“เซียวหมิง นี่เจ้าคิดจะทำอะไรกัน ?!”
เถียนซินผู้ซึ่งกำลังพูดคุยและหัวเราะกับคนอื่น ๆ ตะโกนกร้าวขึ้นมาและจับจ้องไปยังเซียวหมิงผู้ซึ่งโจมตีฉินอวี้โม่โดยที่นางไม่ทันได้ตั้งตัว
“ศิษย์พี่เซียวหมิง ศิษย์น้องอวี้โม่ไม่เคยมีเรื่องบาดหมางใจกับท่าน เหตุใดท่านจึงพยายามที่จะฆ่านางเช่นนี้ ?”
สวีเยว่กล่าวขึ้นด้วยน้ำเสียงที่โกรธเคืองเช่นกัน สายตาของนางมองไปที่เซียวหมิงด้วยความสับสนไม่น้อย
นอกเหนือจากเฉินหว่านเอ๋อร์และผางเลี่ยง พวกนางทุกคนก็สามัคคีปรองดองกันเป็นอย่างดีแล้วและไม่มีความบาดหมางใจระหว่างกัน เซียวหมิงและเสิ่นเสี่ยวไห่ก็สนิทสนมกันพอสมควร โดยปกติแล้วพวกเขาเป็นคนที่จิตใจดีและอ่อนโยนต่อผู้อื่น พวกเขาแทบไม่เคยมีเรื่องขัดแย้งกับศิษย์คนอื่น ๆ ในนิกายด้วยซ้ำ การที่จู่ ๆ เซียวหมิงลอบโจมตีฉินอวี้โม่ถือเป็นสิ่งที่ทุกคนคาดไม่ถึงอย่างแท้จริง
“เอ๋ ?”
เซียวหมิงมองทุกคนด้วยแววตางุนงงราวกับไม่ทราบว่าเกิดอะไรขึ้น
“นี่ข้าโจมตีศิษย์น้องอวี้โม่อย่างนั้นหรือ ?”
เขาเอ่ยถามด้วยความสับสนและความคลางแคลงใจที่แสดงออกมาบนใบหน้าของเขาก็ดูจะมิใช่การเสแสร้งแม้แต่น้อย
“เหอะ จะเสแสร้งไปเพื่ออะไรอีกเล่า ? เราทุกคนต่างก็เห็นกับตาว่าจู่ ๆ เจ้าก็โจมตีศิษย์น้องอวี้โม่จนเกือบจะทำให้นางบาดเจ็บ”
น้ำเสียงของเถียนซินบ่งบอกถึงความไม่พอใจเป็นอย่างมาก เซียวหมิงโจมตีฉินอวี้โม่ต่อหน้าทุกคน ทว่าเขากลับเสแสร้งทำเป็นไม่รู้เรื่องรู้ราวซึ่งเป็นสิ่งที่น่ารังเกียจยิ่งนัก
“ศิษย์พี่เถียนซิน ไม่ต้องกังวลไป”
ฉินอวี้โม่ขัดจังหวะเถียนซินเนื่องจากสัมผัสได้ว่าสิ่งที่เกิดขึ้นอาจซับซ้อนกว่าที่คิด
ตูมมม !
เสียงของการปะทะดังขึ้นในโสตประสาทของทุกคนและเมื่อหันไปมอง ทุกคนก็พบว่าเมิ่งฝานและเมิ่งเถียนกำลังต่อสู้กันโดยที่ไม่ทราบสาเหตุ
“ท่านพี่ ท่านเป็นอะไรรึไม่ ?”
เมิ่งเถียนมองฝ่ามือของตนสลับกับเมิ่งฝานตรงหน้าพลางเอ่ยถามด้วยใบหน้าที่คิ้วขมวด
“ข้าไม่เป็นไร เจ้าต่างหาก เหตุใดจู่ ๆ จึงโจมตีข้าเช่นนี้ ?”
เมิ่งฝานโบกมือให้กับน้องชาย โชคดีที่เมื่อครู่เขาตอบสนองได้เร็วพอ กอปรกับที่เมิ่งเถียนไม่ได้ปลดปล่อยพลังอย่างเต็มที่ มิเช่นนั้น เขาคงได้รับบาดเจ็บไม่น้อย
“ทุกคนถอยกลับไปก่อนเถอะ”
ฉินอวี้โม่กล่าวกับเสิ่นเสี่ยวไห่และเมิ่งจวินเพื่อให้พวกเขาล้มเลิกการศึกษาผนึกป้องกันตรงหน้าและถอยออกห่างจากตรงหน้าห้องโถง
“เมื่อครู่เกิดอะไรขึ้นกันแน่ ?”
เถียนซินและสวีเยว่ต้องการทำความเข้าใจสถานการณ์ที่เกิดขึ้น ถึงแม้ว่าการที่เซียวหมิงโจมตีฉินอวี้โม่อย่างกะทันหันจะเป็นเรื่องที่พอจะเข้าใจได้ ทว่าหากจะบอกว่าเมิ่งเถียนเกิดความคิดที่จะโจมตีเมิ่งฝานด้วยตนเองนั้น นั่นเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้อย่างแน่นอน
เมิ่งฝานและเมิ่งเถียนเป็นพี่น้องที่รักกันดีมาเสมอ ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น เมิ่งเถียนไม่มีทางคิดทำร้ายเมิ่งฝานอย่างแน่นอน
“ข้าก็ไม่ทราบ…แต่ราวกับข้าไม่มีสติไปชั่วขณะและโจมตีพี่ใหญ่ โชคดีที่พี่ใหญ่แข็งแกร่งมากและตอบสนองได้เร็วพอ หากเป็นคนอื่นละก็ ผลที่เกิดขึ้นคงจะเกินจินตนาการ”
ขณะเมิ่งเถียนกล่าวออกไป เขาก็มองไปที่เมิ่งจวินด้วยแววตาที่บ่งบอกความหมายชัดเจน
“พี่รอง ท่านจะมองข้าทำไมกัน ขอบอกเลยว่าข้าก็ตอบสนองต่อการโจมตีของท่านได้แน่”
เมิ่งจวินพึมพำด้วยใบหน้าบูดบึ้ง ทว่ารู้สึกตรงกันข้ามกับวาจาที่กล่าวออกไป หากเป็นตนเองที่ต้องเผชิญกับแรงโจมตีอันทรงพลังของอีกฝ่าย ต่อให้ไม่ถึงตาย เขาก็ต้องบาดเจ็บสาหัสอย่างไม่อาจหลีกเลี่ยง
“ข้าก็ไม่ทราบเลยว่าเกิดอะไรขึ้น”
เซียวหมิงส่ายศีรษะด้วยความสับสน เขาคิดว่าตัวเขาขาดสติรับรู้ไปชั่วขณะเช่นกันก่อนที่จะปลดปล่อยการโจมตีไปสู่ฉินอวี้โม่ มิเช่นนั้น ตัวเขาคงไม่มีทางคิดสั้นทำเรื่องที่โง่เขลาอย่างการที่ตั้งตัวเป็นศัตรูกับฉินอวี้โม่อย่างแน่นอน
“หากเป็นเช่นนั้น ข้าก็อาจจะทราบถึงสาเหตุของการที่มีคนลงมือฆ่ากันเองแล้ว”
ฉินอวี้โม่ตั้งข้อสันนิษฐานในใจขณะเดินกลับไปหาเถาเซี่ยวเซี่ยวและคนอื่น ๆ ซึ่งก่อนหน้านี้ยืนอยู่ห่างจากผนึกพอสมควร หลังจากใช้พลังวิญญาณเพื่อตรวจสอบก็พบว่าไม่มีสิ่งผิดปกติใดเกิดขึ้นกับพวกนาง ทว่าร่างกายของผู้ที่แตะต้องผนึกนั้นล้วนมีร่องรอยของพลังงานสีดำบางอย่างเจือปนอยู่โดยที่พลังงานสีดำในร่างของเซียวหมิงและเมิ่งเถียนหนาแน่นกว่าคนอื่น ๆ
“ที่แท้ก็เป็นพลังงานสีดำบางอย่างในร่างกายของพวกท่านที่แทรกซึมเข้าไปในจิตใต้สำนึก”
นางกล่าวออกไปโดยตรงเนื่องจากมั่นใจเกือบจะสมบูรณ์แล้วว่าพลังงานลึกลับดังกล่าวคือตัวการที่ทำให้พวกเขาสูญเสียสติไปชั่วขณะ ต่อให้จะออกไปจากที่นี่ได้ พลังงานสีดำเหล่านี้ก็จะยังคงอยู่ในร่างกายของพวกเขา
สำหรับบรรดาผู้ที่เข้ามาที่นี่และทำลายผนึกไม่สำเร็จ หลังจากกลับขึ้นไปด้านบนบ่อน้ำ พลังงานสีดำที่ติดตัวจะกระตุ้นให้พวกเขาเริ่มสังหารกันเองก่อนล้มตายไปทีละคน ๆ
“หากเป็นเช่นนั้นจริง ก็ต้องมีเพียงฝ่ายเดียวที่ตายไป แล้วเกิดอะไรขึ้นกับอีกฝ่ายล่ะ ?”
เถียนซินเอ่ยถามด้วยความสงสัยซึ่งเป็นสิ่งที่อยู่ในใจของทุกคนเช่นเดียวกัน
เมื่อจอมยุทธ์สองคนต่อสู้กัน มีเพียงฝ่ายหนึ่งเท่านั้นที่จะตายไปและอีกฝ่ายก็ควรจะรอดชีวิตไปได้ ทว่าเหตุใดพวกนางจึงไม่พบเห็นผู้รอดชีวิตแม้แต่คนเดียว…
“พลังงานสีดำในร่างอาจไม่เพียงส่งผลต่อสติสัมปชัญญะเท่านั้น ทว่าอาจมีผลข้างเคียงร่วมด้วย หากข้าเดาไม่ผิด พลังงานสีดำที่อยู่ในร่างนานเกินไปก็อาจจะคร่าชีวิตเจ้าของร่างได้”
ฉินอวี้โม่ตั้งข้อสันนิษฐานอีกประการซึ่งเป็นคำอธิบายที่สมเหตุสมผลมากที่สุด
“ถ้าอย่างนั้นพวกเราควรจะทำอย่างไรต่อไป ?”
ร่างของเมิ่งจวินมีร่องรอยของพลังงานสีดำนั้นอยู่เช่นกัน ทว่ามันยังไม่เด่นชัดเท่าใดนัก เมื่อได้ยินวาจาของฉินอวี้โม่ เขาก็เป็นกังวลขึ้นมา
“มานี่สิ ข้าจะลองดูว่าสามารถกำจัดพลังนั้นไปได้รึไม่”
ฉินอวี้โม่กล่าวพร้อมส่งสัญญาณเรียกให้เมิ่งจวินเข้ามาใกล้ตน
พลังของกายเทพมายาหลั่งไหลเข้าสู่ร่างของเมิ่งจวินเพื่อพยายามกำจัดร่องรอยของพลังงานสีดำที่แทรกซึมเข้าไป
ในความจริง ฉินอวี้โม่ก็ยังมีข้อสันนิษฐานบางอย่างอยู่ เพียงแต่รู้สึกว่าไม่จำเป็นต้องเปิดเผยออกไป
สำหรับผู้ที่มีความรู้สึกฝังแน่นในใจเป็นพิเศษหรือมีจิตมุ่งร้าย พลังงานสีดำน่าจะแทรกซึมเข้าไปในร่างได้มาก ส่วนผู้ที่มีจิตใจบริสุทธิ์ พวกเขาจะได้รับผลกระทบจากมันน้อยกว่า
ดูเหมือนว่าในบรรดาคนเหล่านี้ พลังงานสีดำจะส่งผลกระทบต่อเมิ่งเถียนและเซียวหมิงมากที่สุด สำหรับเมิ่งจวินผู้ซึ่งมีจิตใจบริสุทธิ์และไม่พะวงสิ่งใด เหลิ่งซวงเสวี่ยผู้ซึ่งได้พบกับบิดามารดาและได้ระบายความรู้สึกที่ฝังแน่นในใจ รวมถึงเมิ่งฝานผู้ซึ่งถ่อมตนและจิตใจเมตตา พวกเขาเป็นกลุ่มที่ได้รับผลกระทบน้อยที่สุด
ส่วนตัวฉินอวี้โม่นั้นแตกต่างออกไป ไม่ว่าพลังงานสีดำจะทรงพลังเพียงใด มันก็มิอาจส่งผลต่อร่างของนางได้ ถึงอย่างไรกายเทพมายาที่บริสุทธิ์ของนางก็ย่อมต้านทานพลังงานด้านลบได้
เพราะเหตุนั้น ด้วยพลังของนาง นางสามารถช่วยขจัดพลังงงานสีดำที่แทรกซึมเข้าไปในร่างของเมิ่งจวินและทุกคนได้ เพียงแต่จะต้องใช้ระยะเวลาพอสมควร
ในเวลานี้ นางก็เรียกทุกคนเข้าไปใกล้และขจัดพลังงานสีดำในร่างของพวกเขาอย่างช้า ๆ ทีละคน
ในระหว่างกระบวนการนั้น เซียวหมิงและเมิ่งเถียนก็ปลดปล่อยการโจมตีใส่ผู้อื่นอีกครา ทว่าทั้งหมดหลบหลีกได้ทันและไม่ได้รับอันตรายใด ๆ
เวลาครึ่งวันผ่านไปอย่างรวดเร็ว ไม่เพียงแต่ทุกคนจะคิดหาวิธีทำลายผนึกไม่ได้เท่านั้น ทว่ายังเกือบถูกพลังของมันครอบงำและสถานการณ์ดูจะไม่น่าอภิรมย์นัก…
“อวี้โม่ เราจะทำอย่างไรกันต่อ ?”
ฉินอวี้โม่กลายเป็นแกนหลักของทุกคนไปโดยปริยาย สายตาทุกคู่จับจ้องตรงมาที่นางและรอฟังแผนการของนาง
“ทุกคนเข้าไปอยู่ในคฤหาสน์เฟิงหัวก็แล้วกัน ข้าจะลองดูว่าจะหาทางทำลายม่านป้องกันนี้ได้หรือไม่ พลังงานสีดำบนผนึกทำอะไรข้าไม่ได้ ทุกคนไม่ต้องกังวลล่ะ”
ฉินอวี้โม่อธิบายแผนการของตนอย่างเรียบง่าย เวลานี้นางเป็นเพียงคนเดียวที่ไม่ได้รับผลกระทบจากพลังประหลาดและนี่เป็นทางออกที่เหมาะสมที่สุด
“ตกลง ถ้าเช่นนั้นศิษย์น้องอวี้โม่ระวังตัวด้วยล่ะ”
เสิ่นเสี่ยวไห่เป็นคนแรกที่พยักศีรษะด้วยความเข้าใจ ถึงแม้ว่าความคิดของการกลับออกไปทันทีจะผุดขึ้นมาในหัวของเขา ทว่าเมื่อนึกถึงหมอกหนาที่ยังไม่จางหายไปก่อนที่จะลงมาในบ่อน้ำและคาดว่าจะไม่สามารถออกไปจากหมู่บ้านกล้วยไม้เมฆาก่อนสะสางปัญหาของที่นี่ได้สำเร็จ เขาก็ล้มเลิกความคิดนั้นไป
จากนั้นทุกคนก็ก้าวเข้าไปในคฤหาสน์เฟิงหัวด้วยกันและฉินอวี้โม่เป็นเพียงคนเดียวที่ยังเหลืออยู่ที่นี่