ในเวลานี้ ทุกคนซ่อนตัวอยู่ในคฤหาสน์เฟิงหัวโดยที่ไม่ต้องกังวลเกี่ยวกับภยันตรายที่ต้องเผชิญ
คฤหาสน์เฟิงหัวก็ขับเคลื่อนลึกลงไปเรื่อย ๆ ในขณะที่สภาพแวดล้อมมืดลงอย่างรวดเร็วจนมองเห็นได้เพียงแสงสลัวเท่านั้น
ฉินอวี้โม่ทราบว่าตอนนี้ลงมาถึงระยะประมาณสิบจั้งแล้วและนางเริ่มสังเกตเห็นผนึกที่เหลิ่งต้าซานกล่าวถึงได้จากข้างในคฤหาสน์ล่องหน
“ไปต่อกันเถอะ”
ผู้คนในหมู่บ้านกล้วยไม้เมฆาทำลายผนึกตรงหน้าไม่ได้ ทว่ามันมิใช่ปัญหาสำหรับฉินอวี้โม่ ผนึกดังกล่าวคงจะถูกวางไว้โดยจอมยุทธ์ในขอบเขตเทพเซียนสามดาราซึ่งไม่ถือว่าแข็งแกร่งมากจนเกินไป
สิ่งนี้พิสูจน์ให้เห็นแล้วว่านอกเหนือจากพวกนางก็ยังมีผู้อื่นที่ทราบเกี่ยวกับผนึกของที่นี่ บางทีหลายคนที่เดินทางมาที่หมู่บ้านกล้วยไม้เมฆาเพื่อตรวจสอบสถานการณ์ประหลาดก็น่าจะทราบเกี่ยวกับบ่อน้ำแห้งแห่งนี้เช่นกัน…
เวลานี้ฉินอวี้โม่เริ่มตั้งข้อสันนิษฐานบางอย่างในใจ ทว่ายังต้องลงไปสำรวจข้างในบ่อน้ำต่อเพื่อยืนยันให้แน่ชัด
คนอื่น ๆ ในคฤหาสน์เฟิงหัวไม่สามารถรับรู้ถึงสถานการณ์ภายนอกได้ และแม้จะอยู่ในคฤหาสน์ล่องหนครู่ใหญ่แล้ว ทุกคนก็ยังสงสัยใคร่รู้และตื่นเต้นกับคฤหาสน์งดงามพลางคิดว่าคงมีเพียงฉินอวี้โม่เท่านั้นที่จะมีความสามารถในการหลอมคฤหาสน์ที่น่าตื่นตาเช่นนี้
หลังจากที่คฤหาสน์เฟิงหัวฝ่าทะลวงผ่านผนึกไปได้ มันก็ดำดิ่งลงไปอย่างรวดเร็ว
และประมาณสองก้านธูปต่อมา แสงสว่างจ้าก็ค่อย ๆ ปรากฏขึ้นรอบบริเวณในขณะที่ฉินอวี้โม่และทุกคนมาถึงก้นบ่อน้ำ
บริเวณก้นบ่อน้ำแห่งนี้คือเส้นทางขนานที่ทอดยาวไปที่ใดสักแห่ง กำแพงทั้งสองข้างทางเต็มไปด้วยไข่มุกราตรีซึ่งส่องสว่างอย่างชัดเจน
ฉินอวี้โม่อธิบายสถานการณ์ข้างนอกให้ทุกคนได้ทราบและทุกคนก็นึกอยากรู้อยากเห็นขึ้นมา
“อวี้โม่ เหตุใดเราไม่ออกไปสำรวจข้างนอกกันดูล่ะ ?”
เหลิ่งซวงเสวี่ยกล่าวเสนอขึ้น แม้การอยู่ในคฤหาสน์เฟิงหัวจะช่วยให้ทุกคนปลอดภัย มันก็ไม่น่าตื่นเต้นเร้าใจและพวกนางจะไม่ได้ประสบกับสิ่งที่เกิดขึ้นด้วยตัวเอง
เห็นได้ชัดว่าสถานที่ที่เส้นทางทอดยาวไปจะต้องซ่อนปริศนาบางอย่างไว้ หากได้ตรวจสอบมัน พวกนางอาจจะค้นพบปริศนาของหมู่บ้านกล้วยไม้เมฆาแห่งนี้ก็เป็นได้
“เข้าใจแล้ว”
ฉินอวี้โม่พยักศีรษะและส่งทุกคนออกจากคฤหาสน์เฟิงหัวไปพร้อมกัน
เมื่อก้าวออกมา คณะจอมยุทธ์ก็ปรากฏตัวบนทางเดินทอดยาว
เส้นทางนี้กว้างขวางอย่างมากและหลายคนสามารถยืนเรียงหน้ากันได้โดยไม่แออัด ในเวลานี้ ฉินอวี้โม่ก็เพียงกำชับให้ทุกคนระวังตัวก่อนเดินนำออกไปก่อน
เถาเซี่ยวเซี่ยวเกาะแขนนางทางข้างซ้าย ในขณะที่ทางขวาคือเหลิ่งซวงเสวี่ยผู้เงียบขรึม
เถียนซินและสวีเยว่ก็ตามติดฉินอวี้โม่ด้วยสีหน้าระแวดระวังและแววตาของพวกนางก็แสดงถึงความเคารพต่อฉินอวี้โม่อย่างชัดเจน
ในตอนนี้พวกนางรู้สึกประทับใจในตัวฉินอวี้โม่มากขึ้นเรื่อย ๆ แม้แต่การที่จะเรียกนางว่า ‘พี่ใหญ่’ ก็เป็นเรื่องที่พวกนางยินดีทำและรู้สึกเป็นเกียรติอย่างยิ่ง ถึงอย่างไรก็มิใช่ทุกคนที่จะได้รับการยอมรับจากฉินอวี้โม่
ในเวลานี้ เสิ่นเสี่ยวไห่และเมิ่งเถียนก็เดินไปข้างหน้าอย่างรวดเร็ว ในขณะที่เมิ่งฝาน เซียวหมิงและเมิ่งจวินเดินขนาบข้างเถียนซินและสวีเยว่
เห็นได้ชัดว่าเสิ่นเสี่ยงไห่และเมิ่งฝานมีความเข้าใจตรงกันโดยที่ไม่ต้องใช้คำพูด พวกเขาต้องการปกป้องและคุ้มกันความปลอดภัยให้กับฉินอวี้โม่และสตรีคนอื่น ๆ รวมถึงเมิ่งจวินที่อยู่ตรงกลาง
ระหว่างเดินหน้าไปตามเส้นทาง ทุกคนไม่รับรู้ถึงภยันตรายใด ๆ
เมื่ออีกหนึ่งก้านธูปผ่านไป ทุกคนก็มาถึงหน้าโถงกว้างแห่งหนึ่งซึ่งมีม่านพลังป้องกันมิให้คนนอกผ่านเข้าไป
“แม่เจ้า นั่นมันอะไรกัน ?!”
เถียนซินอุทานออกไปทันทีขณะสายตาจับจ้องไปที่จุดหนึ่งของห้องโถงและไม่อยากจะเชื่อสายตาของตนเอง
ณ จุดหนึ่งภายในห้องโถงตรงหน้าคือวัตถุคล้ายหินขนาดเท่าลูกตะกร้อ มันคือสมบัติล้ำค่าที่เทพธิดาหนี่ว์วาทิ้งไว้และเป็นที่รู้จักกันในชื่อ ‘หินศักดิ์สิทธิ์ห้าสี’
กล่าวกันว่ามีพลังที่มหาศาลซ่อนอยู่ในหินศักดิ์สิทธิ์ห้าสีนี้ ยิ่งไปกว่านั้น ในหินศักดิ์สิทธิ์ห้าสีแต่ละก้อนก็อาจจะมีเศษเสี้ยวพลังศักดิ์สิทธิ์ของเทพธิดาหนี่ว์วาอยู่ด้วย หากมีโอกาสที่มากพอและได้ครอบครองเศษเสี้ยวของพลังศักดิ์สิทธิ์เหล่านั้นไป สามารถจินตนาการได้ว่าจอมยุทธ์ผู้นั้นจะได้รับพลังที่มากมายมหาศาลเพียงใด
“หินศักดิ์สิทธิ์ห้าสีมาอยู่ที่นี่ได้อย่างไร ?”
สตรีกับอัญมณีย่อมเป็นของคู่กัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งคือหินศักดิ์สิทธิ์ห้าสีที่มีพลังลึกลับตรงหน้า ไม่มีผู้ใดที่จะต้านทานแรงดึงดูดของมันได้อย่างแน่นอน
สิ่งที่น่าสะพรึงกลัวยิ่งกว่านั้นคือในห้องโถงตรงหน้าไม่ได้มีเพียงแค่หินศักดิ์สิทธิ์ห้าสีเท่านั้น ทว่ายังมีหินเขี้ยวหนุมาน เหล็กนิลและผลึกหัวใจมายาอายุหมื่นปีอีกเป็นจำนวนมาก
หากกอบโกยสมบัติเหล่านี้ได้ทั้งหมด คนผู้นั้นจะสามารถก่อตั้งขุมกำลังที่ทรงพลังเทียบเท่ากับขุมกำลังระดับต้น ๆ ในโลกแห่งเทพได้อย่างแน่นอน
โชคดีที่ทุกคนเหล่านี้มิใช่คนเจ้าเล่ห์หรือคนโลภ ในเวลานี้ พวกเขาก็เพียงถอนหายใจกันเล็กน้อยก่อนเรียกสติกลับคืนมา
“หรือว่าก่อนหน้านี้คนเหล่านั้นจะขัดแย้งกันเพราะสมบัติในห้องโถงนี้ พวกเขาจึงพยายามฆ่าฟันกันเอง ?”
หลายคนเริ่มตั้งข้อสันนิษฐาน หากกล่าวว่าเป็นเพราะความโลภที่ทำให้คนเหล่านั้นพยายามสังหารกันและกัน มันก็มีความเป็นไปได้พอสมควร
ถึงอย่างไรก็คงมีเพียงน้อยคนที่จะสงบสติอารมณ์อยู่ได้หลังจากได้พบกับสิ่งล่อตาล่อใจเช่นนี้ ผู้ที่เคยมาที่นี่ก่อนหน้านี้ล้วนฝึกจิตใจมาไม่ดีพอ เพราะเหตุนั้นจึงเป็นธรรมดาที่พวกเขาจะกดข่มความปรารถนาในใจไม่ได้
“ไม่ เห็นได้ชัดว่าคนเหล่านั้นไม่เคยมาถึงที่ห้องโถงแห่งนี้ บนผนึกของที่นี่ไม่มีร่องรอยความเสียหายใดและดูเหมือนจะไม่เคยมีการซ่อมแซมมาก่อน”
ฉินอวี้โม่ส่ายศีรษะและปฏิเสธข้อสันนิษฐานดังกล่าว
หากมีใครคนอื่นเข้ามาในห้องโถงนี้จริง ผนึกโดยรอบจะไม่อยู่ในสภาพสมบูรณ์เช่นนี้และจะต้องมีร่องรอยความเสียหายจากมนุษย์อย่างแน่นอน
สำหรับคนเหล่านั้น พวกเขาคงจะต่อสู้กันและตายไปทั้งที่ยังไม่ได้เข้ามาในห้องโถงนี้ด้วยซ้ำ
“ใช่ คนพวกนั้นไม่เคยเข้าไปข้างในได้”
เสียงของต่งเฉิงดังขึ้นในหูของทุกคนก่อนที่มันจะปรากฏกายข้างฉินอวี้โม่
“นายหญิง สภาวะพลังของที่นี่ดูจะแปลกประหลาดทีเดียวและมันยับยั้งพลังจิตวิญญาณของข้าไปมาก ข้าไม่เคยมาที่นี่มาก่อนและรู้สึกว่าได้ว่ามีพลังบางอย่างที่ทำให้ข้าหวาดกลัว”
ต่งเฉิงขมวดคิ้วมุ่นและใบหน้าแสดงถึงความจริงจัง ในหมู่บ้านกล้วยไม้เมฆา ที่นี่เป็นจุดเดียวที่มันไม่เคยก้าวเข้ามา คลื่นพลังของสถานที่แห่งนี้แปลกประหลาดและลึกลับจนเกินไป แม้ด้วยความทรงพลังของมัน มันก็ไม่กล้าก้าวเข้ามาที่นี่หากไม่ถึงคราวจำเป็นจริง ๆ
หากมิใช่เพราะฉินอวี้โม่และคนอื่น ๆ ต้องการสืบสวนหาความจริงเกี่ยวกับความลับของหมู่บ้านกล้วยไม้เมฆา มันก็ไม่คิดที่จะมาที่นี่จนกว่าจะจำแลงร่างมนุษย์ได้สำเร็จ
“เข้าไปอยู่ในคฤหาสน์เฟิงหัวก่อนเถอะ”
สำหรับนักล่าวิญญาณ เมื่อใดที่พลังจิตวิญญาณได้รับความเสียหาย การที่จะฟื้นฟูกลับมาเป็นเรื่องที่ยากลำบากอย่างมาก สิ่งที่สำคัญคือต่งเฉิงเป็นเพียงนักล่าวิญญาณระดับกลางเท่านั้นและมีความแข็งแกร่งที่ยังไม่มากนัก เพราะเหตุนั้น ฉินอวี้โม่จึงไม่ต้องการให้มันต้องบาดเจ็บอยู่ที่นี่
“ขอบคุณนายหญิง”
ต่งเฉิงกล่าวขอบคุณฉินอวี้โม่และรีบกลับเข้าไปในคฤหาสน์เฟิงหัวทันที
“ไหน ๆ ก็มาที่นี่แล้ว เราเข้าไปสำรวจข้างในกันเถอะ”
นางกวาดสายตามองทุกคนและกล่าวขึ้น แม้ยังไม่ทราบถึงสถานการณ์ในห้องโถงอย่างแน่ชัด พวกนางก็ต้องเข้าไปสำรวจดูก่อน ฉินอวี้โม่รู้สึกว่าหินศักดิ์สิทธิ์ห้าสีที่มองเห็นอาจมิใช่ของจริงและห้องโถงเบื้องหน้าก็คงจะมีปริศนาบางอย่างซ่อนไว้
“ถ้าเช่นนั้นก็หาทางทำลายผนึกตรงหน้ากันเถอะ”
ทุกคนมีความเข้าใจที่ตรงกันและเริ่มศึกษาผนึกรอบห้องโถงเพื่อหาทางทำลายมัน
เถียนซิน สวีเยว่และเถาเซี่ยวเซี่ยวไม่ได้ชำนาญในศาสตร์ด้านนี้ พวกนางจึงถอยออกไปหลบด้านหลังและกระซิบกระซาบพูดคุยกัน
ทว่าทันใดนั้น ฉินอวี้โม่ก็สัมผัสได้ถึงจิตสังหารอันแรงกล้า
เมื่อหันกลับไป นางก็พบกับแสงกระบี่ที่พุ่งผ่านร่างของนางไปอย่างรวดเร็วและปะทะเข้ากับผนึกด้านหลังก่อนหายวับไปอย่างไร้ร่องรอย