บทที่ 609.5 เล่นหมากล้อมทำลายจิตแห่งเต๋า รสเหล้าร้อนลวกกระเพาะ

กระบี่จงมา! Sword of Coming

จูเหมยพึมพำ “ปากสุนัขไม่งอกงาช้าง”

ชุยตงซานหัวเราะฮ่าๆ “แม่นางน้อย พูดให้ดังๆ หน่อย สายเหวินเซิ่งของพวกเราไม่เคยถือสาคนที่ด่าต่อหน้า หากมีเหตุผลยังจะยกนิ้วโป้งบอกว่าเจ้าด่าได้ดีด้วยซ้ำ ด่าคนลับหลัง ก็ได้เหมือนกัน แต่อย่าให้พวกเราได้ยินเข้าล่ะ ไม่อย่างนั้นอ่านหนังสือเหมือนกินฉี่ กินข้าวเหมือนกินขี้ ต้องโดนฟ้าผ่าหัว”

จูเหมยตื่นตระหนกเล็กน้อย ขยับตัวนั่งใกล้กับอวี้เจวี้ยนฟูอีกนิด

หลินจวินปี้ยิ้มกล่าว “เงินร้อนน้อยเหรียญไหนก็ได้”

ชุยตงซานพลันเอ่ยว่า “บวกกับของรางวัลเพิ่มเติม หากข้าชนะ เจ้าค่อยเอาตำราเมฆหมากสีเล่มนั้นมอบให้ข้า”

หลินจวินปี้พยักหน้ารับ “ย่อมได้”

การประลองครั้งที่สาม

หลินจวินปี้เดินนำไปก่อน

ผลคือหลินจวินปี้ที่เดินนำไปก่อนซึ่งถือว่าได้เปรียบมาก อีกทั้งยังอยู่ห่างจากชัยชนะบนกระดานอีกแค่เสี้ยวเดียว กลับเกือบจะติดกับวงจรแห่งหายนะจากการลงมือของอีกฝ่ายถึงสามครั้ง แม้ว่าสีหน้าของหลินจวินปี้จะเป็นปกติโดยตลอด ทว่าในใจกลับมีไฟโทสะขุมหนึ่งลุกโชนขึ้นมาในที่สุด

ทั้งสองฝ่ายวางเม็ดหมากมากเกือบสี่ร้อยครั้ง!

สำหรับทั้งสองฝ่ายแล้ว การปิดฉากการประลองครั้งนี้น่าตื่นตะลึงอย่างมาก

สำหรับคนที่มองคนทั้งสองประลองกันกลับไม่มีใครมองแนวโน้มที่จะตัดสินแพ้ชนะอย่างแน่ชัดออก

หลังจากวางหมากลงครั้งหนึ่ง หลินจวินปี้ก็ผ่อนลมหายใจออกมาเบาๆ

ชุยตงซานกลับมีสีหน้าเคร่งเครียด หยิบหมากเม็ดหนึ่งขึ้นมา โน้มตัวมาด้านหน้า ยื่นมือข้างหนึ่งที่คีบหมากออกมา มืออีกข้างจับรั้งชายแขนเสื้อเอาไว้ หลีกเลี่ยงไม่ให้ไปโดนเม็ดหมากบนกระดาน ในขณะที่เขากำลังจะวางเม็ดหมากลง หลินจวินปี้ก็พลันบังเกิดความมั่นใจ ชนะแล้ว!

ชุยตงซานพลันยกมือขึ้น ยักไหล่ให้หลินจวินปี้ที่ตกตะลึงไปเล็กน้อย “ฮ่าๆ โมโหหรือไม่? โมโหหรือไม่? ข้าจะไม่วางลงตรงนี้หรอก โอ้โห้ ข้านี่มันฉลาดจริงๆ เล้ย สมองใหญ่จริงๆ ไหวพริบดีเยี่ยมเลยนะนี่”

นี่น่าจะเรียกว่าถูกศิษย์พี่หญิงใหญ่สิงร่างได้แล้ว

แทบทุกคนซึ่งรวมถึงจูเหมย หรือแม้แต่จินเจินเมิ่งที่ไม่ค่อยชอบเล่นหมากล้อมก็ยังตะลึงอึ้งงันเป็นไก่ไม้กันไปหมด

ชุยตงซานหยุดใคร่ครวญอยู่ชั่วครู่ แต่ก็ยังค้อมเอวคีบเม็ดหมากไปวางมุมอื่นบนกระดาน จากนั้นก็กลับมานั่งที่เดิม สองมือสอดกันอยู่ชายแขนเสื้อ “ไม่เล่นแล้วๆ สามารถเอาชนะหลินจวินปี้แห่งราชวงศ์เส้าหยวนได้สามครั้งติด แค่นี้ก็พึงพอใจมากแล้ว”

เด็กหนุ่มชุดขาวเงยหน้าขึ้นมองท้องฟ้า “พระจันทร์วันนี้กลมจริงๆ เล้ย”

อืม กลางวันแสกๆ จะมีดวงจันทร์ที่ไหนให้มอง เด็กหนุ่มจึงคิดถึงพี่หญิงโจวเฉิงคนนั้นขึ้นมาแล้ว

หลินจวินปี้ยิ้มกล่าว “ข้าแพ้แล้ว เหรียญทองแดงหนึ่งเหรียญ เงินเกล็ดหิมะหนึ่งเหรียญ เงินร้อนน้อยหนึ่งเหรียญ วันหน้าข้าจะประคองส่งให้ด้วยสองมือ”

ชุยตงซานพลันหัวเราะเสียงเย็น “โอ้โห ฟังจากน้ำเสียงนี่สิ มองเรื่องการแพ้ชนะอย่างเรียบง่ายมากหรือ? ทำไม รู้สึกว่าข้าผู้อาวุโสวางเม็ดหมากกับเจ้าสี่ร้อยครั้ง ก็เท่ากับว่าพวกเราฝีมือสูสีกันจริงๆ แล้วงั้นหรือ? หยอกเจ้าเล่นหรอกน่า มองไม่ออกสินะ? เชื่อหรือไม่ว่าการเล่นครั้งที่สี่ที่พวกเราจะไม่มีของเดิมพันอะไรสักอย่างนี้ เดิมพันแค่ว่าภายในการวางหมากแปดสิบครั้ง ข้าก็จะสามารถเอาชนะกบใต้บ่อตัวหนึ่งที่นอนโอ้อวดบารมีอยู่ในราชวงศ์เส้าหยวนได้?!”

หลินจวินปี้ยิ้มกล่าว “อ้อ?”

แล้วชุยตงซานก็ยิ้มหน้าเป็นเอ่ยว่า “เจ้าเชื่อจริงๆ หรือนี่? ข้าเอาชนะได้แล้ว อีกทั้งยังมากถึงสามครั้ง เงินที่ได้มาไม่มาก ขอให้ข้าพูดจาวางโตให้สนุกปากบ้างไม่ได้เลยหรือ?”

ชุยตงซานหุบยิ้ม มองสถานการณ์หมากซับซ้อนบนกระดานที่มีเม็ดหมากวางไว้เต็มแน่น แล้วจุ๊ปากพูดว่า “พวกเราสองพี่น้องวางสถานการณ์เทพเซียนแบบนี้ด้วยกัน มารดามันเถอะ ศาลาแห่งความชื่นมื่นใกล้จะระเบิดแล้วกระมัง เพราะว่าชื่นมื่นเบิกบานจะตายอยู่แล้ว!”

อันที่จริงเวลานี้ไม่มีใครกล้าดูแคลนฝีมือการเล่นหมากล้อมของคนผู้นี้อีกแล้ว

เหยียนลวี่ก็ยิ่งเป็นเช่นนี้

นอกจากเปียนจิ้งแล้วก็ถือว่าฝีมือการเล่นหมากล้อมของเขาใกล้เคียงกับหลินจวินปี้มากที่สุด ดังนั้นจึงยิ่งรู้ดีว่าฝีมือการเล่นหมากล้อมของเด็กหนุ่มชุดขาวสูงแค่ไหน

ดังนั้นจึงเริ่มเปลี่ยนจากการเกลียดแค้นอย่างเดียวกลายมามีความหวาดกลัวควบคู่ไปด้วย ยังคงเกลียดแค้นอยู่เหมือนเดิม ถึงขั้นยังเกลียดแค้นมากขึ้น แต่ส่วนลึกในใจกลับมีความหวาดเกรงเสี้ยวหนึ่งผุดขึ้นมาอย่างที่มิอาจห้ามได้

ชุยตงซานโบกมือให้คุณชายหลินที่นั่งยองอยู่ในห้องส้วมแต่ไม่ยอมขี้ พูดด้วยสีหน้าจริงจังว่า “วันหน้าเอาเงินมาให้ข้า แต่เจ้าจะเป็นคนเอามาให้เองหรือไม่ ไม่สำคัญ คุณชายหลิน ข้าจะเก็บกระดานหมากแล้ว ทำไม จะช่วยเก็บงั้นหรือ? เจ้าช่วยมาตั้งสามครั้งใหญ่ๆ แล้ว ข้าว่าอย่าเลย หากเจ้ายังทำแบบนี้ มโนธรรมในใจของข้าคงจะไม่สงบ นี่เป็นบัญชาจากสวรรค์ ทำให้ข้ามิอาจเป็นเพื่อนกับคนใจกว้างแบบเจ้าได้ ยามค่ำคืนข้าคงต้องนอนพลิกไปพลิกมาหลับไม่ลงแน่นอน”

หลินจวินปี้ถอนหายใจ

ในเมื่อมีการเล่นกระดานที่สามนี้ หากนำไปวางไว้ในประวัติศาสตร์ของตลอดทั้งราชวงศ์เส้าหยวน บางทีอาจมากพอที่จะเรียกได้ว่าเป็นการประลองที่มีชื่อเสียง ดังนั้นผลลัพธ์นี้เขาจึงยังพอยอมรับได้

ชุยตงซานเก็บเม็ดหมากด้วยการโยนมันใส่ในโถอย่างไม่มีมาด เสียงเม็ดหมากกระทบโถดังกังวานพลางพึมพำกับตัวเองไปด้วยว่า “ชนะติดต่อกันสามครั้ง สบาย สบายใจจริงๆ เพียงแต่ว่าอาศัยความแตกต่างของฝีมือการเล่นหมากล้อมมาบดขยี้อีกฝ่ายกลับเป็นเรื่องน่าเบื่อนัก หากฝีมือของทั้งสองฝ่ายไม่ต่างกัน แพ้ชนะขึ้นอยู่กับดวง ดวงอยู่ที่ข้า จากนั้นก็ชนะหมากล้อมอีก นั่นต่างหากถึงจะสบายอกสบายใจอย่างแท้จริง คาดว่าชีวิตนี้คุณชายหลินคงผ่านด่านบนกระดานหมากมาได้ราบรื่นเกินไป อีกทั้งยังเคยชินที่จะใช้กำลังข่มคนอื่น ก็เลยไม่อาจเข้าใจอารมณ์ของข้าได้ น่าเสียดาย น่าเสียดายนัก”

ชุยตงซานพลันยิ้มถามว่า “ทำไม รู้สึกว่าสองคำกล่าวที่ว่าฝีมือการเล่นหมากล้อมของข้าสูงเกินไป หรือไม่ก็โชคเข้าข้างข้าล้วนไม่เป็นจริง? ฝีมือการเล่นหมากล้อมสูงหรือไม่ ข้ารู้ดีอยู่แก่ใจก็พอแล้ว แต่ข้าโชคดีหรือไม่ คุณชายหลินเจ้าต้องยอมรับนะ ถ้าอย่างนั้นพวกเรามาเล่นกันอีกตา เปลี่ยนวิธีใหม่ เป็นอย่างไร? ไม่ได้แข่งเรื่องฝีมือการเล่นหมากล้อมทั้งหมด แต่เน้นในเรื่องดวงมากกว่า กล้าหรือไม่? ถึงขั้นพูดได้ว่า สิ่งที่พวกเราแข่งกันมีแค่เรื่องของดวงเท่านั้น หมากล้อมที่แข่งเช่นนี้ ตลอดชีวิตต่อจากนี้คุณชายหลินอาจไม่มีโอกาสได้เล่นแล้ว เพราะแค่ดูที่ดวง ดังนั้นพวกเราจึงไม่ลงเงินเดิมพัน หรือเดิมพันสิ่งของอะไรทั้งนั้น”

หลินจวินปี้ถาม “หมายความว่าอย่างไร?”

ชุยตงซานยิ้มกล่าว “เจ้าเป็นคนตัดสินการเล่นหมากล้อมตานี้ จะแพ้หรือชนะ ก่อนจะแข่งเจ้าก็บอกกับเซียนกระบี่ขู่เซี่ยไว้ก่อน ขอแค่สถานการณ์หมากบนกระดานเป็นอย่างที่เจ้าบอกไว้ ไม่ว่าบนกระดานข้าจะแพ้หรือชนะก็ล้วนถือว่าเป็นเจ้าที่ชนะ พวกเราแข่งกันว่าใครดวงดีกว่ากัน กล้าหรือไม่?!”

หลินจวินปี้หลุดหัวเราะพรืด

ชุยตงซานยิ้มกล่าว “ไม่ต้องพูดถึงฝีมือการเล่นหมากล้อมหรือเวทกระบี่ เอาแค่นิสัยใจคอของเซียนกระบี่ขู่เซี่ย กับมารยาทในการเล่นหมากล้อมของคุณชายหลิน ข้าล้วนเชื่อใจพวกเจ้า”

หลินจวินปี้ส่ายหน้า “หมากแบบนี้ ข้าไม่เล่น”

ชุยตงซานกลับพยักหน้าคล้อยตาม “ก็จริง เพราะยังไม่น่าสนใจมากพอ ถ้าอย่างนั้นก็บวกวิธีการเล่นอีกอย่างหนึ่งเข้าไป การแข่งครั้งที่สามของ ‘ตำราเมฆหลากสี’ ที่เจ้าเปิดอ่านบ่อยๆ เล่มนั้น เล่นกันถึงแค่ครึ่งกระดาน ก็ได้ แท้จริงแล้ววางหมากกันถึงครั้งที่ห้าสิบหกก็มีคนโยนหมากยอมแพ้แล้ว ไม่สู้พวกเรามาช่วยพวกเขาเล่นต่อให้จบดีไหม? จากนั้นก็ยังให้เจ้าเป็นคนตัดสินแพ้ชนะนอกกระดานนี้อยู่เหมือนเดิม แพ้ชนะบนกระดานหมากสำคัญไหม? ไม่สำคัญเลยสักนิด เจ้าช่วยเจ้านครจักรพรรดิขาว ส่วนข้าช่วยคนที่เขาประลองด้วย เป็นอย่างไร? เจ้าลองดูเซียนกระบี่ขู่เซี่ยสิ ร้อนใจจนแทบจะทนไม่ไหวแล้ว เซียนกระบี่ผู้ยิ่งใหญ่ ช่วยปกป้องมรรคาให้อย่างยากลำบาก คงอยากให้คุณชายหลินช่วงชิงชัยชนะกลับมาได้สักครั้งเต็มทีแล้ว”

หลินจวินปี้หมดคำพูดตอบโต้

คนผู้นี้คือคนบ้า

การที่ตำราเมฆหลากสีถูกนักเล่นหมากล้อมทุกคนบนโลกมองว่า ‘ข้าอยู่บนโลกมองดูเมฆหลากสีที่สูงส่งจนมิอาจปีนป่ายได้ถึง’ นั้น อยู่ที่ว่าคนที่ชนะหมากล้อมได้ก็คือผู้ไร้เทียมทาน จุดที่น่าหวาดกลัวยิ่งกว่านั้นอยู่ที่ว่าคนที่แพ้ ขอแค่ลุกขึ้นเดินออกไปจากกระดานหมาก ออกจากนครจักรพรรดิขาวก็คือข้าไร้เทียมทานเมื่ออยู่นอกนครเบื้องล่างเมฆ

เกี่ยวกับเหตุการณ์ภายหลังของการประลองครั้งที่สามบนเมฆหลากสี นักเล่นหมากล้อมจำนวนนับไม่ถ้วนต่างก็เคยสืบเสาะศึกษาอย่างลึกซึ้ง แม้แต่อาจารย์ของหลินจวินปี้เองก็ยังไม่ใช่ข้อยกเว้น บอกแค่ว่าชุยฉานผู้นั้นโยนหมากยอมแพ้ไม่เร็วไปและไม่ช้าไป นี่จึงบอกได้ว่าคนผู้นี้คู่ควรกับคำเรียกขานว่านักเล่นหมากล้อมลำดับสองของโลกอย่างแท้จริง

ดังนั้นหลินจวินปี้จึงส่ายหน้า “หมากล้อมแบบนี้ ข้าไม่เล่น เจ้าและข้าต่างก็เป็นนักเล่นหมากล้อม เผชิญหน้ากับเม็ดหมากและกระดานหมากก็ไม่ควรจะหลู่เกียรติพวกมัน”

ชุยตงซานแค่นเสียงเย็นชา “เจ้ามีคุณสมบัติมาหลู่เกียรติตำราเมฆหลากสีงั้นหรือ? หลินจวินปี้ ฝีมือหมากล้อมของเจ้าสูงส่งถึงระดับนี้แล้วหรือไร? เพิ่งจะวางหมากได้แค่ห้าสิบหกเม็ด สองฝ่ายที่ประลองกันบนเมฆหลากสีต่างก็มีขอบเขตสูงพอ ถึงสามารถมองเห็นไปถึงจุดจบแล้ว นักเล่นหมากล้อมทุกคนที่อยู่ใต้เมฆหลากสีจะรู้ความคิดในใจของทั้งสองฝ่ายจริงๆ หรือ? หากเปลี่ยนเจ้าและข้ามาเป็นผู้เล่นโดยเริ่มจากจุดจบกลางกระดานของสองคนนั้น เจ้ามีความสามารถมากพอจะมาประคับประคองสถานการณ์ได้เปรียบของเจ้านครจักรพรรดิขาวจริงๆ หรือไร? ใครมอบความมั่นใจนี้ให้แก่เจ้า อาศัยเรื่องที่ว่าตัวเองแพ้ติดกันสามครั้งงั้นรึ?!”

หลินจวินปี้พูดเสียงขรึม “ไม่บอกกับเซียนกระบี่ขู่เซี่ยถึงการแพ้ชนะนอกกระดาน แต่ข้าจะเล่นหมากที่เหลือนี้กับเจ้าเอง!”

ชุยตงซานยิ้มกล่าว “ดี ถ้าอย่างนั้นก็เพิ่มของรางวัล หากข้าชนะ มาเล่นกันอีกตา เจ้าจำเป็นต้องบอกกับเซียนกระบี่ขู่เซี่ยไว้ก่อนว่าใครจะแพ้ใครจะชนะ”

หลินจวินปี้เอ่ย “รอให้เจ้าชนะสถานการณ์หมากในตำราเมฆหลากสีนี้ได้ก่อนแล้วค่อยว่ากัน”

ชุยตงซานยิ้มกล่าว “ยังดีๆ คุณชายหลินไม่ได้บอกว่า ‘ชนะข้าได้ก่อนค่อยว่ากัน’ ไม่อย่างนั้นต่อให้เป็นคนที่เลื่อมใสมาดองอาจดุจเทพเซียนของคุณชายหลินก็ยังต้องถ่มน้ำลายใส่กระดานหมากแล้ว”

เซียนกระบี่ขู่เซี่ยกลัดกลุ้มยิ่งนัก

ส่วนผู้ฝึกกระบี่อายุน้อยคนอื่นๆ แม้แต่จินเจินเมิ่งเองก็ยังตั้งตารอการเล่นครั้งนี้อย่างมาก

ชุยตงซานพลันหันหน้ามาเอ่ยว่า “คนอื่นๆ ที่ไม่เกี่ยวข้อง ไม่มีคุณสมบัติจะชมการเล่นครั้งนี้ แน่นอนว่าหากจะดูก็ได้ ไม่มาก คนละหนึ่งเหรียญเงินฝนธัญพืช ใจกว้างให้ข้าเห็นหน่อย เอาเงินมาๆ”

จูเหมยยกมือเอ่ยว่า “ข้าจะดู เงินฝนธัญพืชส่วนของพี่หญิงอวี้ ข้าจะออกให้เอง”

ชุยตงซานรีบเปลี่ยนสีหน้าทันใด ขยับเอวนั่งหลังตรง พูดด้วยสีหน้าจริงจังว่า “ล้อเล่นอะไรอย่างนั้น สหายของพี่หญิงอวี้ก็คือสหายของข้าชุยตงซาน พูดเรื่องเงินอย่างนั้นรึ? คิดจะตบหน้าข้าหรือไร? ข้าคือนักเล่นข้างทางที่เล่นหมากล้อมเพื่อหาเงินหรือ?”

คนจำนวนไม่น้อยซึ่งมีเจี่ยงกวนเฉิงเป็นหนึ่งในนั้นยินดีจะควักเงินจ่ายกันจริงๆ แต่เซียนกระบี่ขู่เซี่ยกลับเริ่มไล่คน อีกทั้งยังไม่เหลือพื้นที่ใดๆ ให้ปรึกษาอีกด้วย ดังนั้นบนหัวกำแพงจึงเหลือแค่อวี้เจวี้ยนฟูและจูเหมยที่อวี้เจวี้ยนฟูช่วยหนุนหลังให้

ทั้งสองฝ่ายเริ่มวางเม็ดหมากลงบนกระดาน มองดูเหมือนเป็นการทบทวนกระดาน แต่ในความจริงแล้วนอกจากกระดานที่สามของตำราเมฆหลากสี ได้มีการเล่นกระดานใหม่เกิดขึ้นแล้ว

ผ่านไปครึ่งชั่วยาม หลินจวินปี้ที่ใช้ความคิดใคร่ครวญอย่างยาวนานไม่หยุด อยู่ดีๆ ก็หยุดค้างที่มุมบนขวาของกระดาน บนกระดานหมากเขาวางเม็ดหมากใหม่ไปแค่สามสิบหกเม็ด แค่นั้นหลินจวินปี้ก็หน้าซีดขาว เนิ่นนานก็ยังไม่ยอมโยนหมากยอมแพ้

ชุยตงซานพูดเสียงราบเรียบว่า “ตามข้อตกลง มาเล่นกันอีกครั้ง เป็นการเล่นครั้งที่สองแบบนับย้อนหลังจากตำราเมฆหลากสีที่แพ้ในช่วงสุดท้าย พื้นที่บนกระดานหมากเหลือน้อยมากแล้ว เรื่องไม่คาดคิดก็เกิดขึ้นได้น้อยมากๆ เจ้ายังคงวางหมากแทนเจ้านครจักรพรรดิขาว จำไว้ว่า บอกกับเซียนกระบี่ขู่เซี่ยไว้ก่อนว่านอกกระดานนี้ใครจะแพ้ใครจะชนะ เป็นแค่การแข่งกันในเรื่องของดวงเท่านั้น แพ้ชนะบนกระดานอย่าได้ไปใส่ใจมากนัก หากยังคงเป็นข้าที่ชนะ ถ้าอย่างนั้นข้าก็คงต้องเป็นสิงโตที่อ้าปากกว้าง ขอให้เจ้าเล่นกับข้าอีกตาแล้ว”

หลินจวินปี้บอกกับเซียนกระบี่ขู่เซี่ยว่านอกการเล่นกระดานนี้ใครจะแพ้ใครจะชนะ

จากนั้นทั้งสองฝ่ายก็เก็บเม็ดหมากทั้งหมดบนกระดานกลับมา ก่อนจะวางเม็ดหมากกันอีกครั้ง

เมื่อเทียบกับกระดานหมากก่อนหน้านี้ เม็ดหมากบนกระดานนี้เยอะกว่ามาก

เวลาสั้นๆ เพียงแค่หนึ่งก้านธูป เด็กหนุ่มชุดขาวก็ยิ้มเอ่ยว่า “วางใจเถอะ การเล่นครั้งถัดไปเปลี่ยนมาเป็นข้าที่เป็นคนบอกผลแพ้ชนะกับเซียนกระบี่ขู่เซี่ยก่อนบ้าง จากนั้นเจ้าและข้าค่อยมาเล่นด้วยกัน เรื่องของดวงนี้ ในเมื่อดวงอยู่กับข้าทุกครั้ง โชคในการเดิมพันโชติช่วงเกินไป ถ้าอย่างนั้นข้าก็ต้องคุกเข่าขอร้องให้แพ้ดูสักครั้ง เป็นฝ่ายสับเปลี่ยนตำแหน่งดวงด้วยตัวเอง หากครั้งนี้ยังคงเป็นข้าที่ชนะ แล้วอย่างไรเล่า ถึงอย่างไรก็เป็นการบอกว่าวันนี้ข้าดวงดีมากจริงๆ อยู่แล้ว เกี่ยวอะไรกับฝีมือการเล่นหมากล้อมของคุณชายหลินว่าสูงหรือต่ำด้วยเล่า? ไม่เกี่ยวเลย ไม่เกี่ยวเลยสักนิด”

เม็ดเหงื่อผุดซึมออกจากหน้าผากของหลินจวินปี้ เขาอึ้งงันไร้คำพูด ทั้งไม่อยากโยนหมากยอมแพ้ แล้วก็ไม่เอ่ยคำใด ราวกับว่าแค่อยากมองกระดานหมากให้มากขึ้น แค่อยากรู้ว่าจะแพ้อย่างไรเท่านั้น

แม้ปากของเด็กหนุ่มชุดขาวที่อยู่ฝั่งตรงข้ามจะพูดจามีมารยาท ทว่าสีหน้ากลับเต็มไปด้วยรอยยิ้มเหยียดหยัน

อวี้เจวี้ยนฟูถอนหายใจ พาจูเหมยออกไปจากที่นี่

เป็นอย่างที่ชุยตงซานผู้นั้นว่าไว้จริงๆ

อันที่จริง ‘ดวงในการเดิมพัน’ ของอวี้เจวี้ยนฟูก่อนหน้านี้ถือว่าดีมากแล้ว

เด็กสาวจูเหมยเองก็รู้หนักเบา เดินตามอวี้เจวี้ยนฟูออกไปจากสถานที่อันตรายแห่งนี้เงียบๆ

เซียนกระบี่ขู่เซี่ยกำลังจะเปิดปากเอ่ย

ชุยตงซานกลับใช้สองนิ้วคีบหมากเม็ดหนึ่งขึ้นมาหมุนเบาๆ พูดโดยไม่เงยหน้า “ยามชมการประลองหมากล้อมไม่ควรพูดจา ช่วยมีกฎเกณฑ์หน่อยได้หรือไม่? เป็นถึงเซียนกระบี่แผ่นดินกลางผู้ยิ่งใหญ่ ยิ่งเป็นถึงศิษย์หลานของโจวเสินจือ แบกรับภาระยิ่งใหญ่ที่ราชครูราชวงศ์เส้าหยวนไหว้วานมา แต่กลับช่วยปกป้องมรรคาให้กับเด็กรุ่นหลังแบบนี้น่ะหรือ? ข้ากับคุณชายหลินแค่พบหน้ากันก็รู้สึกเหมือนสหายที่รู้จักกันมานาน เพราะฉะนั้นข้าจึงพูดง่ายกับทุกเรื่อง แต่หากเซียนกระบี่ขู่เซี่ยคิดจะอาศัยเวทกระบี่และสถานะของตัวเองมาข่ม ถ้าอย่างนั้นข้าก็คงต้องขอกำลังเสริมให้มาช่วยแล้ว หลักการเหตุผลที่ตื้นเขินเพียงเท่านี้ เข้าใจบ้างหรือไม่? หากไม่เข้าใจก็มีคนที่เวทกระบี่สูง ข้าสามารถขอร้องให้เขามาช่วยสั่งสอนชี้แนะเจ้าได้”

เซียนกระบี่ขู่เซี่ยเปลี่ยนจากลังเลมาเป็นเด็ดเดี่ยว ไม่สนใจถ้อยคำของเด็กหนุ่มชุดขาวคนนั้น เอ่ยเสียงทุ้มหนักว่า “หลินจวินปี้ เจ้าลุกขึ้นได้แล้ว”

หลินจวินปี้กลับลังเลตัดสินใจไม่ได้ สองมือกำเป็นหมัดแน่น