บทที่ 1220 ชวนไปหอสุราเหมียวเหมียวหง่าว… อีกครั้ง

เซียนกระบี่มาแล้ว![剑仙在此]

ตอนที่ 1,220 ชวนไปหอสุราเหมียวเหมียวหง่าว… อีกครั้ง

ห่างออกไปประมาณห้าวา

ประตูมิติถูกเปิดขึ้นมา

“เจ้าจำไว้ให้ดี ตระกูลเจียงของเราจะไม่ปล่อยเจ้าเอาไว้แน่…”

เด็กสาวผมทองจ้องมองหลินเป่ยเฉินด้วยแววตาแห่งความเกลียดชัง ตลอดทั้งร่างกายปกคลุมด้วยลำแสงสีเงินของประตูมิติ

หัวใจของเด็กหนุ่มกระตุกวูบ จิตสังหารแรงกล้า

เขาจะปล่อยให้นางหนีรอดไปไม่ได้เด็ดขาด

หลินเป่ยเฉินยกมือตวัดฟันกระบี่อีกครั้ง

กระบวนท่ากระบี่ที่หก

เงากระบี่ครอบคลุมออกไป

ทันใดนั้น นักเวทในชุดเสื้อคลุมสีดำที่เหลืออีกหนึ่งคนก็ขยับเข้ามากำบังคมกระบี่ให้แก่เด็กสาวผมทอง…

และในจังหวะชี้เป็นชี้ตายเช่นนี้เอง…

วูบ!

ลำแสงสาดประกายเจิดจ้า

เด็กสาวผมทองและนักเวทชุดดำก็ได้หายวับไปในอากาศเรียบร้อยแล้ว

“อ๊าก…”

เสียงร้องโหยหวนดังกังวานถ้ำใต้ดินอันเป็นรังของอสูรกิ้งก่าไฟ

นั่นคือเสียงร้องของเด็กสาวผมทอง

ปรากฏว่าก่อนที่ประตูมิติจะหายวับ รังสีกระบี่ของหลินเป่ยเฉินได้กระแทกเข้าใส่หัวไหล่ซ้ายของนางอย่างจัง…

เด็กสาวได้รับบาดเจ็บ

หลินเป่ยเฉินยืนถือกระบี่เพลิงโลกันตร์อยู่ที่เดิม

“ด้วยพลังอัคคีเทวะของเรา หากเป็นคนปกติ นางโดนเข้าไปเต็มหัวไหล่ขนาดนั้น ถ้าไม่ตาย อย่างน้อยก็สมควรบาดเจ็บสาหัส”

“แต่เห็นได้ชัดว่าเด็กสาวผู้นี้ไม่ใช่คนธรรมดา นางมีองครักษ์ฝีมือดีอยู่รอบกาย… ว่าแต่ตระกูลเจียงคือใครกันนะ เป็นพวกขาใหญ่ของที่นี่หรือไง?”

“ช่างมันเถอะ ถือว่ามาหาเรื่องเราก่อนนี่หว่า สมมติถ้าเราไม่แข็งแกร่งมากพอ วันนี้เราก็คงตายไปแล้วไม่ใช่เหรอ?”

“ความแค้นครั้งนี้ยังรอวันสะสาง”

หลินเป่ยเฉินคิดด้วยความอาฆาต

ทันใดนั้น…

“มอออ…”

พรึ่บ! พรึ่บ!

มนุษย์วัวกระทิงที่ยังเหลืออยู่สองตัวไม่มีเวลาได้หลบหนี โซ่ตรวนที่พันธนาการแขนและขาของพวกมันอยู่ก็เปล่งประกายระยิบระยับ แล้วร่างของพวกมันก็ระเบิดกระจายกลายเป็นม่านหมอกเลือด

ตกตายไปทันที

หลินเป่ยเฉินขมวดคิ้วเล็กน้อย

“อำมหิตกันเหลือเกิน”

เขาดูออกว่ามนุษย์วัวกระทิงทั้งสองตัวนี้ต้องตายเพราะค่ายอาคมทำลายตนเองของโซ่ตรวนเหล่านั้น

นับว่าเป็นวิธีการที่โหดร้ายมาก

เมื่ออยู่ห่างไกลจากผู้เป็นนายท่านมากเกินไป โซ่ตรวนเหล่านี้ก็จะระเบิดตนเองทันที

โซ่ตรวนเหล่านี้คืออุปกรณ์ที่สร้างขึ้นมาเพื่อป้องกันไม่ให้ทาสรับใช้หรือคนบาปหลบหนี

เด็กสาวผมทองเปิดประตูมิติหนีเอาตัวรอดเพียงผู้เดียว ไม่สนใจไยดีมนุษย์วัวกระทิงเหล่านี้เลย…

นั่นแสดงให้เห็นแล้วว่าเด็กสาวมีจิตใจโหดเหี้ยมอำมหิตเพียงใด

หากมีโอกาสพบเจอกันอีกครั้ง เขาจะปล่อยให้นางลอยนวลไปไม่ได้อีก

หลินเป่ยเฉินเก็บกระบี่เพลิงโลกันตร์กลับเข้าไปในแอปไป่ตู้ เน็ตดิสก์

ทุกสิ่งทุกอย่างที่อยู่ภายในถ้ำใต้ดินถูกทำลายหมดสิ้น ความร้อนจากเปลวไฟแห่งการต่อสู้เมื่อสักครู่นี้แผดเผาร่างของลูกอสูรกิ้งก่าไฟทั้งสี่ตัวจนไหม้เกรียม ผิวหนังของพวกมันมีสีเหลืองกรอบน่ารับประทาน…

เอ่อ…

น่าเสียดายชะมัด

หลินเป่ยเฉินหมดโอกาสที่จะกลับมาฆ่าพวกมันตอนโตเสียแล้ว

ช่างมันเถอะ

ถือว่าพวกมันได้กลับไปพบเจอมารดาก็แล้วกัน

บัดนี้ มารดากับลูก ๆ ก็คงได้อยู่ด้วยกันพร้อมหน้าพร้อมตาแล้ว

หลินเป่ยเฉินเดินเข้าไปสำรวจดูข้าวของที่บรรดามนุษย์วัวกระทิงแบกขนมา ปรากฏว่าพวกมันเป็นอุปกรณ์เก็บสิ่งของคุณภาพสูง พื้นที่เก็บของด้านในกว้างใหญ่มากพอที่จะใส่ซากศพครอบครัวอสูรกิ้งก่าไฟครอบครัวนี้ได้หมดสิ้น

ดูเหมือนนักล่าอสูรกลุ่มนี้จะเตรียมอุปกรณ์เก็บสิ่งของเหล่านี้เพื่อมาเก็บซากศพของอสูรกิ้งก่าไฟโดยเฉพาะเลยสินะ?

น่าสงสารที่ทุกสิ่งทุกอย่างต้องตกมาอยู่ในมือของหลินเป่ยเฉิน

เด็กหนุ่มพบเจอกระเป๋าสะพายทั้งหมดหกใบ

เขาสะพายกระเป๋าทั้งหมดนั่นขึ้นแผ่นหลังและเก็บชุดเกราะที่เหลืออยู่จากเศษซากศพของมนุษย์วัวกระทิงทั้งสองตัวนั้น

น่าจะเอาไปขายได้ราคาดีไม่น้อย

เมื่อคิดมาถึงตรงนี้ หลินเป่ยเฉินก็อดรู้สึกเสียดายขึ้นมาไม่ได้

ก่อนหน้านี้ ตอนที่ต่อสู้กับชายฉกรรจ์ร่างใหญ่ผู้สวมใส่ชุดเกราะทั้งห้าคน หลินเป่ยเฉินโจมตีด้วยพลังอัคคีเทวะรุนแรงมากเกินไป ส่งผลให้นอกจากเลือดเนื้อและกระดูกของฝ่ายตรงข้ามจะเผาไหม้กลายเป็นเถ้าถ่านแล้ว แม้แต่ชุดเกราะวิเศษเหล่านี้ก็ถูกทำลายไปด้วยเช่นกัน

หลินเป่ยเฉินเดินค้นหาข้าวของมีค่าภายในถ้ำอยู่อีกพักใหญ่

“เอ๊ะ ตรงนี้มีอะไรอยู่ด้วยนะ”

สายตาของหลินเป่ยเฉินสะดุดเข้ากับกองขี้เถ้ารูปร่างมนุษย์ของนักเวทบนพื้นดิน และสิ่งที่เขาพบก็คือแผ่นเหล็กสีดำที่เป็นประกายมันวาวอย่างแปลกประหลาด

หลินเป่ยเฉินหยิบขึ้นมาสำรวจดู

เป็นแผ่นเหล็กที่บรรจุเคล็ดวิชาเวทมนตร์อยู่ด้านใน

ทั้งสองด้านของแผ่นเหล็กแกะสลักลวดลายที่ต่างกัน

ด้านหน้าเป็นรูปนรกและเปลวไฟซึ่งกำลังเผาไหม้และกลืนกินทุกอย่าง ภาพของผู้คนที่ตกอยู่ในนรกนั้นกำลังดิ้นรนด้วยความทรมานจากไฟนรกที่กำลังเผาไหม้

และตรงใจกลางเปลวไฟนรกนั้นมีร่างสูงใหญ่ร่างหนึ่งลอยอยู่ในอากาศ เจ้าของร่างนั้นกำลังอ้าปากเพื่อดูดเปลวไฟทั้งหมดเข้าสู่ร่างกายของตนเอง

นี่คือภาพแกะสลักที่เมื่อผู้คนได้จ้องมองแล้ว ก็จะไม่มีทางลืมเลือนไปตลอดชีวิต

อีกด้านหนึ่งของแผ่นเหล็กแกะสลักเป็นอักขระภาษาเทวะ

อักขระร้อยเรียงเป็นสิบสามบรรทัด มีอยู่ด้วยกันทั้งหมดเก้าสิบเอ็ดคำ

หลินเป่ยเฉินอ่านได้ใจความว่ามันเป็นเนื้อหาของวิชาเวทมนตร์วิชาหนึ่ง

แผ่นเหล็กนี้บรรจุวิชาเวทมนตร์ที่ชื่อว่า ‘เพลิงดับสูญ’

“ในที่สุดก็ได้วิชาเวทมนตร์มาอีกหนึ่งวิชาแล้วสิเรา”

เมื่อค้นพบความวิเศษของแผ่นเหล็กแผ่นนี้ หลินเป่ยเฉินก็ยิ้มแย้มออกมาด้วยความดีใจ

แผ่นเหล็กแผ่นนี้ก็ไม่ต่างจากแผ่นเหล็กที่เขาได้มาจากเจี๋ยหร่าประมุขน้อยแห่งสำนักหนามทมิฬ ซึ่งด้านในบรรจุเคล็ดวิชาเถาวัลย์สายฟ้าเอาไว้

และถ้าเดาไม่ผิด

วิชาเพลิงดับสูญน่าจะช่วยให้การโจมตีด้วยพลังอัคคีเทวะของเขาเพิ่มความรุนแรงและน่ากลัวมากยิ่งขึ้น

นับเป็นการค้นพบที่ถูกเวลาเป็นอย่างยิ่ง

“ตอนนี้เราได้ตำแหน่งเซียนกระบี่อย่างเป็นทางการแล้ว เราจึงจะสามารถบรรลุพลังอัคคีเทวะได้สำเร็จ ถ้าอย่างนั้นก็น่าจะฝึกวิชาเวทมนตร์ได้ไม่มีปัญหาแล้วละมั้ง?”

เด็กหนุ่มยืนถือแผ่นเหล็กชั่งใจอยู่เป็นเวลานาน

แม้เขาจะเห็นสิ่งที่แกะสลักอยู่บนแผ่นเหล็กครบทั้งสองด้านแล้ว แต่เด็กหนุ่มก็ยังไม่กล้าฝึกวิชานี้ด้วยความวู่วามมากเกินไป

“ไม่สิ สิ่งสำคัญที่สุดสำหรับเราในตอนนี้คือการหาเงิน เราจะเอาเวลาหาเงินมาเสียไปโดยเปล่าประโยชน์เช่นนี้ไม่ได้เด็ดขาด”

ในที่สุด หลินเป่ยเฉินก็ตัดสินใจได้

เขาใช้โทรศัพท์มือถือถ่ายรูปลวดลายสลักที่อยู่บนแผ่นเหล็กทั้งของวิชาเพลิงดับสูญและวิชาเถาวัลย์สายฟ้า

หลังจากนั้น พวกมันก็ถูกแปลงเป็นแอปพลิเคชันใหม่ในโทรศัพท์มือถือ

เมื่อดาวน์โหลดลงโทรศัพท์มือถือแล้ว หลินเป่ยเฉินก็เริ่มต้นเปิดการทำงานแอปพลิเคชันเพื่อฝึกวิชาทั้งสองทันที

เรียบร้อยดีแล้ว เขาก็เก็บข้าวของเดินออกมาจากรังอสูรกิ้งก่าไฟ

เพียงเดินออกมาพ้นถ้ำใต้ดินเท่านั้น เด็กหนุ่มก็ได้พบกับคนรู้จัก

“ในที่สุดก็เจอเจ้าสักที”

ใบหน้าที่สวยหวานของนักบวชสาวเซียงเหยียนก็แสดงออกถึงความโล่งใจเป็นอย่างยิ่ง

หลินเป่ยเฉินหยุดชะงักด้วยความตกตะลึง

นักบวชสาวผู้นี้ปรารถนาที่จะครอบครองร่างกายของเขาจนถึงขั้นตามเข้ามาในหุบผาอเวจีเลยหรือนี่?

‘ท่านนักบวชมีอะไรหรือขอรับ?’

กล่องข้อความตัวอักษรพลันปรากฏขึ้นเบื้องหน้าหลินเป่ยเฉิน

นี่คือความสามารถใหม่ที่เขาเพิ่งฝึกฝน

เพราะมันมีความสะดวกสบายมากกว่าการวาดตัวอักษรด้วยปลายนิ้วมือเช่นก่อนหน้านี้หลายเท่า

นักบวชสาวเซียงเหยียนตอบว่า “ข้าเป็นห่วงความปลอดภัยของเจ้า”

นี่คือความแตกต่างระหว่างนางกับชิงเล่ย

ชิงเล่ยเคยมีประสบการณ์ผ่านการมีครอบครัวมาแล้ว นางจึงล่วงรู้วิธีปิดบังซ่อนเร้นความรู้สึกที่แท้จริง แต่นักบวชเซียงเหยียนยังไม่เคยมีความรักมาก่อน นางจึงสามารถพูดทุกสิ่งทุกอย่างที่คิดออกมาได้โดยไม่เก้อเขิน

และต้องไม่ลืมว่านักบวชเซียงเหยียนเป็นบุคคลที่มีสถานะสูงส่งยิ่ง ความคิดของนางจึงบริสุทธิ์ จิตใจของนางก็บริสุทธิ์ ไม่ว่านางคิดหรือทำสิ่งใด ต่างก็เป็นเพราะเจตนาดีต่อหลินเป่ยเฉินทั้งสิ้น เพราะฉะนั้นจึงไม่มีเหตุจำเป็นใดให้นางต้องปิดบัง

หลินเป่ยเฉินลอบถอนหายใจออกมาเล็กน้อย

เฮ้อ

ทำไมถึงต้องมีผู้หญิงมาหลงรักเขาทีเดียวถึงสองคนด้วยนะ?

คนหนึ่งหลับนอนกับเขาไปแล้ว อีกคนก็คอยห่วงใยและช่วยเหลือเขาไม่ขาดหาย…

“นี่พลังของเจ้าแข็งแกร่งขึ้นใช่หรือไม่?”

นักบวชสาวเซียงเหยียนสำรวจมองหลินเป่ยเฉินด้วยความเคร่งขรึม นางสามารถสัมผัสได้โดยทันทีว่าเด็กหนุ่มผู้ยืนอยู่เบื้องหน้าคนนี้มีความแข็งแกร่งมากกว่าตอนก่อนจะเข้าสู่หุบผาอเวจีหลายเท่า

และถึงนางจะเป็นนักบวชอัจฉริยะประจำวิหารสาขาที่ 98 แต่นักบวชเซียงเหยียนก็มองไม่ออกอยู่ดีว่าเขาแข็งแกร่งขึ้นได้อย่างไร

‘ข้าเลื่อนขั้นพลังได้โดยบังเอิญน่ะขอรับ’

เมื่อริมฝีปากของหลินเป่ยเฉินขยับขมุบขมิบ กล่องข้อความก็ปรากฏขึ้นตรงหน้าเขาในอีกไม่กี่ลมหายใจถัดมา

“ถ้าอย่างนั้นข้าก็ยินดีด้วย”

นักบวชสาวเซียงเหยียนแสดงความยินดี

หลังจากหยุดเล็กน้อย นางก็กล่าวต่อ “จากนี้เจ้าจะล่าอสูรอยู่ที่นี่ต่อไปหรือไม่? นี่ก็ผ่านมาได้หลายวันแล้ว ร่างกายของเจ้าจะอ่อนล้ามากเกินไป กลับออกไปพักผ่อนก่อนสักนิดดีหรือไม่ สถานีขนส่งแดน 4 มีหอสุราขึ้นชื่ออยู่แห่งหนึ่ง มันชื่อว่าหอสุราเหมียวเหมียวหง่าว เดี๋ยววันนี้ ข้าจะเป็นเจ้ามือเลี้ยงเจ้าเอง”

นี่มันอะไรกันเนี่ย?

หลินเป่ยเฉินรู้สึกปวดเอวขึ้นมาโดยไม่รู้ตัว

หอสุราเหมียวเหมียวหง่าว?

เขาคุ้นเคยกับสถานที่นั้นเป็นอย่างดี

ก่อนหน้านี้ไม่กี่วัน หลินเป่ยเฉินเพิ่งจะถูกหลอกให้ไปเปิดห้องที่นั่น

การที่ชิงเล่ยหลอกเขาไปเชยชมรสสวาทก็นับเป็นสิ่งที่หลินเป่ยเฉินคิดไม่ถึงมากแล้ว แต่เขาไม่นึกไม่ฝันเลยว่านักบวชสาวเซียงเหยียนก็จะใช้แผนการเดียวกันนี้เช่นกัน

เขาประเมินนางต่ำเกินไปจริง ๆ

หลินเป่ยเฉินลังเลเล็กน้อยและขยับปากเพื่อให้กล่องข้อความปรากฏขึ้น ‘ข้าน้อยอยากจะเข้าร่วมการแข่งขันศึกชิงตำแหน่งเทพเจ้าหน้าใหม่ บัดนี้เวลาไม่คอยท่า ข้าน้อยยังต้องฝึกฝนอีกมาก สำหรับการพักผ่อนที่หอสุราแห่งนั้น เราเอาไว้คุยกันทีหลังดีกว่านะขอรับ’

เซียงเหยียนไม่ได้แสดงความผิดหวังออกมาแม้แต่น้อย นางพยักหน้าอย่างสงบและกล่าวตอบรับว่า “อย่างนั้นก็ประเสริฐ”

นับว่าเป็นคนที่มีจิตใจมั่นคงใช้ได้

หลินเป่ยเฉินแสดงกล่องข้อความขึ้นมาเบื้องหน้าตนเองอีกครั้ง ‘แต่สัตว์อสูรในหุบผาอเวจีแดน 4 ไม่ท้าทายสำหรับข้าน้อยอีกต่อไป ข้าน้อยอยากจะเข้าไปล่าอสูรในแดน 5 ไม่ทราบว่าท่านนักบวชพอจะช่วยส่งข้าน้อยไปที่นั่นได้หรือไม่?’

นักบวชสาวเซียงเหยียนรีบตอบรับอย่างเร็วไว “ย่อมได้”

นางคือหัวหน้านักบวชประจำวิหารเทพพงไพรสาขาที่ 98 ดังนั้นจึงสามารถเปิดประตูมิตินำพาหลินเป่ยเฉินเข้าสู่หุบผาอเวจีแดน 5 ได้โดยไม่ต้องผ่านประตูขนส่งทั่วไป

แต่สิ่งที่หลินเป่ยเฉินไม่รู้เลยก็คือยังมีผู้คนอีกหลายชีวิตรอคอยเขาอยู่ในสถานีขนส่งแดน 4