บทที่ 609.4 เล่นหมากล้อมทำลายจิตแห่งเต๋า รสเหล้าร้อนลวกกระเพาะ

กระบี่จงมา! Sword of Coming

อวี้เจวี้ยนฟูไม่ได้เดินเข้าไปใกล้คนทั้งสองที่เล่นหมากล้อมกัน แต่นั่งขัดสมาธิแล้วเริ่มกินแผ่นแป้งย่างพร้อมกับน้ำ จูเหมยอยากจะไปร่วมวงความครึกครื้นที่นั่น แต่กลับถูกอวี้เจวี้ยนฟูรั้งตัวไว้บอกให้อยู่คุยเล่นเป็นเพื่อนนาง

ชุยตงซานมองไปยังแผ่นหลังของอวี้เจวี้ยนฟูแล้วเอ่ยปลงอนิจจังเสียงเบาว่า “พี่หญิงอวี้คนนี้ หากนางยอมมองข้าแค่สักแวบก็พอแล้ว แค่นี้ก็ช่วยให้ความสามารถในการเล่นหมากล้อมของข้าเพิ่มพูน โอกาสชนะก็จะมีมากขึ้น”

หลินจวินปี้รวบรวมสมาธิไม่เอ่ยคำใด

ชุยตงซานหันหน้ามา “เดิมพันเล็กๆ เพื่อความสนุกสนาน หนึ่งเหรียญทองแดง”

หลินจวินปี้ถาม “เงินเหรียญทองแดง?”

“ไม่อย่างนั้นจะเอาอะไรล่ะ? เงินเกล็ดหิมะหนึ่งเหรียญยังจะถือเป็นการเดิมพันเล็กๆ ได้อีกหรือ?”

ชุยตงซานจุ๊ปากเอ่ย “คุณชายหลินมีเงินจริงๆ”

หลินจวินปี้ยิ้มกล่าว “ข้าจะไปหาเหรียญทองแดงจากไหนมาให้เจ้า ใช่แล้ว คิดดูแล้วโอกาสแพ้ก็คงไม่มาก น่าจะชนะได้มากกว่า เพราะถึงอย่างไรหากชนะได้เงินเหรียญทองแดงมาเหรียญหนึ่ง เมื่อเทียบกับชนะได้เงินฝนธัญพืชมาหนึ่งเหรียญแล้วก็น่าสนใจมากกว่า ในอนาคตสามารถทำให้พวกคนที่ชมการประลองจดจำได้มากกว่า”

ชุยตงซานกล่าวอย่างตกตะลึงว่า “ความคิดอันเลิศล้ำที่แม้แต่เทพเซียนก็ยังยากจะคาดเดาของข้านี้ ข้าว่าตัวเองอำพรางได้ดีแล้วนะ แต่คุณชายหลินก็ยังเดาออกอีกหรือ?! เงินเหรียญทองแดงเหรียญนั้นในกระเป๋าข้า ไม่ใช่ว่าต้องเจอความเสี่ยงที่ต้องออกจากบ้านออกเรือนไปกับคนอื่นหรอกหรือ!”

หลินจวินปี้จำต้องยอมรับว่าคนตรงหน้าทำให้ตนสะอิดสะเอียนได้ไม่น้อย แน่นอนว่าเมื่อเทียบกับเหยียนลวี่ที่ถูกกำหนดมาแล้วว่าต้องกลายเป็นตัวตลกของคนอื่น เขาก็ถือว่ายังดีกว่ามากโข บทสนทนาในวันนี้ วันหน้าในราชวงศ์เส้าหยวนจะต้องมีคนไม่น้อยได้ยินผ่านหู หลังจากนี้การฝึกกระบี่อยู่ในกำแพงเมืองปราณกระบี่ของเหยียนลวี่จะได้รับผลเก็บเกี่ยวหรือไม่ ก็บอกได้ยากแล้ว เมื่อผู้ฝึกตนไม่อาจปัดเป่าความยอกแสลงใจออกไปได้หมด อีกทั้งยังเกี่ยวพันกับชื่อเสียงของตระกูลซึ่งเป็นเรื่องที่รับมือได้ยากยิ่งกว่า อย่างน้อยที่สุดก็จะทำให้ผลเก็บเกี่ยวที่เดิมทีเหยียนลวี่ควรได้รับมาถูกลดทอนหายไปหลายส่วน

หลินจวินปี้เอ่ยว่า “ตกลงกันไว้ก่อนว่า ไม่ว่าจะแพ้หรือชนะล้วนมีเดิมพันอยู่แค่เหรียญทองแดงเหรียญเดียว เดาก่อนไหม?”

ชุยตงซานถามว่า “คุณชายหลินมีฝีมือการเล่นหมากล้อมเลิศล้ำ แต่กลับไม่ยอมต่อให้ข้าก่อนสามเม็ดงั้นหรือ? ไม่อยากกลับไปพร้อมชัยชนะใหญ่หนึ่งเหรียญทองแดงหรืออย่างไร?!”

หลินจวินปี้ยื่นมือเข้าไปในโถเก็บเม็ดหมากแล้ว เขากำเม็ดหมากเอาไว้แล้วเอ่ยอย่างระอาใจว่า “ช่วยมีกฎระเบียบหน่อยได้ไหม เจ้าและข้าต่างก็เป็นคนบนภูเขา แต่เรื่องเดาหมากล้อมก็ควรต้องทำตามกฎของล่างภูเขากระมัง?”

ที่พูดอย่างนี้ก็เพราะเด็กหนุ่มที่นั่งอยู่อีกฝั่งของกระดานหมากล้อมกระดกก้นขึ้น เบิกตากว้าง เงี่ยหูรอฟังอยู่นานแล้ว ใช่ว่าหลินจวินปี้จะไม่มีวิธีในการปิดบังเสียงเม็ดหมาก เพียงแต่ไม่รู้ว่าตบะของอีกฝ่ายสูงหรือต่ำ หากตนทำเช่นนี้ แล้วอีกฝ่ายมีตบะของเซียนดิน คนที่เสียเปรียบก็ยังต้องเป็นตนอยู่ดี ทว่าการเล่นหมากล้อมคือเรื่องของการป้องกันทั้งสองฝ่าย หลินจวินปี้ย่อมไม่อาจบอกให้เซียนกระบี่ขู่เซี่ยช่วยจับตามองอีกฝ่ายให้ได้

ชุยตงซานกลับลงไปนั่งที่เดิม พยักหน้ารับแล้วเอ่ยอย่างอ่อนระโหยโรยแรงว่า “ถือว่าเจ้าชนะได้เดินก่อน ตอนนี้ยังไม่อาจบอกได้ถึงความตื้นลึกของฝีมือการเล่นหมากล้อมของคุณชายหลิน ทว่าฝีมือนอกกระดานหมากกลับร้ายกาจจริงๆ เมื่อเทียบกับสุนัขน้อยเหยียนขาเลียที่มักจะใช้หลักการเหตุผลของตัวเองมาตบหน้าตัวเองแล้ว นับว่าเก่งกาจกว่ามากนัก”

หลินจวินปี้คลายมือออก แล้วกำเม็ดหมากใหม่อีกครั้ง

จุดที่ร้ายกาจก็คือหลินจวินปี้ที่เดิมทีอยู่ในสภาพเสียเปรียบ ก็เพราะเขาเป็นฝ่ายรักษากฎเกณฑ์ก่อน จึงเป็นการบีบให้อีกฝ่ายที่ต่อให้จะเป็นผู้ฝึกตนห้าขอบเขตบนก็ยังต้องรักษากฎตามไปด้วย ไม่ใช่ว่าเรื่องราวทางโลกในใต้หล้านี้จะเป็นแบบนี้ไปเสียทั้งหมด แต่ถึงอย่างไรเมื่ออยู่ใกล้กับกระดานหมากก็ควรจะเป็นเช่นนี้

พวกผู้ฝึกกระบี่อายุน้อยอย่างเจี่ยงกวนเฉิงที่ชมศึกอยู่ไกลๆ ไม่ยอมขยับเข้ามาใกล้รู้สึกเลื่อมใสเป็นอย่างยิ่ง

พอต้องเดาก่อน ชุยตงซานก็หยิบเอาเงินร้อนน้อยเหรียญหนึ่งออกมาโยนลงบนพื้น มองว่าเป็นหัวก้อย แล้วเขาก็โชคไม่เลว เพราะได้เดินนำไปก่อน

ฝั่งของอวี้เจวี้ยนฟูที่ถูกจูเหมยพาให้หันหน้าเข้าหาสองคนที่ประลองหมาก พอเห็นภาพนี้ก็คลึงขมับ ปวดหัวยิ่งนัก

ทั้งสองฝ่ายทยอยกันวางเม็ดหมาก

หลินจวินปี้มีสีหน้าเป็นธรรมชาติ คนผู้นี้เดินหมากตามรูปแบบของ ‘ตำราน้ำพุดอกท้อน้อย’ ที่โบราณเก่าแก่และหาได้ยากมาก

ความมหัศจรรย์ของมันนั้นอยู่ที่การรบเร็วจบเร็ว แก่นของมันอยู่ที่สิบคำว่า ‘ใช้กฎเกณฑ์สูงสุดมาวางหมากแบบไร้เหตุผลก่อน’ เพียงแต่ว่าหากนักเล่นระดับสูงสุดของแคว้นใช้ความคิดไตร่ตรองดูสักหน่อย วิธีการนี้จะใช้ไม่ได้ผล โดยเฉพาะอย่างยิ่งหลินจวินปี้เคยอ่านตำราเล่มนี้มาก่อนนานแล้ว ถ้าอย่างนั้นบนกระดานหมากเป็นใครกันแน่ที่ชิงลงมือได้ก่อน? เท่านี้ก็เห็นได้อย่างชัดเจนแล้ว

หลินจวินปี้วางหมากไม่ช้าไม่เร็ว แต่อีกฝ่ายวางหมากรวดเร็วราวกับบินตลอดเวลาคล้ายคิดว่าตัวเองกุมชัยชนะไว้ในกำมือได้แล้ว

หลินจวินปี้จงใจอำพรางฝีมือในช่วงเวลาที่สำคัญหลายครั้ง

เขาวางหมากไปได้ถึงสองร้อยสามสิบกว่าครั้งกว่าจะยอมแพ้

ก็แค่เหรียญทองแดงเหรียญเดียวเท่านั้น

แล้วนับประสาอะไรกับที่คิดจริงๆ หรือว่าหากตนชนะได้ แล้วจะทำให้คนอย่างเหยียนลวี่ซาบซึ้งใจน้ำหูน้ำตาไหล?

นั่นคงไม่ใช่เหยียนลวี่เลว แต่เป็นหลินจวินปี้เองที่โง่

เมื่อใดที่ชื่อเสียงอันสะอาดบริสุทธิ์ของตระกูลเหยียนที่ยิ่งใหญ่จำเป็นต้องอาศัยเด็กหนุ่มคนหนึ่งของราชวงศ์เส้าหยวนมาคอยกอบกู้?

มีเพียงหลินจวินปี้แพ้ อีกทั้งยังแพ้แบบเฉียดฉิว หมากล้อมที่ตนพ่ายแพ้ด้วยการพยายามอย่างสุดความสามารถ อีกทั้งยังพ่ายแพ้ด้วยความเสียดาย นั่นต่างหากถึงจะทำให้เหยียนลวี่รู้สึกซาบซึ้งได้สักสองสามส่วน แน่นอนว่าไม่มากไปกว่านั้นแล้ว ถึงอย่างไรคนอย่างเหยียนลวี่ ชื่อเสียงจอมปลอมก็คือชื่อเสียงจอมปลอม มีเพียงผลประโยชน์ที่ได้มาอย่างแท้จริงเท่านั้นที่ถึงจะทำให้เขาหวั่นไหวได้อย่างแท้จริง อีกทั้งยังยินดีที่จะจำไว้ว่าการเป็นพันธมิตรกับหลินจวินปี้นั้นมีแต่ได้กำไร

หลังจากที่หลินจวินปี้โยนหมากเพื่อแสดงว่ายอมรับความพ่ายแพ้แล้วก็ยิ้มเอ่ยว่า “เงินเหรียญทองแดงหนึ่งเหรียญ ตอนนี้บนร่างข้าไม่มีอยู่จริงๆ วางใจเถอะ พอไปถึงที่นคร ข้าจะไปยืมเงินนี้จากคนอื่นมาด้วยตัวเอง แน่นอนว่าเมื่อยืมมาได้แล้วควรจะเอาไปมอบให้ถึงที่ด้วยตัวเองหรือไหว้วานให้คนอื่นช่วย ก็ล้วนให้คนชนะเป็นคนตัดสินใจ”

ชุยตงซานพ่นลมหายใจออกมาเบาๆ จ้องมองไปยังสถานการณ์หมากที่สุ่มเสี่ยงระหว่างแพ้ชนะครู่หนึ่ง จากนั้นก็รีบเงยหน้าขึ้นทันที ยิ้มกล่าวว่า “มิน่าเล่าๆ คุณชายหลินต้องเคยแอบอ่าน ‘ตำราน้ำพุดอกท้อน้อย’ มาก่อนแล้วแน่ๆ ข้าก็ว่าแล้วเชียว การเปิดฉากด้วยวิธีการของเทพเซียนที่เล่นร้อยครั้งก็ไม่พลาดสักครั้งของข้านี้ แต่ไหนแต่ไรมาก็มีแต่จะทำให้คู่ต่อสู้เล่นไปได้ครึ่งกระดานก็ต้องยอมแพ้แล้ว”

หลินจวินปี้ยิ้ม ไม่เห็นเป็นสำคัญ ได้รับผลประโยชน์แล้วยังเรียกร้องความไม่เป็นธรรมก็หนีไม่พ้นแบบนี้เอง

ชุยตงซานคิดแล้วก็เอ่ยว่า “คุณชายหลินจะไปยืมเงินด้วยตัวเองหรือไม่ จะให้ข้าตามก้นคุณชายหลินต้อยๆ ก็คงไม่เข้าท่า ถึงอย่างไรข้าก็ไม่เคยศึกษาแก่นของขนบธรรมเนียมตระกูลเหยียนมาก่อน แต่คุณชายหลินจะเอาเงินมาส่งให้ด้วยตัวเองหรือไม่ ข้ากลับพอจะมีวิธีอยู่ หากครั้งที่สองข้าชนะ ของรางวัลต้องเป็นของข้า แล้วข้าก็สามารถเอามาดของนักเล่นระดับแคว้นออกมาใช้อย่างที่ไม่เคยทำมาก่อน คุณชายหลินไม่ต้องมาด้วยตัวเอง แค่ให้พี่หญิงอวี้เป็นคนเอามาส่งให้ก็พอ หากคุณชายหลินชนะ…จะเป็นไปได้อย่างไร ข้าคนนี้เวลาเล่นหมากล้อม ความสามารถก้นกรุไม่มีอย่างแน่นอน เพราะถึงอย่างไรวิชาหมากล้อมและกระบวนท่าทั้งหลายที่ข้ารู้มาก็ล้วนเป็นความสามารถก้นหีบของคนอื่น ฝีมือเทพเซียนของคนอื่น ในสายตาของข้าแล้วล้วนถือเป็นการเดินหมากอย่างไร้เหตุผลทุกหนแห่ง…”

หลินจวินปี้เก็บเม็ดหมาก เตรียมจะลุกขึ้นยืน

พอชำเลืองตามอง หลินจวินปี้ก็พลันค้นพบว่าไม่รู้ตั้งแต่เมื่อไหร่ที่ ‘ตำราหมากล้อมศาลาแห่งความชื่นมื่น’ เล่มนั้นถูกเด็กหนุ่มชุดขาวเอาไปรองก้นนั่งทับแล้ว

สีหน้าของหลินจวินปี้ยังคงไม่เปลี่ยนแปลง

คนที่เขียนตำราเล่มนี้คือนักเล่นระดับแคว้นลำดับสองของราชวงศ์เส้าหยวน แน่นอนว่าอันดับหนึ่งต้องเป็นผู้ถ่ายทอดมรรคาของหลินจวินปี้อย่างราชครูราชวงศ์เส้าหยวน

แต่นักเล่นระดับแคว้นท่านนี้กลับเคยประลองฝีมือกับหลินจวินปี้มาหลายต่อหลายครั้ง ดังนั้นอาจารย์ซีหลูผู้นี้จึงพอจะถือว่าเป็นครึ่งอาจารย์หนึ่งครึ่งสหายหนึ่งของหลินจวินปี้ได้

ชุยตงซานรวบเก็บเม็ดหมากใส่โถที่อยู่ข้างมือตัวเอง เอียงคอเอียงไหล่ ยกก้นขึ้นดึงตำราเล่มนั้นออกมา พูดกลั้วหัวเราะเบาๆ ว่า “หัวข้อเป็นตาย หัวข้อเป็นตาย เกือบจะทำให้ข้าขำตายแล้วจริงๆ ทั้งๆ ที่เป็นหัวข้อเป็นตาย แต่อ่านมากไปกลับกลายเป็นว่าจะทำให้หมากที่มีชีวิตตายทั้งเป็นไปเสียได้ อาจารย์ซีหลูท่านนี้ของพวกเราช่างมีความตั้งใจอย่างลึกล้ำเสียจริง ยอมทำลายชื่อเสียงของตัวเองเพื่อให้นักเล่นหมากล้อมบนโลกได้เห็นตัวอย่างเชิงลบ ทั้งน่านับถือและน่าเศร้า น่าสรรเสริญและน่าร่ำไห้ คุณชายหลิน วันหน้าเจ้าต้องช่วยแนะนำเขาให้ข้ารู้จักบ้างนะ นักเล่นระดับแคว้นที่มีเกียรติและหยิ่งในศักดิ์ศรีเช่นนี้ เมื่อก่อนไม่มี วันหน้าคาดว่าก็คงไม่มีอีกเหมือนกัน”

หลินจวินปี้ยกมือขึ้นบอกเป็นนัยไม่ให้ ‘คนกันเอง’ ที่อยู่ห่างไปไกลพวกนั้นพูดจาภาษาคนกันเองอะไรอีก

เพราะหากเปิดปากเอ่ยขึ้นมาจริงๆ คนที่โมโหจะไม่ใช่ชุยตงซาน มีแต่จะเป็นเขาหลินจวินปี้ แน่นอนว่าคนพวกนั้นก็ต้องมีครึ่งหนึ่งที่เดือดดาลเข้าจริงๆ ถึงได้ทวงความเป็นธรรมให้แก่เขาและอาจารย์ซีหลู แต่ยังมีอีกครึ่งหนึ่งที่ตั้งใจให้เป็นเช่นนี้ เมื่อกระพือลมพัดไฟโทสะให้โหมแรงได้สำเร็จแล้วก็จะได้มีเรื่องสนุกให้ดู

หลินจวินปี้ไม่คิดจะมอบโอกาสนี้ให้พวกเขา

ในเมื่อตนห้ามไปแล้ว หากยังกล้าเปิดปากพูด ก็แสดงว่าโง่เง่าเกินเยียวยา คิดดูแล้วไม่น่าจะมีใครที่เป็นเช่นนั้น

แล้วก็จริงดังคาด ไม่มีใครเอ่ยอะไรอีก

ชุยตงซานโยนตำราหมากล้อมเล่มนั้นออกไปนอกหัวกำแพง พยักหน้าพูดอยู่กับตัวเองว่า “หากถูกพวกสัตว์เดรัจฉานของใต้หล้าเปลี่ยวร้างเก็บเอาไป แค่อ่านครั้งเดียวก็ต้องเข้าใจ แค่มองดูก็ต้องเล่นเป็นทันทีอย่างแน่นอน นับแต่นี้ไปแต่ละตนก็เหมือนกับรนหาที่ตาย กำแพงเมืองปราณกระบี่ไร้ทุกข์ไร้กังวล ใต้หล้าไพศาลไร้ทุกข์ไร้กังวล”

หลินจวินปี้กลับมานั่งที่เดิม ยิ้มกล่าวว่า “ครั้งนี้ถือว่าเจ้าได้เดินก่อน เจ้าและข้ามาเล่นกันอีกตา เดิมพันด้วยอะไร?”

ชุยตงซานยิ้มกล่าว “ครั้งนี้พวกเราสองพี่น้องมาเดิมพันให้ใหญ่กว่าเดิมหน่อย หนึ่งเหรียญเงินเกล็ดหิมะ! เจ้าและข้าต่างก็เล่นหัวข้อเป็นตายคนละหนึ่งครั้ง เป็นอย่างไร? จนกระทั่งใครที่แก้สถานการณ์ไม่ได้ก็ถือว่าคนนั้นแพ้ แน่นอนว่าข้าคือคนที่เล่นชนะตาเมื่อครู่จึงไม่จำเป็นต้องเดาก่อน แล้วก็จะยอมให้เจ้าได้เดินก่อนด้วย เจ้าเป็นคนตั้งสถานการณ์ ข้าจะแก้ว่าเป็นหรือตาย แต่ขอแค่คลี่คลายไม่ได้ ข้าก็จะทำตัวเป็นคนคิดสั้นกระโดดลงจากหัวกำแพง ต่อให้ต้องเดิมพันด้วยชีวิตก็จะต้องแย่งชิงตำราหมากล้อมที่มีมูลค่าควรเมืองเล่มนั้นกลับมาจากมือของปีศาจใหญ่ที่บูชามันดั่งสมบัติล้ำค่าพร้อมกับความรู้สึกว่าที่แท้การเล่นหมากล้อมก็ง่ายดายเพียงเท่านี้มาให้ได้ แต่หากข้าชนะ คุณชายหลินก็ต้องยอมจ่ายเงินเกล็ดหิมะเหรียญหนึ่งให้ข้าแต่โดยดี”

หลินจวินปี้ส่ายหน้า “ไม่แก้หัวข้อเป็นตาย แค่เล่นหมากล้อมเหมือนเดิม”

เห็นได้ชัดว่าอีกฝ่ายเตรียมการมาก่อน อย่าได้ปล่อยให้อีกฝ่ายจูงจมูกเดินเด็ดขาด

ชุยตงซานทำสีหน้าตกตะลึงคล้ายจะแปลกใจเล็กน้อย

หลินจวินปี้ไม่กล้าประมาท ฝีมือการเล่นหมากล้อมของอีกฝ่ายย่อมไม่ใช่สิ่งที่พวกเหยียนลวี่สามารถทัดเทียมได้ ฝีมือของคนผู้นี้ต้องไม่เป็นรองศิษย์พี่เปียนจิ้งแน่ๆ ส่วนเรื่องที่ว่าจุดที่สูงที่สุดของวิชาหมากล้อมอีกฝ่ายอยู่ที่ใดกันแน่ ตอนนี้ยังบอกได้ยาก ตนจำเป็นต้องลองหยั่งเชิงอีกฝ่ายดูอีกสักหน่อย

หลินจวินปี้เองก็คร้านจะมองสีหน้าของอีกฝ่าย เขายื่นมือข้างหนึ่งออกมา “คราวนี้เปลี่ยนเป็นเจ้าบ้าง ข้าจะเป็นคนเดาก่อน”

หมากกระดานต่อไปนี้ต้องดูความตื้นลึกของอีกฝ่ายให้ได้มากขึ้น

เพราะถึงอย่างไรก็ถูกคนผู้นี้ลากเอาอาจารย์ซีหลูและ ‘ตำราศาลาแห่งความชื่นมื่น’ ที่มีชื่อเสียงมานานเข้ามาเกี่ยวข้องด้วยแล้ว

เพียงแต่ว่าการแพ้ชนะบนกระดานยังคงเป็นเรื่องรอง ตนยังไม่ต้องสนว่าจะแพ้หรือชนะ หากแพ้แล้ว อาจารย์ซีหลูก็จะไม่ใช่นักเล่นลำดับต้นๆ ของแคว้นในทวีปแดนเทพแผ่นดินกลางอีกแล้วหรือ? หรือว่า ‘ตำราศาลาแห่งความชื่นมื่น’ จะถูกขับไล่ออกจากลำดับรายชื่อตำราหมากล้อมใต้หล้างั้นหรือ?

การประลองครั้งที่สอง

หลินจวินปี้ใช้เวลาไตร่ตรองนานมาก

ส่วนเด็กหนุ่มชุดขาวฝั่งตรงข้ามก็ยิ่งใคร่ครวญนานยิ่งกว่า ในที่สุดก็ไม่แสร้งทำเป็นเกาแก้มเกาคาง หรือบางครั้งก็แสร้งทำเป็นขมวดคิ้วเบาๆ ราวกับลำบากใจอีกแล้ว

แพ้ชนะยังคงห่างกันเพียงเสี้ยวเดียว

ครั้งนี้กลายเป็นหลินจวินปี้ที่เพ่งมองกระดานหมากเนิ่นนานบ้างแล้ว

หมากสามเม็ดสุดท้ายของอีกฝ่ายล้วนมีฝีมือเลิศล้ำ

ฝีมือการเล่นเพิ่มขึ้นพรวดพราด รูปแบบการเล่นพลิกเปลี่ยน หลักการเหตุผลก็ยิ่งกลับหน้ามือเป็นหลังมือ

นี่ถึงได้ทำให้หลินจวินปี้ตั้งตัวไม่ทัน หลังจากที่ทั้งสองฝ่ายคุมเชิงกันใช้เวลาไตร่ตรองยาวนานอย่างถึงที่สุดแล้ว เขาก็ได้แต่โยนหมากแสดงถึงการยอมแพ้อีกครั้ง

สีหน้าของเด็กหนุ่มชุดขาวแปลกประหลาดไปเล็กน้อย “เจ้าศึกษาการเล่นครั้งที่หกของตำราเมฆหลากสีลึกล้ำไปหน่อยหรือไม่ ในเมื่อมีวิธีการรับมือแล้ว ต่อให้จะบอกได้ยากว่าจะแพ้หรือชนะ แต่เมื่อรู้สถานการณ์ในเวลานี้ดีแล้ว ถึงอย่างไรก็ยังมีโอกาส เหตุใดถึงยังไม่ยอมวางหมาก? ถ่อมตัวทำให้ตัวเองต้องอุดอู้ตาย แบบนี้ก็เรียกว่าถ่อมตัวได้ด้วยหรือ? คุณชายหลิน หากเจ้ายังเล่นหมากล้อมอยู่แบบนี้ก็เท่ากับว่ายกเงินให้คนอื่นเปล่าๆ นี่ข้าคงจะต้องขอให้เจ้าเล่นตาถัดไปด้วยกันจริงๆ แล้วนะเนี่ย”

หลินจวินปี้ถอนหายใจ “เจ้าไม่รู้จริงๆ หรือว่าแกล้งโง่กันแน่?”

อีกฝ่ายพลันหัวเราะก๊าก แต่กลับใช้เสียงในใจเอ่ยว่า “ต้องรู้แน่อยู่แล้ว คุณชายหลินเจ้าต้องการใช้การแพ้หมากสองกระดานมาทำให้ข้ารู้สึกว่าหลักการเล่นหมากล้อมที่เจ้าเชี่ยวชาญมีรูปแบบเช่นนี้ จากนั้นรอให้ข้าเปิดปากเอ่ยถึงการเล่นครั้งที่สาม ลงเดิมพันก้อนใหญ่ ก็จะเอาชนะข้าจนข้าล้มละลายใช่หรือไม่? คุณชายหลิน นักเล่นระดับแคว้นที่เชี่ยวชาญการเล่นหมากล้อมอย่างพวกเจ้าช่างใจดำเสียจริง วันนี้นับว่าข้าได้เรียนรู้แล้ว”

หลินจวินปี้เปิดปากเอ่ยว่า “การเล่นครั้งที่สาม เงินร้อนน้อยหนึ่งเหรียญ ข้าจะทุ่มเทฝีมือเต็มที่”

ชุยตงซานกำมือเป็นหมัดแล้วโบกเบาๆ ส่ายหน้าเอ่ยว่า “เงินร้อนน้อยเหรียญนี้ที่พี่หญิงอวี้ซื้อพัดของข้าไป ข้าจะแพ้ให้เจ้าไม่ได้หรอกนะ ส่วนเงินร้อนน้อยเหรียญอื่นเจ้าก็เชิญเลือกได้ตามสบาย ถึงอย่างไรในกระเป๋าข้าก็ไม่มีอยู่แล้ว”

ชุยตงซานหันหน้ามาตะโกนเรียก “พี่หญิงอวี้ ท่านวางใจเถอะ ต่อให้ข้าแพ้หมดหน้าตักก็จะยังเก็บเงินร้อนน้อยที่มีความหมายถึงความสัมพันธ์พี่สาวน้องชายที่ลึกล้ำของพวกเราเหรียญนี้เอาไว้!”

อวี้เจวี้ยนฟูแสร้งทำเป็นไม่ได้ยิน