นักล่าวิญญาณจำนนต่อฉินอวี้โม่แล้วและกล่าวได้ว่าไม่มีภยันตรายในหมู่บ้านกล้วยไม้เมฆาแห่งนี้อีก เวลานี้ นางและทุกคนจึงมุ่งหน้าไปยังเรือนของเหลิ่งต้าซานด้วยกัน
เป็นจริงดังที่คิดไว้ เนื่องจากยังไม่รุ่งสาง สองสามีภรรยาจึงยังมีสติอยู่และใช้ชีวิตอยู่ในเรือนหลังนั้น
เมื่อเห็นฉินอวี้โม่และทุกคนเดินเข้ามา ใบหน้าของทั้งสองก็เผยรอยยิ้มกว้างและถอนหายใจด้วยความโล่งอก
“ท่านพ่อ ท่านแม่ ไม่ต้องกังวลเจ้าค่ะ ทุกอย่างเรียบร้อยดีแล้ว”
เหลิ่งซวงเสวี่ยก้าวออกไปนั่งลงข้างทั้งสองและกล่าวอธิบาย
“ดีแล้วที่สะสางมันได้ ดีจริง ๆ”
เหลิ่งต้าซานต้องการจับมือบุตรสาว ทว่าเขาก็พบว่ามือของเขายังคงทะลุผ่านร่างของนางไปและไม่สามารถสัมผัสถึงความอบอุ่นจากนางได้เลย
“ต่งเฉิง เราจะทำให้พวกเขาสัมผัสถึงกันได้อย่างไร ?”
ฉินอวี้โม่เอ่ยถาม ในฐานะนักล่าวิญญาณ ต่งเฉิงคงจะมีวิธีการบางอย่างอยู่
“ปล่อยให้เป็นหน้าที่ของข้าเอง”
ต่งเฉิงเพียงต้องการให้ทุกคนตระหนักถึงบทบาทสำคัญของตน จากนั้นพลังจากมือของมันก็แผ่ออกไปปกคลุมร่างของเหลิ่งต้าซานและเหลิ่งชี ไม่นานนัก จิตวิญญาณเลือนรางของทั้งสองก็ดูเสมือนจริงขึ้นมา
เหลิ่งชีมีท่าทีตื่นเต้นขึ้นมาและรีบยื่นมือออกไปหาเหลิ่งซวงเสวี่ยทันที ในที่สุด มือของมารดาและบุตรสาวก็ประสานเข้าด้วยกันซึ่งทำให้นางสะอื้นยิ่งกว่าเดิม
“เสวี่ยเอ๋อร์ของแม่…”
เหลิ่งชีสวมกอดเหลิ่งซวงเสวี่ยในอ้อมแขนและเป็นภาพที่ทำให้ทุกคนอ่อนไหวขึ้นมา
“ท่านลุงเหลิ่ง เรากลับมาเพื่อถามบางอย่างจากท่านเจ้าค่ะ”
ฉินอวี้โม่เอ่ยแทรกขึ้นมาและต้องการสอบถามเหลิ่งต้าซานโดยตรง เพราะถึงอย่างไร เวลาก็ใกล้จะหมดลงแล้วและตอนนี้ยังมิใช่เวลาสำหรับเรื่องอ่อนไหวหรือเรื่องสะเทือนใจ
“เรื่องอะไรหรือ ? ว่ามาสิ”
เหลิ่งต้าซานกล่าวตอบพร้อมแตะแขนภรรยาเล็กน้อยเพื่อเรียกสติของนางกลับคืนมา
“ขอโทษด้วย ข้าเคยคิดว่าจะไม่ได้พบกับเสวี่ยเอ๋อร์อีกตลอดไป ไม่คิดเลยว่าจะได้กอดนางอีกครั้งเช่นนี้และทำให้ทุกคนเสียเวลา”
เหลิ่งชีขอโทษขอโพยทุกคนก่อนกลับไปนั่งในตำแหน่งเดิมและฟังบทสนทนาของทุกคนอย่างเงียบ ๆ
“ท่านลุงเหลิ่ง ตลอดเวลาที่ผ่านมาเคยมีเรื่องผิดปกติเกิดขึ้นในหมู่บ้านกล้วยไม้เมฆาบ้างหรือไม่เจ้าคะ ?”
ฉินอวี้โม่เอ่ยถามอย่างตรงไปตรงมา หากได้ทราบถึงความผิดปกติในหมู่บ้านกล้วยไม้เมฆา นางจะสามารถสืบสาวเรื่องราวได้อย่างเฉพาะเจาะจงมากขึ้นและค้นหาว่าผู้ใดเป็นคนวางข่ายอาคมตรึงวิญญาณไว้ที่นี่
ยิ่งไปกว่านั้น การที่ทำให้ผู้คนลงมือฆ่าแกงกันเองได้ก็น่าจะมีผลประโยชน์บางอย่างเข้ามาเกี่ยวข้อง ภายในหมู่บ้านเล็ก ๆ แห่งนี้ คาดว่าอาจจะมีขุมทรัพย์บางอย่างที่ถูกซ่อนไว้ เพียงแต่ยังมิอาจทราบสิ่งใดได้ในตอนนี้…
“เรื่องผิดปกติอย่างนั้นหรือ ?”
เหลิ่งต้าซานขมวดคิ้วมุ่นและใช้ความคิดเพื่อนึกทบทวนทุกอย่างที่ทราบเกี่ยวกับหมู่บ้านกล้วยไม้เมฆา
เขาใช้ชีวิตอยู่ในหมู่บ้านแห่งนี้มานานหลายสิบปีและทราบเรื่องราวมากพอสมควร ทว่าหากจะกล่าวถึงสิ่งที่ถือว่า ‘ผิดปกติ’ เขาก็นึกออกเพียงไม่กี่เรื่องเท่านั้น
“บอกตามตรง หมู่บ้านกล้วยไม้เมฆาของเราเป็นเพียงหมู่บ้านเล็ก ๆ ที่ไม่มีสิ่งใดโดดเด่นและโดยปกติแทบจะไม่มีใครมาที่นี่ด้วยซ้ำ หากถามว่ามีสิ่งใดผิดปกติ ข้านึกออกเพียงอย่างเดียวนั่นคือนับตั้งแต่ที่หมู่บ้านกล้วยไม้เมฆาดำรงอยู่มา ในหมู่บ้านของเราไม่เคยมียอดฝีมือแม้แต่คนเดียว ไม่เพียงเท่านั้น…เราไม่เคยพบผู้ใดที่ทรงพลังโดดเด่นกว่าคนอื่น ๆ ด้วยซ้ำ ก่อนหน้านี้ในหมู่บ้านกล้วยไม้เมฆาของเรา ผู้ที่แข็งแกร่งที่สุดบรรลุเพียงขอบเขตเทพยุทธ์เท่านั้นและไม่สามารถก้าวขึ้นไปในขอบเขตเทพสวรรค์ได้ด้วยซ้ำ”
เหลิ่งต้าซานรู้สึกว่าเรื่องนี้ควรจะเป็นสิ่งที่ผิดปกติของหมู่บ้านกล้วยไม้เมฆา แม้ประชากรในหมู่บ้านเล็ก ๆ จะอ่อนแอเป็นธรรมดา พวกเขาก็ไม่ควรจะอ่อนแอถึงระดับนั้น เพราะถึงอย่างไร ในโลกแห่งเทพก็เต็มไปด้วยสภาวะพลังที่อุดมสมบูรณ์ ไม่ว่าจอมยุทธ์จะอ่อนแอเพียงใด พวกเขาก็ควรจะบรรลุขอบเขตเทพสวรรค์ได้สำเร็จ
“ไม่มีแม้แต่คนเดียวเลยหรือเจ้าคะ ?”
เหลิ่งซวงเสวี่ยเคยบอกเรื่องนี้กับฉินอวี้โม่ไปแล้วและนางก็ปักใจเชื่อ อย่างไรก็ตาม นางคิดว่าอย่างน้อยก็อาจจะมีคนสองคนที่เฉิดฉายเหนือกว่าคนอื่น ๆ ทว่าตอนนี้เหลิ่งต้าซานกลับยืนยันว่าไม่เคยมีแม้แต่คนเดียว
เหลิ่งต้าซานส่ายศีรษะเบา ๆ ในความทรงจำของเขา ไม่เคยมีผู้ใดในหมู่บ้านกล้วยไม้เมฆาที่บรรลุขอบเขตเทพสวรรค์ได้สำเร็จ แม้ปัจจุบันนี้เหลิ่งซวงเสวี่ยจะบรรลุถึงขอบเขตเทพเซียนแล้วซึ่งเหนือกว่าขอบเขตเทพสวรรค์ ทว่านางก็ไม่ได้ทะลวงพลังภายในหมู่บ้านแห่งนี้
“ถ้าเช่นนั้นในหมู่บ้านกล้วยไม้เมฆามีสิ่งใดที่พิเศษอยู่หรือไม่เจ้าคะ ?”
ฉินอวี้โม่เอ่ยถามอีกครั้งและต้องการทราบเกี่ยวกับสิ่งที่พิเศษในหมู่บ้าน
การที่ไม่เคยมียอดฝีมือที่มีความโดดเด่นในด้านพรสวรรค์และความแข็งแกร่งปรากฏขึ้นในหมู่บ้านกล้วยไม้เมฆาอาจจะเป็นเพราะอิทธิพลจากพลังพิเศษบางอย่าง เป็นไปได้ว่าพลังดังกล่าวนั้นคอยยับยั้งมิให้มียอดฝีมือถือกำเนิดขึ้นมาที่นี่ ฉินอวี้โม่สันนิษฐานไว้ว่าข่ายอาคมตรึงวิญญาณที่ทรงพลังก็อาจจะเกี่ยวข้องกับพลังนั้นเช่นกัน
เหลิ่งต้าซานนิ่งเงียบไปอีกครั้งและใช้ความคิดอย่างหนักเพื่อนึกถึงสิ่งที่พิเศษในหมู่บ้านแห่งนี้
“ข้านึกออกแล้ว ในหมู่บ้านเรามีบ่อน้ำแห้งอยู่บ่อหนึ่ง เมื่อหลายปีก่อน เกิดเหตุการณ์ประหลาดกับบ่อน้ำนั้นและคนในหมู่บ้านของเราก็กระโดดลงไปในบ่อน้ำนั่นอย่างไร้สาเหตุ ในตอนนั้น ผู้ใหญ่บ้านก็เชิญยอดฝีมือมาตรวจดูและเขาสรุปว่าบ่อน้ำนั้นลึกลับจนเกินไปจึงปิดผนึกมันไว้และไม่เคยเปิดมันอีกเลย หากถามถึงสิ่งใดที่พิเศษ ข้าก็นึกออกเพียงบ่อน้ำแห้งบ่อนั้น”
เหลิ่งต้าซานอธิบายถึงสาเหตุที่เขาคิดว่า ‘บ่อน้ำแห้ง’ มีความพิเศษและผิดธรรมดา
“มีคนกระโดดลงไปอย่างนั้นหรือ ? แล้วพวกท่านได้ลงไปสำรวจบ้างหรือไม่ ?”
เถียนซินอดเอ่ยถามไม่ได้และรู้สึกว่าเรื่องนี้แปลกประหลาดไม่น้อย เพราะในเมื่อมันเป็นเพียงบ่อน้ำแห้ง แล้วมันจะมีสิ่งใดอยู่ข้างในนั้นได้ ?
“ท่านจอมยุทธ์คงจะไม่รู้ว่าบ่อน้ำแห้งนั่นเป็นบ่อน้ำที่ไร้ก้นบ่อ เราเคยส่งคนไปสำรวจดู ทว่าเมื่อลงไปถึงประมาณสิบจั้ง พวกเขาก็ถูกขวางกั้นโดยพลังบางอย่างและลงไปต่อไม่ได้อีก”
เหลิ่งต้าซานกล่าวพลางส่ายศีรษะอย่างจนปัญญา ในอดีตพวกเขาส่งคนลงไปสำรวจทันทีที่เกิดเรื่อง ทว่าน่าเสียดายที่ไม่เคยมีผู้ใดลงไปถึงก้นบ่อของมันได้เลย
หลังจากถูกขวางกั้นโดยพลังประหลาด พวกเขาเหล่านั้นก็เกิดหวั่นใจขึ้นมาและไม่กล้าลงไปอีก
“แม้แต่ยอดฝีมือที่ถูกเรียกตัวมาสืบเรื่องนั้นก็ลงไปที่ก้นบ่อน้ำไม่ได้เช่นกัน”
เขากล่าวต่ออีกประโยคหนึ่งเพื่อยืนยันว่าเป็นเรื่องจริง
“ท่านลุงเหลิ่ง อย่าเรียกกันว่าท่านจอมยุทธ์เลยเจ้าค่ะ นางมีชื่อว่าเถียนซิน ท่านเรียกชื่อของนางได้เลย พวกเราถือเป็นพี่น้องของพี่เหลิ่งและคงทนไม่ได้หากท่านจะเรียกเช่นนั้น”
เถาเซี่ยวเซี่ยวกล่าวพร้อมรอยยิ้มและไม่สงสัยในวาจาของเหลิ่งต้าซาน
“ถ้าเช่นนั้น เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในหมู่บ้านนี้จะต้องเกิดจากบ่อน้ำแห้งนั่นแน่ ๆ”
ฉินอวี้โม่แทบจะมั่นใจเต็มร้อยแล้วว่าบ่อน้ำแห้งที่เหลิ่งต้าซานกล่าวถึงจะต้องซ่อนปริศนาบางอย่างไว้ สำหรับจอมยุทธ์หลายคนที่ฆ่าฟันกันเอง เกรงว่าพวกเขาก็น่าจะค้นพบปริศนาดังกล่าวเช่นกัน
“ท่านลุงเหลิ่ง บ่อน้ำแห้งที่ว่านั่นอยู่ที่ใดรึเจ้าคะ ?”
นางไม่รอช้าและเอ่ยถามพิกัดของบ่อน้ำประหลาดจากเหลิ่งต้าซานทันที
“มันอยู่ในตรอกระหว่างโรงเตี๊ยมสองหลัง อีกอย่าง…ที่นั่นก็มีผนึกปิดกั้นอยู่รอบ ๆ และคนในเมืองเข้าไปใกล้ไม่ได้เลย หากต้องการไปที่นั่น พวกเจ้าทุกคนจะต้องระวังตัวด้วยล่ะ”
เหลิ่งต้าซานชี้ไปยังทิศทางดังกล่าวก่อนกำชับให้ฉินอวี้โม่และทุกคนระวังตัวหากต้องการไปสำรวจบ่อน้ำแห้ง
“ในตรอกอย่างนั้นหรือ ?”
ฉินอวี้โม่และทุกคนเดินผ่านตรอกนั้นมาก่อนทว่าไม่เคยสัมผัสถึงสิ่งผิดปกติใด ๆ นั่นอาจเป็นเพราะข่ายอาคมตรึงวิญญาณที่รบกวนประสาทการรับรู้ของพวกนางและทำให้ประสาทการรับรู้ของพวกนางทื่อลง
“เมื่อถึงรุ่งสาง เราไปดูกันเถอะ”
ฉินอวี้โม่ไตร่ตรองครู่หนึ่งและตัดสินใจออกไป อย่างไรก็ตาม เนื่องจากยังไม่ทราบเกี่ยวกับบ่อน้ำแห้งมากนัก นางจึงจะใช้ช่วงเวลาก่อนรุ่งสางเพื่อเตรียมความพร้อมที่จำเป็น
ยิ่งไปกว่านั้น เมื่อท้องฟ้าสว่าง อิทธิพลของข่ายอาคมตรึงวิญญาณที่มีต่อพวกนางก็จะลดน้อยลง เมื่อถึงตอนนั้น หากต้องเผชิญกับอันตรายใด ๆ อย่างน้อยพวกนางก็ยังสามารถรับมือได้
แน่นอนว่าทุกคนไม่คัดค้านและพยักศีรษะอย่างเห็นพ้องตรงกัน