บทที่ 609.6 เล่นหมากล้อมทำลายจิตแห่งเต๋า รสเหล้าร้อนลวกกระเพาะ

กระบี่จงมา! Sword of Coming

ชุยตงซานคีบหมากเม็ดหนึ่งขึ้นมา แล้วกดลงบนกระดานหมาก ยื่นมือไปปัดเบาๆ เม็ดหมากก็ไถลไปอยู่ริมขอบกระดานฝั่งของหลินจวินปี้ หมากเล็กๆ เม็ดหนึ่ง ครึ่งหนึ่งอยู่บนกระดาน อีกครึ่งหนึ่งลอยอยู่กลางอากาศพอดี

ชุยตงซานยิ้มบางๆ เอ่ยว่า “ลุกขึ้น? ได้สิ โยนเม็ดหมากยอมแพ้ซะ ถือว่าแพ้ครึ่งหนึ่ง”

เซียนกระบี่ขู่เซี่ยเอ่ยอย่างเดือดดาล “เจ้าอย่าคิดได้คืบจะเอาศอก! กล้าทำลายจิตแห่งเต๋าของหลินจวินปี้งั้นรึ?!”

ชุยตงซานสอดสองมือไว้ในแขนเสื้อ พูดกลั้วหัวเราะเสียงดัง “ผู้ฝึกตนที่เป็นลูกรักแห่งสวรรค์ กลับถูกการละเล่นในเวลาว่างอย่างการเล่นหมากล้อมทำลายจิตแห่งเต๋า นี่ยิ่งกว่าเหยียนลวี่เสียอีก ข้าล่ะขำจะตายอยู่แล้ว”

ชุยตงซานเงยหน้าขึ้น มองไปยังเซียนกระบี่ขู่เซี่ยที่มีท่าทางเดือดดาลแล้วยิ้มตาหยีถามว่า “หากทำให้ข้าขำจนตายก็จะช่วยให้หลินจวินปี้เอาชนะได้อย่างนั้นหรือ?”

หลินจวินปี้เอ่ยเสียงสั่น “ยอมแพ้ตั้งแต่ยังไม่เล่น ก็ถือว่าแพ้แค่ครึ่งเดียว?”

ชุยตงซานพยักหน้า “แน่นอน เพียงแต่มีเงื่อนไขเล็กๆ นั่นคือเจ้าต้องรับปากว่าชีวิตนี้จะไม่แตะต้องเม็ดหมากและกระดานหมากอีก”

เหงื่อไหลมาตามสันหลังของหลินจวินปี้

ชุยตงซานอ้าปากหาว แล้วก็ไม่เร่งรัดให้หลินจวินปี้ตัดสินใจ เพียงแต่ท่าทางของเขาดูเบื่อหน่ายอย่างเห็นได้ชัด

คนบนโลกรู้แค่ว่าตำราเมฆหลากสีคือตำราเมฆหลากสี

แต่กลับไม่รู้เลยว่าสองฝ่ายที่ประลองฝีมือกันจนเกิดเป็นสถานการณ์หมากเมฆหลากสีนั้นนั่งอยู่ตรงข้ามกันก็จริง ทว่านอกกระดานหมากได้มีการวางอุบายปัดแข้งปัดขาที่ลึกจนมองไม่เห็นก้นบึ้งแบบใดอยู่ข้าง

นั่นต่างหากถึงจะเรียกว่าการวางหมากที่แท้จริง

พวกลูกกระต่ายที่เรียนรู้จากตำราเมฆหลากสีมาอย่างงูๆ ปลาๆ เช่นพวกเจ้า ก็คู่ควรให้เรียกตัวเองว่านักเล่นหมากล้อม นักเล่นระดับแคว้นด้วยหรือ?

ชุยตงซานพูดเนิบช้าเหมือนกำลังคุยเล่นกับคนสนิท “ผลงานของอาจารย์ของอาจารย์ข้า ราชวงศ์เส้าหยวนนอกจากอาจารย์ของเจ้าที่กล้าเก็บไว้ในห้องหนังสือ ทุกวันนี้พวกตระกูลแม่ทัพอัครเสนาบดี ในโรงเรียนของชาวบ้านร้านตลาด ยังเหลืออยู่อีกกี่เล่ม? สองเล่ม? หรือไม่เหลือเลยสักเล่ม? นี่จะนับเป็นอะไรได้ เรื่องเล็กน้อย กล้าเดิมพันก็พร้อมยอมรับความพ่ายแพ้ วางหมากอย่างไร้ความเสียใจ เพียงแต่ดูเหมือนข้ายังจำเรื่องเล็กๆ เรื่องหนึ่งได้ ปีนั้นเดินทางไกลหมื่นลี้ไปถึงศาลบุ๋น คนที่ลงมือทุบเทวรูปผุพังที่อยู่ข้างทาง หนึ่งในนั้นก็มีบัณฑิตของราชวงศ์เส้าหยวนของพวกเจ้าด้วยกระมัง? ได้ยินว่าพอหวนกลับบ้านเกิด อนาคตการเป็นขุนนางก็ราบรื่น เจริญรุ่งเรืองในหน้าที่การงาน? ภายหลังคนผู้นั้นไม่เพียงแต่เป็นสหายเล่นหมากล้อมกับเจ้า ยังเป็นสหายต่างวัยที่พูดคุยกันอย่างถูกคอด้วย? อ้อ ใช่แล้ว ก็คือเจ้าของผลงานตำราหมากล้อมที่นอนอยู่ใต้กำแพงเล่มนั้น อาจารย์ซีหลูผู้มีเลื่องชื่อ”

จิตของเซียนกระบี่ขู่เซี่ยขยับเล็กน้อย เมื่อครู่นี้ยังคิดจะเปิดปากเอ่ยห้ามหลินจวินปี้ เพียงแต่ว่าตอนนี้ให้ตายอย่างไรเขาก็ไม่ยอมพูดเด็ดขาด

หมี่อวี้ผู้ฝึกกระบี่ขอบเขตหยกดิบคือผู้ฝึกกระบี่ในท้องถิ่นของกำแพงเมืองปราณกระบี่ ยามที่เจอกับคนผู้นั้นก็ยังยืนนิ่งไม่กล้าขยับ

ถ้าอย่างนั้นเขาขู่เซี่ยก็จะทำแบบเดียวกัน

เพียงแต่ว่าหลินจวินปี้ในเวลานี้ก็แค่อกสั่นขวัญผวา แล้วนับประสาอะไรกับที่ขอบเขตของเขายังต่ำอยู่มาก จึงไม่แน่เสมอไปว่าจะตระหนักได้ถึงสภาพการณ์อันน่ากระอักกระอ่วนของตนเวลานี้

ชุยตงซานหลุดเสียงหัวเราะใส่หลินจวินปี้ “ของรางวัล? ต่อจากนี้ทุกครั้งที่ข้าชนะเจ้าหนึ่งครั้งก็จะทำให้เจ้าจำต้องเล่นตาถัดไป ต่อให้ทุกครั้งจะได้รับเงินร้อนน้อยจากเจ้ามาเพิ่มหนึ่งเหรียญ ข้าก็สามารถทำให้อนาคตการฝึกตนทั้งหมดของเจ้าพ่ายแพ้หมดรูปได้ ถึงขั้นลากเอาราชวงศ์เส้าหยวนครึ่งหนึ่งมาแพ้ไปด้วย ข้าจะวางหมากจนเจ้านึกอยากไปผุดไปเกิดใหม่เสียเดี๋ยวนี้ ชาติหน้าก็ไม่คิดจะแตะต้องเม็ดหมากอีกแล้ว! เจ้าคิดว่าประลองหมากล้อมกับข้าแล้ว เจ้าไม่อยากเล่นก็เลิกเล่นได้หรือ? หืม?!”

“สรุปแล้วเจ้ารู้หรือไม่ว่าตัวเองกำลังเล่นหมากล้อมอยู่กับใคร?!”

ชายแขนเสื้อใหญ่ของชุยตงซานพลิ้วไสว ยิ้มตาหยีเอ่ยว่า “จำเอาไว้ ข้าก็คือตงซานไงล่ะ”

……

เฉาฉิงหล่างเจอกับเผยเฉียนที่กลางระเบียง

เผยเฉียนทำท่าจะพูดแต่ก็ไม่พูด

เฉาฉิงหล่างชี้ไปที่หัวใจ จากนั้นก็โบกมือ ไม่เอ่ยอะไร เพียงแค่คลี่ยิ้มบางๆ

เผยเฉียนเงียบงัน

เฉาฉิงหล่างจึงยิ้มถามว่า “ข้ามีมีดแกะสลัก วันหน้าจะสลักตราประทับชิ้นหนึ่งมามอบให้เจ้าดีไหม?”

เผยเฉียนจึงจากไปพร้อมความขุ่นเคือง

เฉาฉิงหล่างเกาหัว เพื่อรอให้ตนปรากฏตัว อีกฝ่ายคงมาเฝ้ารออยู่นานมากแล้วกระมัง

วันนี้เด็กหนุ่มชุดขาวที่มีท่าทางลับๆ ล่อๆ คนหนึ่งแอบมาเคาะประตูใหญ่ของจวนหนิง น่าหลันเย่สิงพูดกลั้วหัวเราะ “น้องเล็กตงซาน เกิดอะไรขึ้น? เป็นโจรก็ไม่จำเป็นต้องเคาะประตูกระมัง”

ชุยตงซานพูดอย่างไม่สบอารมณ์ “พี่ใหญ่น่าหลัน วันนี้น้องชายไปที่หัวกำแพงเมืองมา ต้องลำบากอยู่ตั้งนานกว่าจะหาเงินเล็กๆ น้อยๆ มาได้ ข้าโมโหจะตายอยู่แล้ว ไม่มีหน้าไปพบอาจารย์แล้วล่ะ”

น่าหลันเย่สิงรู้สึกสงสารคนที่ถูกเขาหลอกเอาเงินไปไม่น้อย แม้จะไม่รู้ว่าเป็นใครที่ดวงซวยขนาดนั้นก็ตาม

และในขณะที่น่าหลันเย่สิงคิดจะปิดประตูแยกย้ายไปคนละทางกับเจ้าตะพาบน้อยผู้นี้นั้นเอง ชุยตงซานพลันยิ้มกล่าวขึ้นมาว่า “ไป ไปดื่มเหล้าในห้องพี่ใหญ่กัน”

แน่นอนว่าน่าหลันเย่สิงไม่ใคร่จะยินดี เพียงแต่เห็นสีหน้าของเด็กหนุ่มชุดขาวแล้วก็ได้แต่พยักหน้ารับ

พอไปถึงที่นั่น ชุดตงซานก็หยิบเหล้าออกมาสองกา น่าหลันเย่สิงกลับหวังให้ตัวเองได้ดื่มเหล้าที่ตัวเองเก็บซ่อนไว้อย่างยากลำบากมากกว่า

แต่บทสนทนาต่อมากลับทำให้ความคิดนี้ของน่าหลันเย่สิงค่อยๆ ลดเลือนไป

เพราะเรื่องที่อีกฝ่ายพูด สำหรับผู้ฝึกกระบี่ขอบเขตหยกดิบที่ถดถอยมาจากขอบเขตเดิมเช่นตน ช่างเป็นเรื่องที่ใหญ่ยิ่งนัก

เหตุผลนั้นเรียบง่ายมาก เรื่องที่อีกฝ่ายพูดก็คือ น่าหลันเย่สิงควรจะเดินไปบนมหามรรคาแห่งการฝึกตนอย่างไร

นี่ยังไม่นับเป็นอะไรได้

เพราะไม่นานก็มีเสียงเคาะประตูดังขึ้น

เพียงไม่นานป๋ายหมัวมัวก็จากไป

คนที่มาก็คือชุยเหวย ผู้ฝึกกระบี่โอสถทองที่ไม่ได้เป็นลูกศิษย์ที่ได้รับการบันทึกชื่อของน่าหลันเย่สิงอีกต่อไป

ชุยเหวยปิดประตูลงแล้วกุมหมัดคารวะ ไม่เงยหน้า ไม่เอ่ยอะไร

น่าหลันเย่สิงคิดจะลุกขึ้นเดินจากไป แต่กลับถูกชุยตงซานที่หัวเราะร่าเอ่ยรั้งเอาไว้

จากนั้นชุยตงซานก็หันหน้ามาเอ่ยว่า “คิดอยากจะฝ่าทะลุขอบเขตอีกครั้ง จากนั้นหากต้องตายก็ตายไป หรืออยากจะติดตามข้าไปอยู่ใต้หล้าไพศาล มีชีวิตอยู่รอดไปวันๆ? วันนี้พรุ่งนี้ บางทีอาจไม่เป็นไร มีแต่จะรู้สึกว่าโชคดี แต่ข้ายืนยันได้เลยว่า ในอนาคตสักวันหนึ่งมโนธรมในใจของเจ้าชุยเหวยจะไม่อาจสงบลงได้”

ชุยเหวยก้มหน้ากุมหมัดอยู่ตลอดเวลา “ชุยเหวยยินดีติดตามอาจารย์ไปที่แจกันสมบัติทวีป ความเกลียดแค้นของวันพรุ่งนี้ก็ค่อยว่ากันวันพรุ่งนี้”

ชุยตงซานยิ้มกล่าว “ได้สิ ข้าตกลง แต่ข้าอยากฟังเหตุผลของเจ้า วางใจเถอะ ไม่ว่าจะอย่างไร ข้าจะยอมรับหรือไม่ ก็จะไม่เปลี่ยนแปลงความปลอดภัยของเจ้าในวันหน้า”

ชุยเหวยเงียบไปครู่หนึ่ง “ทำไมข้าชุยเหวยต้องมาตายอยู่ที่นี่”

น่าหลันเย่สิงถอนหายใจ ไม่ได้เดือดดาลรุนแรงจนเกือบจะพลั้งมือตบชุยเหวยให้ตายด้วยฝ่ามือเดียวเหมือนคราวก่อน

ชุยตงซานพยักหน้ารับ “ถามได้ดี วันหน้าเมื่อไปอยู่ที่อื่น หากมีเวลาว่างหรืออายุมากขึ้นแล้ว ไม่สู้ลองกลับมาตอบคำถามประโยคนี้ด้วยตัวเองดูอีกครั้ง ไปเถอะ หลายปีมานี้ลำบากเจ้าแล้ว”

แต่ชุยเหวยกลับไม่ได้จากไปทันที เขาคุกเข่าลงบนพื้น หันหน้าไปโขกหัวคำนับน่าหลันเย่สิงสามครั้ง “อาจารย์ไม่รับศิษย์ แต่ศิษย์กลับคิดว่าท่านคืออาจารย์คนที่สองบนเส้นทางการฝึกตนของตัวเอง! ชุยเหวยจากไปครั้งนี้จะไม่หวนคืนมาอีก ขออาจารย์โปรดรักษาตัวด้วย!”

น่าหลันเย่สิงยกถ้วยขาวขึ้นดื่มเหล้าหนึ่งคำ ครั้นจึงพยักหน้าเอ่ยว่า “ในเมื่อเลือกที่จะไปอยู่ใต้หล้าไพศาล ถ้าอย่างนั้นก็พยายามให้เต็มที่ อย่าได้ตายง่ายๆ มีชีวิตอยู่ต่อไปอีกสักหลายร้อยหลายพันปี”

ชุยเหวยจึงออกจากห้อง กลับไปยังที่พักของตัวเอง

ชุยตงซานดื่มเหล้าไปแล้ว ครู่เดียวก็ออกไปจากห้อง

เหลือไว้เพียงผู้เฒ่าที่ไร้ลูกหลานแล้วก็ไร้ลูกศิษย์ที่ดื่มเหล้าอยู่เพียงลำพัง และบนโต๊ะก็ดูเหมือนว่าจะไม่มีกับแกล้มสักจานด้วย

……

ยามสนธยาของวันนี้ ฉีจิ่งหลงพาลูกศิษย์อย่างป๋ายโส่วมาเยือนจวนหนิงด้วยกัน

ป๋ายโส่วต้องดึงเอาความกล้าหาญดั่งคนที่พร้อมกระโจนเข้าหาความตายอย่างองอาจออกมาใช้

เพียงแต่มีเรื่องไม่คาดฝันที่น่ายินดีใหญ่เทียมฟ้า! อันดับแรกคือได้ยินมาว่าเผยเฉียนต้องฝึกวิชาหมัดกับหมัวมัวเฒ่าคนหนึ่งของจวนหนิง เวลานี้ยังนอนป่วยอยู่บนเตียง

แต่หลังจากที่ความดีใจซึ่งทำให้เขานึกอยากจะตีฆ้องร้องป่าวผ่านไปแล้ว ป๋ายโส่วก็อดเป็นกังวลขึ้นมาอีกไม่ได้ ถึงอย่างไรเผยเฉียนก็เป็นแค่แม่นางน้อยคนหนึ่ง เด็กหนุ่มจึงถามทาง แล้วไปเดินเตร็ดเตร่แถวเรือนพักของเผยเฉียน แน่นอนว่าไม่กล้าเคาะประตู ได้แต่เดินเล่นอยู่ด้านนอกเท่านั้น

ส่วนอาจารย์ของเด็กหนุ่มก็ไปยังเรือนที่พักของเฉินผิงอันพี่น้องคนดีของเขาแล้ว

ทว่าในห้องกลับมีคนอยู่สามคน

เฉินผิงอัน ชุยตงซาน ฉีจิ่งหลง

ต่างคนต่างหยิบสมุดเล่มหนึ่งออกมา

ข้อมูลในสมุดของเฉินผิงอันหลากหลายมากที่สุด

ส่วนสมุดของชุยตงซานนั้นหนาที่สุด ที่มาของเนื้อหาล้วนมาจากสายลับเดนตายที่ซิ่วหู่แห่งต้าหลีแทรกซอนไว้ในกำแพงเมืองปราณกระบี่และภูเขาห้อยหัว จำนวนคนไม่มาก ทว่าแต่ละคนล้วนมีประโยชน์สูงสุด

มีทั้งเอกสารที่เพิ่งได้รับมา แต่ส่วนใหญ่เป็นเอกสารที่ได้มาจากองค์กรลับสูงสุดของต้าหลี

แน่นอนว่าก่อนหน้านี้ไม่นานตัวชุยตงซานเองก็เดินเตร็ดเตร่ไปทั่วนครแล้ว ไม่ใช่ว่าอยากจะอาศัยฝีมือของตัวเองตามหาเบาะแสให้ได้มากกว่าเดิม ชุยตงซานยอมรับมาโดยตลอดว่าตัวเองไม่ใช่เทพเซียนอะไร คำกล่าวที่ว่าเห็นเพียงน้อยนิดก็อนุมานได้กว้างไกล ก่อนจะเป็นอย่างนั้นได้ต้อง ‘เห็น’ มาก่อน ถึงอย่างไรวันเวลาก็สั้นนัก อีกอย่างสถานะของลูกศิษย์สายเหวินเซิ่งก็ค่อนข้างจะเป็นปัญหา ไม่อย่างนั้นชุยตงซานก็คงจะได้รับรายละเอียดมากมายที่ใกล้เคียงกับความจริง หรืออาจถึงขั้นเป็นความจริงเลยมากกว่านี้

ส่วนของฉีจิ่งหลงเป็นข้อมูลที่ได้มาโดยอาศัยเจ้าสำนักและลูกศิษย์สำนักกระบี่ไท่ฮุยในทางอ้อม

ชุยตงซานโบกชายแขนเสื้อหนึ่งครั้ง จุดที่สูงเหนือโต๊ะทั้งสองตัวไปเล็กน้อยก็มีกระดาษเซวียนจื่อสีขาวแผ่นหนึ่งปรากฏ จิตของชุยตงซานขยับเล็กน้อย เรือนน้อยใหญ่ในนครก็ผุดนูนขึ้นมาบนกระดาษเซวียนจื่อที่ราบเรียบ

จากนั้นชุยตงซานก็ยื่นพู่กันส่งให้กับอาจารย์และฉีจิ่งหลงคนละสามด้าม กระดาษเซวียนจื่อแผ่นนั้นเดินผ่านได้ไม่เป็นไร เพราะจะกลับคืนมาเป็นปกติได้ด้วยตัวเอง ทว่ากลับสามารถเขียนตัวอักษรลงไปด้านบนได้

พู่กันคนละด้ามเขียนเป็นตัวอักษรต่างสี ดำ ขาว เทา

คนทั้งสามไม่ต้องพูดอะไรกัน ต่างคนต่างเขียนชื่อต่างๆ ลงไป

หากเป็นชื่อที่เหมือนกันแต่เขียนด้วยพู่กันคนละสี ชุยตงซานก็จะใช้พู่กันชาดแดงที่มีเฉพาะในมือตัวเองวงกลมลงบนชื่อนั้น

บนโต๊ะวางสมุดไว้สามเล่ม หากใครหยุดเขียนก็สามารถเปิดอ่านสมุดอีกสองเล่มที่เหลือได้

……

ยามสนธยาของวันนี้ ฉีจิ่งหลงและป๋ายโส่วเดินออกมาจากจวนหนิง ย้อนกลับไปยังจวนคลังเจี่ยจ้างของสำนักกระบี่ไท่ฮุย ส่วนเฉินผิงอันพาชุยตงซานไปดื่มเหล้าที่ร้าน

ทว่ากลับไม่ได้ไปที่นั่นจริงๆ เขาเดินอ้อมเส้นทางไปเล็กน้อยแล้วบอกให้ชุยตงซานช่วยดูต้นทางให้ สุดท้ายก็มาถึงเรือนหลังหนึ่งในตรอกเก่าโทรม

ไม่ถึงขั้นยากจนข้นแค้น แต่ก็ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องใดๆ กับความร่ำรวยหรูหราเลย

ชุยตงซานไม่ได้เข้าไป เพียงยืนอยู่ข้างนอก รอให้อาจารย์เข้าไปด้านในแล้ว ชุยตงซานถึงไปที่มุมหัวเลี้ยวแห่งหนึ่งที่เชื่อมสองตรอก แล้วนั่งยองอยู่ตรงนั้นอย่างเบื่อหน่าย

มีเพียงเผยเฉียนที่ยังไม่รู้ว่า การเดินทางไกลมาเยือนกำแพงเมืองปราณกระบี่ในครั้งนี้ พวกเขาที่เป็นลูกศิษย์เป็นนักเรียนล้วนอยู่ไม่ได้นานนัก

อาจารย์ของพวกเขาก็แค่หวังให้พวกเขาได้เห็นกับตาตัวเองว่ากำแพงเมืองปราณกระบี่คือสถานที่ที่เป็นอย่างไรกันแน่ ลองมามองดูทัศนียภาพอันยิ่งใหญ่ที่วันหน้าถูกกำหนดมาแล้วว่าจะไม่อาจได้เห็นอีก

เถาเหวินกลับมานั่งที่โต๊ะ ถามว่า “มาได้อย่างไร? ไม่กลัวว่าวันหน้าข้าจะเป็นเจ้ามือไม่ได้อีกแล้วหรือ?”

เฉินผิงอันยิ้มกล่าว “เรื่องจริงๆ เท็จๆ พวกนี้ กลยุทธมากมาย หลุมพรางก็ยิ่งมีมากกว่า พวกนักพนันที่ไม่เก่งศาสตร์แห่งการเดิมพันพวกนั้นอย่าหวังว่าจะได้เล่นลูกไม้อะไรกับข้าเลย”

เถาเหวินกล่าว “เฉินผิงอัน อย่าลืมเรื่องที่เจ้ารับปากข้าล่ะ สำหรับเจ้าแล้วอาจจะเป็นเรื่องเล็ก สำหรับข้าก็ไม่ถือว่าเป็นเรื่องใหญ่ แต่ก็ไม่ใช่เรื่องเล็กเหมือนกัน”

เฉินผิงอันพยักหน้ารับ “เรื่องที่ข้ารับปากตัวเอง บางทีอาจมีหลายเรื่องที่ทำไม่ได้ แต่หากเป็นเรื่องที่รับปากคนอื่น ส่วนใหญ่ข้าล้วนทำได้ทั้งนั้น”

เถาเหวินพยักหน้ารับ ตอนที่คนหนุ่มผู้นี้มาขอให้ตนเป็นเจ้ามือครั้งแรก เคยบอกเองว่าจะไม่เอากำไรจากกำแพงเมืองปราณกระบี่แค่เหรียญเกล็ดหิมะเดียว

เถาเหวินเอ่ยสัพยอก “คำพูดประโยคนี้เถ้าแก่รองเป็นคนพูด หรือว่าเฉินผิงอันที่เป็นผุ้ฝึกยุทธเป็นคนพูดล่ะ?”

เฉินผิงอันยิ้มกล่าว “เฉินผิงอันที่เป็นมือกระบี่เป็นคนพูด”

เถาเหวินเงียบไปนาน เฉินผิงอันยิ้มพลางหยิบเอาเหล้าถ้ำสวรรค์จู๋ไห่ออกมาสองกา แน่นอนว่าต้องเป็นเหล้าที่ราคาถูกที่สุด

เถาเหวินไม่ได้ร่ายใช้วิชาอภินิหารจักรวาลในแขนเสื้อ เพียงแค่ลุกขึ้นเดินไปหยิบถ้วยเหล้าสองใบมาจากในห้องครัว แน่นอนว่าเป็นถ้วยที่ใหญ่กว่าที่ร้านเหล้าไม่น้อย

เถาเหวินดื่มเหล้าไปหนึ่งอึก พอรินเป็นถ้วยที่สองก็เอ่ยว่า “เฉินผิงอัน อย่าได้เลียนแบบข้า”

เฉินผิงอันส่ายหน้า “ไม่หรอก”

เถาเหวินผงกศีรษะ “ถ้าอย่างนั้นก็เหลือแค่เรื่องเดียวแล้ว อย่าตาย อย่าลืมล่ะว่าที่นี่คือกำแพงเมืองปราณกระบี่ ไม่ใช่ใต้หล้าไพศาล ที่นี่ไม่ใช่บ้านเกิดของเจ้าด้วยซ้ำ”

เฉินผิงอันกล่าว “ข้าจะพยายาม”

เถาเหวินชูถ้วยเหล้าขึ้น เฉินผิงอันก็ยกถ้วยชนกับของเขาเบาๆ ต่างคนต่างดื่มเหล้ากันไป

เถาเหวินถาม “ใต้หล้าไพศาลมีคนแบบเจ้าเยอะหรือไม่?”

เฉินผิงอันใคร่ครวญอย่างละเอียดแล้วก็ส่ายหน้า “คนที่เป็นเหมือนข้า มีไม่เยอะ แต่คนที่ดีกว่าข้าและเลวกว่าข้า กลับมีเยอะมาก”

จากนั้นเฉินผิงอันก็ถามว่า “จะไม่ไปดูจริงๆ หรือ?”

เถาเหวินคลี่ยิ้ม

คำถามนี้ช่างเกินความจำเป็น ไม่เหมือนคำถามที่จะออกมาจากปากของเถ้าแก่รองที่มีความคิดรอบคอบรัดกุม ขุดหลุมพรางหลอกล่อคนติดต่อกันเลยจริงๆ

จากนั้นคนทั้งสองก็ดื่มเหล้ากันไปเงียบๆ

กระทั่งดื่มกันจนเหลือเหล้าถ้วยสุดท้าย เฉินผิงอันก็ยกถ้วยเหล้าขึ้น เพียงแต่วางกลับลงไปอีกครั้ง หยิบตราประทับคู่หนึ่งออกมาจากชายแขนเสื้อ วางลงบนโต๊ะเบาๆ ยิ้มกล่าวว่า “ไม่ทราบว่าท่านอาเถายินดีจะรับของเล็กๆ ชิ้นนี้ไว้หรือไม่”

เถาเหวินส่ายหน้า “ข้าไม่ชอบของพวกนี้ บทกลอนบทกวีอะไรนั่น เป็นเรื่องของบัณฑิตอย่างพวกเจ้า ข้าเป็นแค่ผู้ฝึกกระบี่คนหนึ่ง เอามาไว้ในบ้านก็ไม่ได้ใช้งาน จะเอามาวางกินฝุ่นทำไม? เจ้าเอาไปใช้หาเงินเถอะ มีความหมายกว่าเอาไว้ที่ข้ามากนัก”

เฉินผิงอันจึงเก็บตราประทับ ยกถ้วยเหล้าขึ้นมาอีกครั้ง “คนขายเหล้าส่วนใหญ่มักจะดื่มเหล้าน้อย คนซื้อเหล้ากินเหล้าได้เละเทะที่สุดทั้งยังไม่เชี่ยวชาญด้านการดื่มมากพอ แต่เหตุใดถึงยังซื้อเหล้าดื่มอีก ใช่เหตุผลข้อนี้ไหม ท่านอาเถา?”

เถาเหวินยิ้มกล่าว “ข้าไม่ถกเหตุผลหลักการกับบัณฑิตหรอก เจ้าดื่มเหล้าของเจ้าไป ข้าก็ดื่มของข้า เกลี้ยกล่อมคนบนโต๊ะเหล้าจะทำให้เสียภาพลักษณ์เอาได้”

ต่างคนต่างดื่มเหล้าถ้วยสุดท้ายจนหมด

เฉินผิงอันลุกขึ้นยืน ยิ้มกุมหมัดเอ่ยว่า “ดื่มเหล้าด้วยกันคราวหน้า ไม่รู้ว่าเมื่อไหร่แล้ว”

เถาเหวินโบกมือ “ดื่มเหล้ากับข้าน่าเบื่อที่สุด นี่เป็นเรื่องที่ทุกคนยอมรับ ไม่ได้ดื่มด้วยกันก็ไม่เห็นเป็นไร ข้าคงไม่ไปส่งแล้ว”

เฉินผิงอันเดินออกมาจากเรือน เดินอยู่ในตรอกเล็กเพียงลำพัง

สองมือกำแน่น

ตราประทับสองชิ้นนั้น

‘หวังดื่มให้เมามายนั้นได้ แต่อย่าให้เมามายจริงๆ’

‘ดอกไม้ต้นหญ้าเขียวขจี’

เฉินผิงอันเดินไปเดินมา สีหน้าก็พลันเลื่อนลอย รู้สึกเหมือนกำลังเดินอยู่ในตรอกหนีผิงบ้านเกิดอย่างไรอย่างนั้น

เถาเหวินที่มีชีวิตอยู่บนโลกคิดถึงภรรยาและบุตรสาวของตัวเองอย่างมาก

พ่อแม่ของตนที่ไม่ได้อยู่บนโลกก็จะคิดถึงผิงอันน้อยแบบนี้หรือไม่

เฉินผิงอันหยุดเดิน สีหน้าเหม่อลอย จากนั้นจึงค่อยสาวเท้าเดินต่ออีกครั้ง

ครู่หนึ่งต่อมา เถาเหวินพลันปรากฏตัวอยู่ตรงหน้าประตู ยิ้มถามว่า “ข้ายังคงไม่ต้องการตราประทับทั้งสองชิ้นนั้น แต่แค่อยากรู้ว่าตราประทับทั้งสองชิ้นสลักคำว่าอะไร”

เฉินผิงอันส่ายหน้า ไม่ได้หันกลับไป “ท่านอาเหวิน ไม่มีอะไร ก็แค่ตัวอักษรที่คัดลอกมาจากในตำราเท่านั้น”

เถาเหวินยิ้มกล่าว “บัณฑิตอย่างเจ้านี่นะ”

คนหนุ่มที่สวมชุดสีเขียวปักปิ่นหยกสีขาวไม่ได้เอ่ยอะไรมากอีก

นี่ไม่เหมือนเถ้าแก่รองเอาเสียเลย

เถาเหวินเอนตัวพิงกรอบประตู เขายืนอยู่ตรงนั้น มองเรือนที่ว่างเปล่า

ตัวอักษรบนหนังสือบาดตาคน เหล้าในถ้วยรสร้อนแรงบาดกระเพาะ

ดูเหมือนว่าต่างก็ทำให้คนน้ำตาไหลได้เหมือนกัน

ถ้าอย่างนั้นก็พอจะมีเหตุผลอยู่บ้าง

แผ่นหลังของคนหนุ่มผู้นั้นค่อยๆ จากไปไกลในตรอกเล็ก

เซียนกระบี่เถาเหวินนั่งอยู่บนธรณีประตู หันหน้าเข้าหาโต๊ะตัวที่อยู่ในห้อง พึมพำว่า “ครั้งนั้นพ่อไปถึงช้าเกิน แล้วยังทำให้พวกเจ้าสองแม่ลูกต้องรอมานานหลายปีขนาดนี้ ฉงฮวา ฉงฮวา ไม่เจ็บนะ ไม่เจ็บ พ่ออยู่ที่นี่ สบายดีมาโดยตลอด ได้กินบะหมี่หยางชุน แล้วยังได้ดื่มเหล้ากับคนดีๆ พวกเจ้าไม่ต้องเป็นห่วง…”