ทุกคนใช้เวลาอยู่ในเรือนของเหลิ่งซวงเสวี่ยต่อไปอีกพักหนึ่ง และเมื่อถึงยามรุ่งสาง ร่างจิตวิญญาณของเหลิ่งต้าซานและภรรยาก็ค่อย ๆ หายไปต่อหน้าทุกคน
“ต่งเฉิง ในช่วงกลางวัน ดวงวิญญาณในหมู่บ้านกล้วยไม้เมฆาจะไปอยู่ที่ใดหรือ ?”
ฉินอวี้โม่สงสัยใคร่รู้ในเรื่องนี้มาตั้งแต่ต้น ดวงวิญญาณในหมู่บ้านกล้วยไม้เมฆาล้วนปรากฏให้เห็นเพียงในยามราตรีและนอกเหนือจากบิดามารดาของเหลิ่งซวงเสวี่ยก็ไม่มีดวงวิญญาณใดที่จะมีสติรับรู้อีก สิ่งเหล่านี้ถือว่าน่าฉงนสงสัยยิ่งนัก
จากคำอธิบายของต่งเฉิง มันมาที่หมู่บ้านกล้วยไม้เมฆาแห่งนี้ตั้งแต่เมื่อประมาณครึ่งเดือนก่อน เพราะเหตุนั้น มันควรจะทราบถึงรายละเอียดต่าง ๆ อยู่พอสมควร
“ในช่วงกลางวัน พวกเขาเหล่านั้นจะไปรวมตัวกันที่จุดศูนย์กลางของข่ายอาคมตรึงวิญญาณ ข่ายอาคมนั้นมีพลังประหลาดที่ทำให้ข้าหวาดหวั่นไม่น้อย ส่วนเรื่องที่ดวงวิญญาณบางดวงมีสติรับรู้เป็นของตนเอง ทว่าดวงอื่น ๆ ไม่มีนั้น ข้าก็ยังคิดหาคำตอบไม่ได้ มันเป็นอีกเหตุผลหนึ่งที่ทำให้ข้าควบคุมดวงวิญญาณเหล่านั้นไม่ได้ มิเช่นนั้น ดวงวิญญาณทั้งหมดในหมู่บ้านนี้ก็คงจะถูกควบแน่นกลายเป็นลูกปัดวิญญาณของข้าไปนานแล้ว !”
เป็นดังที่คิดไว้ ต่งเฉิงทราบว่าดวงวิญญาณในหมู่บ้านจะไปอยู่ที่ใดในช่วงกลางวัน ทว่ามันไม่สามารถเข้าไปในที่แห่งนั้นได้
จุดศูนย์กลางของข่ายอาคมตรึงวิญญาณเปี่ยมไปด้วยพลังพิเศษบางอย่างซึ่งขัดขวางมิให้มันเข้าไปใกล้ได้
สำหรับสาเหตุที่ดวงวิญญาณบางดวงมีสติรับรู้และสามารถสื่อสารได้ซึ่งแตกต่างไปจากดวงอื่น ๆ นั้น มันก็ยังคงสืบหาความจริงเกี่ยวกับเรื่องนี้อยู่ เพราะถึงอย่างไร มีเพียงการที่ดวงวิญญาณทั้งหมดไร้สติไปอย่างสิ้นเชิงเท่านั้น มันจึงจะหลอมรวมดวงวิญญาณเหล่านั้นเพื่อควบแน่นเป็นลูกปัดวิญญาณได้
ฉินอวี้โม่และคนอื่น ๆ เข้าใจในสิ่งที่ได้ยินและไม่เอ่ยถามสิ่งใดต่อ จากนั้นทุกคนก็มุ่งหน้าไปยังตรอกระหว่างโรงเตี๊ยมสองหลังด้วยกัน
ท้องฟ้าเบื้องบนสว่างแล้ว ทว่าทุกคนก็ต้องประหลาดใจเมื่อพบว่าหมอกหนาที่ปกคลุมทั่วบริเวณหมู่บ้านยังคงไม่จางหายไปและบดบังทัศนวิสัยจนแทบจะมองไม่เห็น
“ในช่วงกลางวันของเมื่อวาน มันไม่มีหมอกหนาเช่นนี้มิใช่หรือ ?”
เสิ่นเสี่ยวไห่และทุกคนรู้สึกสับสนกับสิ่งที่เกิดขึ้น ในความทรงจำของพวกเขา เมื่อวานนี้ไม่มีหมอกหนาบดบังทัศนวิสัยรอบตัวเช่นนี้ แล้วเหตุใดวันนี้จึงมีหมอกมากเป็นพิเศษ ?
“ท่านคิดถูกแล้ว มันไม่มีจริง ๆ”
ฉินอวี้โม่พยักศีรษะและกล่าวตอบ เห็นได้ชัดว่าเกิดความเปลี่ยนแปลงบางอย่างกับหมู่บ้านกล้วยไม้เมฆาแห่งนี้ ส่งผลให้หมอกรอบตัวไม่จางหายไป อย่างไรก็ตาม ในกรณีนี้ หากยังคลี่คลายปัญหาไม่สำเร็จ พวกนางก็ไม่มีทางที่จะออกจากหมู่บ้านกล้วยไม้เมฆาไปได้…
ระหว่างโรงเตี๊ยมสองหลังของหมู่บ้านคือตรอกซอยกว้างประมาณสิบฉื่อซึ่งมองเห็นได้อย่างชัดเจน เมื่อมองจากระยะไกลจะพบว่ามันไม่มีสิ่งใดผิดปกติ ทว่าเมื่อเข้าไปใกล้มากขึ้น ทุกคนก็สัมผัสได้ถึงผนึกที่ปกคลุมอยู่รอบ ๆ
เมื่อมองผ่านผนึกดังกล่าวจะสามารถมองเห็นหลุมสีดำที่มืดสนิท มันคือบ่อน้ำที่เหลิ่งต้าซานกล่าวถึงนั่นเอง
ฉินอวี้โม่ก้าวออกไปข้างหน้าและลองทดสอบความแข็งแกร่งของมันดู จากนั้นนางก็พบว่าผนึกนี้มีพลังที่เทียบเท่ากับจอมยุทธ์ในขอบเขตเทพเซียนสามดาราซึ่งไม่ถือว่าแข็งแกร่งมากจนเกินไป อย่างไรก็ตาม สำหรับหมู่บ้านกล้วยไม้เมฆาซึ่งสมาชิกผู้ที่แข็งแกร่งที่สุดไม่สามารถบรรลุถึงขอบเขตเทพสวรรค์ได้ด้วยซ้ำนั้น ผนึกดังกล่าวจึงแกร่งกล้าเกินกว่าที่พวกเขาจะเอื้อมถึง
อึดใจต่อมา ฉินอวี้โม่ก็ทำลายผนึกด้วยการโบกมือเล็กน้อยและบ่อน้ำแห้งก็ปรากฏขึ้นมาต่อสายตาของทุกคน
“เราจะลงไปอย่างไร ?”
ทางเข้าของบ่อน้ำกว้างพอสมควรและคนสามคนสามารถลงไปพร้อมกันได้โดยที่ไม่แออัด ในเวลานี้ เมิ่งฝานได้โยนหินก้อนหนึ่งลงไปก่อนพบว่าไม่มีเสียงใดส่งผ่านกลับมาแม้แต่น้อย เห็นได้ชัดว่าบ่อน้ำแห่งนี้มีความลึกที่หาที่เปรียบไม่ได้และมิอาจคาดเดาได้เลยว่าก้นบ่ออยู่ที่ใด
“ทุกคนเข้าไปในคฤหาสน์ของข้าเถอะ ข้าจะพาลงไปเอง”
ฉินอวี้โม่กล่าวเสนอขึ้น ด้วยความแข็งแกร่งของนางในตอนนี้ นางไม่จำเป็นต้องปิดบังเกี่ยวกับคฤหาสน์เฟิงหัวแม้แต่น้อย ต่อให้ผู้ใดปรารถนาจะแย่งชิงคฤหาสน์ล่องหนไป นางก็มีพลังมากพอที่จะปกป้องตัวเองได้แล้ว
ยิ่งไปกว่านั้น บรรดาจอมยุทธ์เหล่านี้ล้วนเป็นสหายที่ไว้วางใจได้ การเปิดเผยคฤหาสน์เฟิงหัวต่อทุกคนมิใช่เรื่องที่น่ากังวล
“คฤหาสน์อย่างนั้นหรือ ?”
เถียนซินและทุกคนมองฉินอวี้โม่ด้วยแววตาประหลาดใจและไม่เข้าใจในความหมายของนาง
ฉินอวี้โม่เพียงยิ้มตอบและเรียกคฤหาสน์เฟิงหัวออกมา
“อย่าต่อต้านมันล่ะ เพียงก้าวตามข้ามาก็พอ”
นางเปิดช่องทางที่นำเข้าไปสู่คฤหาสน์หลังน้อยและส่งสัญญาณให้ทุกคนตามตนเข้าไป
แน่นอนว่าทุกคนไม่สงสัยในตัวฉินอวี้โม่และก้าวเข้าไปอย่างไม่ลังเล
ทันทีที่ก้าวเข้าไปในคฤหาสน์ล่องหน เถาเซี่ยวเซี่ยวก็อุทานออกมาอย่างไม่หยุดหย่อนและเสียงแห่งความประหลาดใจก็ดังขึ้นในโสตประสาทของทุกคน
“แม่เจ้า พี่อวี้โม่ คฤหาสน์ของท่านสวยมาก ๆ เลย !”
“สวรรค์ ข้าไม่เคยเห็นอาคารที่มีรูปแบบเช่นนี้มาก่อน !”
“พี่อวี้โม่ คฤหาสน์ของท่านก่อตัวกลายเป็นดินแดนของตัวเองแล้วอย่างนั้นหรือ ?”
…
เสียงเจื้อยแจ้วของเด็กสาวดังขึ้นเรื่อย ๆ และไม่มีผู้ใดขัดจังหวะนางแม้แต่น้อย
เถียนซินและคนอื่น ๆ ก็กำลังชื่นชมในความงดงามของอาคารในคฤหาสน์เฟิงหัวอยู่เช่นกันจึงเมินเฉยเสียงอุทานของเถาเซี่ยวเซี่ยวไปโดยปริยาย
“สภาวะพลังของที่นี่ก็ไม่ด้อยไปกว่าโลกภายนอกเท่าใดนัก หากบ่มเพาะฝึกฝนอยู่ที่นี่ ความเร็วในการพัฒนาจะไม่มีทางช้าอย่างแน่นอน”
เถียนซินและสวีเยว่มองหน้ากันและรู้สึกชื่นชมในตัวฉินอวี้โม่มากยิ่งขึ้น ในเมื่ออีกฝ่ายมีคฤหาสน์ล่องหนที่สมบูรณ์แบบเช่นนี้ พวกนางก็เทียบไม่ติดฝุ่นอย่างแท้จริงและไม่มีความจำเป็นที่ฉินอวี้โม่จะต้องเห็นพวกนางอยู่ในสายตาด้วยซ้ำ
“นี่คือคฤหาสน์ที่ข้าหลอมขึ้นมาเองและมันสามารถพัฒนาเติบโตต่อไปได้เรื่อย ๆ อสูรพันธสัญญาของข้าและสมบัติอื่น ๆ ล้วนอยู่ในนี้ทั้งหมด”
ฉินอวี้โม่กล่าวอธิบายอย่างคร่าว ๆ ก่อนซิว มารยา เสี่ยวเฮยและบรรดาอสูรจะพากันวิ่งโร่ออกมา
“ท่านแม่ ท่านไม่มาหาพวกเรานานมากแล้ว
หานอวี้ปรี่เข้ามาหาฉินอวี้โม่ด้วยแววตาที่ตื่นเต้นอย่างที่สุด คราก่อนเมื่อฉินอวี้โม่และหานโม่ฉือนำตัวต่งเฉิงเข้ามา มันก็เป็นเพียงช่วงเวลาเพียงสั้น ๆ เท่านั้น อสูรส่วนใหญ่จึงไม่ได้มีโอกาสออกมาหานาง
ในตอนนี้เมื่ออสูรมายาจำนวนมากวิ่งกรูออกมารวมตัว หน้าประตูเมืองของคฤหาสน์เฟิงหัวจึงแออัดขึ้นมาอย่างกะทันหัน
“พี่อวี้โม่ ทั้งหมดนี้คืออสูรพันธสัญญาของท่านหรือ ?”
เถาเซี่ยวเซี่ยวอ้าปากค้างและมองบรรดาอสูรรอบตัวฉินอวี้โม่ด้วยความตกตะลึง อสูรมายาเหล่านี้มีจำนวนมากมายจนเกินไป หากเรียกพวกมันออกไปข้างนอก พวกมันอาจจะกลายเป็นกองทัพที่สามารถทัดเทียมกับนิกายหมื่นกระบี่ได้ ไม่จำเป็นต้องพูดถึงหอชั้นนอกของนิกายหมื่นกระบี่เลย
“ใช่ ข้าทำพันธสัญญากับอสูรในดินแดนระดับต่ำเป็นจำนวนมาก พวกมันเป็นทั้งอสูรพันธสัญญาและเป็นสหายคู่คิดของข้า พวกมันจะเป็นตัวช่วยที่ดีที่สุดให้กับข้าในอนาคตต่อไป”
ฉินอวี้โม่พยักศีรษะพร้อมรอยยิ้ม แม้กล่าวเช่นนั้น อสูรบางตัวก็บรรลุถึงขีดจำกัดของระดับพรสวรรค์สูงสุดแล้ว อย่างเช่นเสี่ยวเฮยและเสี่ยวจินซึ่งเป็นอสูรพันธสัญญาตัวแรก ๆ ของนาง อย่างมากพวกมันก็สามารถบรรลุถึงขอบเขตเทพสวรรค์ได้เท่านั้น สำหรับอสูรเช่นพวกมัน นอกเหนือจากอสูรรวมร่าง พวกมันก็ไม่สามารถช่วยอะไรฉินอวี้โม่ได้เลยและทำได้เพียงจัดการดูแลความเรียบร้อยภายในคฤหาสน์เฟิงหัว
บรรดาอสูรที่สามารถช่วยฉินอวี้โม่และต่อสู้เคียงบ่าเคียงไหล่กับนางเป็นประจำเป็นเพียงหนึ่งในสิบส่วนของกองทัพอสูรมายาทั้งหมด
“เจ้าจะทรงพลังเกินไปแล้ว เจ้าสามารถหลอมมิติที่สองและทำพันธสัญญากับอสูรทรงพลังเป็นจำนวนมาก หากเรื่องนี้แพร่ออกไป ไม่เพียงแต่นิกายหมื่นกระบี่เท่านั้น ทว่าแม้แต่ขุมกำลังระดับหนึ่งทั่วทั้งดินแดนก็คงจะต้องการต่อสู้เพื่อแย่งชิงตัวเจ้า”
เถียนซินและสวีเยว่กล่าวอย่างจนปัญญา น้ำเสียงของพวกนางแสดงถึงความชื่นชมต่อฉินอวี้โม่อย่างไม่ปิดบัง ทว่าสิ่งที่กล่าวออกไปก็เป็นความจริง
เพียงความสามารถในการหลอมมิติที่สองก็พิสูจน์ให้เห็นแล้วว่าฉินอวี้โม่เป็นช่างหลอมระดับจักรพรรดิเป็นอย่างต่ำ และพวกนางตระหนักดีว่าช่างหลอมระดับจักรพรรดิหมายถึงอะไร
ช่างหลอมระดับจักรพรรดิสามารถหลอมอาวุธอุปกรณ์ได้มากมายจนแทบจะครอบจักรวาลและสมบัติบางชิ้นก็ล้ำค่าเสียจนจอมยุทธ์ผู้แกร่งกล้าหลายคนอดใจที่จะสละชีวิตเพื่อแลกกับมันไม่ได้
“อย่าเพิ่งเอ่ยถึงเรื่องนี้กันเลย สิ่งที่สำคัญที่สุดของเราในตอนนี้คือการสะสางปัญหาในหมู่บ้านกล้วยไม้เมฆาให้สำเร็จ”
ฉินอวี้โม่กล่าวขึ้นเพื่อเรียกสติของทุกคน จากนั้นนางก็เคลื่อนไหวความคิดเพื่อขับเคลื่อนคฤหาสน์เฟิงหัวลงไปในส่วนลึกของบ่อน้ำแห้ง