตรวจดูว่าอีกฝ่ายบาดเจ็บที่ใดหรือไม่ เมื่อเห็นว่านางปลอดภัยดี เด็กสาวก็ถอนหายใจด้วยความโล่งอก
“ไม่ต้องห่วง ข้าสบายดี”
ฉินอวี้โม่จิ้มแก้มนิ่มของเถาเซี่ยวเซี่ยวและกล่าวขึ้น จากนั้นนางก็พยักศีรษะให้กับทุกคนก่อนเดินกลับเข้าไปในเรือนด้วยกัน
“ศิษย์น้องอวี้โม่ เจ้าได้พบนักล่าวิญญาณนั่นหรือไม่ ?”
เสิ่นเสี่ยวไห่เอ่ยถามด้วยน้ำเสียงกังวล
“ข้าได้พบกับมันแล้ว ส่วนเรื่องที่เกิดขึ้น ให้นักล่าวิญญาณออกมาอธิบายกับทุกคนจะดีกว่า”
นางกล่าวก่อนโบกมือเล็กน้อยและนักล่าวิญญาณต่งเฉิงก็ปรากฏขึ้นมาข้างกายฉินอวี้โม่
“นายหญิง”
มันโค้งคำนับฉินอวี้โม่อย่างนอบน้อมก่อนกวาดสายตามองไปยังเสิ่นเสี่ยวไห่และทุกคน
“อะไรนะ นายหญิงอย่างนั้นหรือ ?!”
เถียนซินและคนอื่น ๆ อุทานด้วยความตกใจในขณะที่มองฉินอวี้โม่และนักล่าวิญญาณตรงหน้าสลับกัน พวกนางไม่ทราบเลยว่าเกิดอะไรขึ้นก่อนหน้านี้ ไม่มีใครจินตนาการได้เลยว่านักล่าวิญญาณตรงหน้าจะยอมรับฉินอวี้โม่เป็นนาย
นี่คือนักล่าวิญญาณที่มีความแข็งแกร่งอันน่าสะพรึงกลัวและมีพลังที่ประหลาดลึกลับ การที่มันแสดงความเคารพนอบน้อมต่อฉินอวี้โม่อย่างชัดเจนเช่นนี้เป็นเรื่องที่น่าเหลือเชื่อยิ่งนัก
“บอกพวกเขาเกี่ยวกับทุกอย่างที่เจ้ารู้”
ฉินอวี้โม่เดินไปนั่งลงและโบกมือเพื่อให้นักล่าวิญญาณอธิบายทุกอย่างอีกครั้ง
จากนั้นนักล่าวิญญาณต่งเฉิงก็อธิบายเรื่องราวให้กับทุกคนอย่างละเอียด แน่นอนว่ามันก็ปิดบังเหตุการณ์ในส่วนที่ทำให้ตนยอมจำนนต่อฉินอวี้โม่
แม้ฉินอวี้โม่และหานโม่ฉือจะไม่ได้อธิบายอย่างชัดเจน ต่งเฉิงก็มิได้โง่เขลา จ้าวแห่งโลกปีศาจในอดีตล่มสลายไปแล้วทว่าตอนนี้เขาปรากฏตัวขึ้นมาในโลกปีศาจอีกครั้งและมีพลังความแข็งแกร่งที่อ่อนแอกว่าก่อนมาก ภรรยาของเขาก็เป็นสตรีงามมากพรสวรรค์จากชนเผ่ามนุษย์ ไม่ว่ามองจากมุมใด เรื่องนี้ก็ซับซ้อนและเหนือธรรมชาติมาก
ไม่ว่าหานโม่ฉือหรือฉินอวี้โม่ ทั้งสองคงจะไม่ต้องการให้ผู้อื่นทราบเรื่องนี้มากนัก ต่งเฉิงจึงไม่คิดที่จะกล่าวออกไป
“ที่แท้ก็เป็นเพราะพี่อวี้โม่ทรงพลังเกินไป !”
หลังจากเถาเซี่ยวเซี่ยวได้ยินเรื่องราว นางก็ละสายตาจากต่งเฉิงและเดินเข้าไปนั่งลงข้างฉินอวี้โม่พลางมองอีกฝ่ายด้วยแววตาชื่นชมอย่างเต็มเปี่ยม
“ใช่ เป็นจริงอย่างที่ว่า ก่อนหน้านี้เราช่างริอาจยิ่งนักที่กล้าดูแคลนศิษย์น้องอวี้โม่ เพียงการทำให้เจ้านี่ยอมจำนนได้ก็พิสูจน์ให้เห็นแล้วว่าศิษย์น้องอวี้โม่ทรงพลังเพียงใด ข้าตัดสินใจแล้วว่าจะยกให้เจ้าเป็นพี่ใหญ่ของเราหลังจากนี้และจะไม่ดูถูกดูแคลนเจ้าอีกต่อไป”
เถียนซินพยักหน้าหงึกหงัก เมื่อนึกถึงสิ่งที่เกิดขึ้นที่ลานประลองยุทธ์ของหอชั้นนอกภายในนิกายหมื่นกระบี่ก่อนหน้านี้ การที่นางยังอยู่รอดปลอดภัยดีก็ถือว่าเป็นเคราะห์ดีมากแล้ว
ด้วยความสามารถของฉินอวี้โม่ การที่จะกำจัดพวกนางก็เป็นเรื่องของไม่กี่อึดใจเท่านั้น แม้พลังในขอบเขตเทพเซียนสองดาราของพวกนางก็ไม่อยู่ในสายตาของฉินอวี้โม่ด้วยซ้ำ
“หึ กล้าดีอย่างไรถึงได้มาดูแคลนพี่อวี้โม่ของข้า ?”
เถาเซี่ยวเซี่ยวจ้องเถียนซินตาเขม็ง ในอดีต แม้เถียนซินและสวีเยว่จะไม่ถูกกับนาง นางก็ไม่ชิงชังคนทั้งสองเท่าใดนัก อย่างน้อยที่สุดพวกนางก็แสดงความรู้สึกที่แท้จริงออกมาอย่างเปิดเผยโดยไม่ทำสิ่งที่น่ารังเกียจเช่นการวางแผนลับหลังหรือเสแสร้งแสดงละครเช่นเฉินหว่านเอ๋อร์
“ฮ่า ๆ ๆ ข้าไม่ได้ล้อเล่น ข้ามีคุณสมบัติใดกันที่จะดูแคลนศิษย์น้องอวี้โม่ได้ ? ไม่ว่าจะเป็นด้านพรสวรรค์หรือความแข็งแกร่ง ศิษย์น้องอวี้โม่ก็เหนือชั้นเกินกว่าที่ข้าจะเทียบได้ ข้าเคยเป็นกบในกะลาและจะไม่เป็นเช่นนั้นอีกต่อไป นับจากนี้…เมื่อใดที่มีศิษย์ใหม่เข้าร่วมกับนิกายหมื่นกระบี่อีก ข้าจะสืบข้อมูลของอีกฝ่ายให้ชัดเจนเสียก่อนเพื่อที่จะไม่เสียหน้าเช่นนี้อีกในอนาคต”
เถียนซินกล่าวพร้อมรอยยิ้มและสีหน้าก็ดูสงบนิ่งใจเย็น
สวีเยว่เองก็มีจุดยืนเช่นเดียวกันเถียนซินโดยบ่งบอกว่าพวกตนเคยเป็นกบในกะลาที่มองเห็นเพียงโลกแคบ ๆ และไม่ทราบความจริงนอกเหนือจากนั้น ต้องยอมรับว่าบรรดาอัจฉริยะจากดินแดนระดับต่ำน่าสะพรึงกลัวอย่างแท้จริง อย่างน้อยที่สุด หากเทียบกับผู้ที่ถูกเรียกว่ายอดอัจฉริยะของดินแดนระดับสูง พรสวรรค์ของฉินอวี้โม่ก็ไม่ได้ด้อยไปกว่ากันเลย
“ข้าไม่สนใจกับการเป็นพี่ใหญ่ของหอชั้นนอกหรอก ข้าจะเข้าร่วมการประเมินเลื่อนชั้นเป็นศิษย์ในที่กำลังจะมาถึง ข้าจะพยายามอย่างเต็มที่และเข้าร่วมกับหอชั้นในให้ได้ ข้ารู้ว่าหอชั้นในมีการแข่งขันสูงมากและข้าจะเข้าไปเป็นพี่ใหญ่ของที่นั่น ฮ่า ๆ ๆ”
ฉินอวี้โม่กล่าวติดตลกเพื่อผ่อนคลายบรรยากาศความกังวลก่อนหน้านี้
ทุกคนหัวเราะอย่างพร้อมเพรียงและผ่อนคลายลงมาก
ต่งเฉิงทำได้เพียงแต่ยืนนิ่งด้วยใบหน้าเจื่อน ๆ บรรดามิตรสหายของ ‘นายหญิง’ ของมันแตกต่างไปจากคนทั่วไปมาก มันคือนักล่าวิญญาณที่สามารถทำให้ผู้คนตกใจกลัวได้ตั้งแต่แวบแรกที่เห็น ทว่าในเวลานี้ คนเหล่านี้กลับมองข้ามมันไปอย่างสิ้นเชิง หากผู้อื่นในเผ่าเดียวกันทราบเข้า เกรงว่ามันคงจะถูกหัวเราะเยาะเป็นแน่…
“อีกอย่าง ศิษย์พี่เหลิ่ง จากการที่ท่านเติบโตขึ้นที่นี่ ข้าอยากรู้ว่ามีเรื่องผิดปกติเกิดขึ้นในหมู่บ้านนี้บ้างหรือไม่ ?”
เมื่อนึกถึงเรื่องนี้ ฉินอวี้โม่ก็เอ่ยถามออกไป
ข่ายอาคมตรึงวิญญาณไม่ได้เกิดขึ้นจากฝีมือของต่งเฉิง ประชากรของหมู่บ้านกล้วยไม้เมฆาก็ไม่ได้ถูกมันสังหารและยังมีบางส่วนที่ฆ่าฟันกันเองเช่นกัน หมู่บ้านเล็ก ๆ แห่งนี้มีปริศนาใดซ่อนไว้กันแน่ ?
“ผิดปกติงั้นหรือ ?”
เหลิ่งซวงเสวี่ยขมวดคิ้วเล็กน้อยขณะนึกทบทวนย้อนกลับไปถึงสิ่งที่เคยเกิดขึ้นในหมู่บ้านตลอดเวลาที่ผ่านมา
ในความทรงจำของนาง หมู่บ้านกล้วยไม้เมฆาเป็นเพียงหมู่บ้านทั่วไปซึ่งดูจะไม่มีสิ่งใดแปลกประหลาด ยิ่งไปกว่านั้น พรสวรรค์ของผู้คนในหมู่บ้านนี้ก็อยู่เพียงระดับทั่วไปเท่านั้นและไม่มีผู้ใดโดดเด่นเป็นพิเศษ เพียงแต่หลังจากที่เหลิ่งซวงเสวี่ยออกจากหมู่บ้านและถูกหลอกล่อไปสังหาร นางก็ได้รับโชคลาภโดยบังเอิญซึ่งกระตุ้นศักยภาพและพรสวรรค์ของนางขึ้นมา
“หมู่บ้านของเราไม่เคยมีอัจฉริยะแม้แต่คนเดียว นับเป็นเรื่องแปลกหรือไม่ ?”
หลังจากไตร่ตรองเป็นเวลานาน เหลิ่งซวงเสวี่ยก็เอ่ยถามออกไป
“ไม่แปลกหรอก ในหลาย ๆ ที่ก็ไม่มีอัจฉริยะอยู่ อีกอย่าง…พี่เหลิ่ง ท่านก็ถือเป็นอัจฉริยะมิใช่หรือ ?”
เถาเซี่ยวเซี่ยวไม่รอให้ฉินอวี้โม่ตอบกลับและปฏิเสธออกไปทันทีพลางนึกว่าคงมิใช่เรื่องใหญ่
“ไม่ ข้าคิดว่าเรื่องนี้อาจเป็นหนึ่งในความผิดปกติที่เกิดขึ้นในหมู่บ้านกล้วยไม้เมฆา”
ฉินอวี้โม่ไตร่ตรองดูและเห็นพ้องกับวาจาของเหลิ่งซวงเสวี่ย
“เราไปถามท่านลุงและท่านป้าจะดีกว่า”
เวลานี้ยังไม่รุ่งสางและเหลิ่งต้าซานคงจะยังมีสติรู้ตัวอยู่