ตอนที่ 1214 ความน่ากลัวของมรดกอักษรยอด

Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์

ปึง!

ครู่หนึ่งผ่านไป จั่นลู่ซิวเขย่าหอกใหญ่ที่อยู่ในมืออย่างเฉียบพลัน สำแดงการประหัตประหารเด็ดขาดราวมังกรดำกลืนสุริยันสังหารคู่ต่อสู้ ละอองแสงปลิวว่อน

ซ่า!

แต่เพียงชั่วพริบตา ร่างของขุนพลวิญญาณเพลิงคนแรกก็รวมตัวขึ้นมา ไม่เสียหายแต่อย่างใด

ทว่าเขาออกตัวถอยไปอยู่อีกด้านเองแล้ว

จั่นลู่ซิวเห็นเช่นนี้ก็ไม่ได้หยุดพัก พุ่งโจมตีต่อไป

หนึ่งถ้วยชาผ่านไป มีขุนพลวิญญาณเพลิงถูกเอาชนะ หลีกทางให้แล้วอย่างต่อเนื่องสิบเจ็ดคน

ไม่อาจไม่พูดว่าในหมู่มกุฎราชัน พลังต่อสู้ที่จั่นลู่ซิวสำแดงออกมาเรียกได้ว่าชั้นหนึ่งแล้ว

ทว่าทุกคนกลับนิ่วหน้าไม่หยุด

เพราะต่างดูออกว่าจั่นลู่ซิวต่อสู้มาถึงตอนนี้ ได้ผลาญพลังไปมากแล้ว ส่วนคู่ต่อสู้ของเขายิ่งคนหลังๆ ไปพลังต่อสู้ที่สำแดงออกมาก็ยิ่งแข็งแกร่ง!

ในสถานการณ์ที่ฝ่ายหนึ่งพลังถดถอยส่วนอีกฝ่ายพลังสูงขึ้น จั่นลู่ซิวคิดจะเอาชนะคู่ต่อสู้ทุกคนนั้นมีความหวังไม่มากแล้ว

ดังคาด หลังจากเอาชนะคู่ต่อสู้คนที่ยี่สิบสี่ สุดท้ายพลังกายของจั่นลู่ซิวก็รับไม่ไหว พ่ายแพ้ในการต่อสู้

เขาหอบหายใจ เหงื่อซึมไปทั้งกาย บนใบหน้าเต็มไปด้วยความไม่ยินยอม

ศุภโชคเย้ยฟ้าชิ้นใหญ่อยู่ตรงหน้า แต่กลับทำได้เพียงหยุดลงเท่านี้ สิ่งนี้กระทบจิตใจใหญ่หลวงยิ่งนัก

“เจ้าไปพักก่อน ถ้าข้ามีโอกาสฝ่าด่านได้จะไปช่วยเจ้าเสาะหาเพลิงมรรคต้นกำเนิดมาสักดวง”

เจิ้นอวิ๋นเฟิงเอ่ยปลอบโยน

จั่นลูซิวนิ่งเงียบ แม้ในใจจะไม่ยินยอมแค่ไหนก็ทำได้เพียงเท่านี้

ด้วยเรื่องนี้ก็ทำให้คนอื่นรับรู้ได้ว่า ด่านนี้ไม่ได้ผ่านได้ง่ายดายเช่นนั้น!

ต่อมาอิ๋นเสวี่ยออกโจมตี

พลังต่อสู้ของนางเหนือกว่าจั่นลู่ซิวเพียงเล็กน้อยเท่านั้น หลังจากเอาชนะขุนพลวิญญาณเพลิงคนที่ยี่สิบเก้าได้ สุดท้ายก็ยืนหยัดไม่ไหวพ่ายแพ้ในการต่อสู้

นี่ทำให้สีหน้าของทุกคนยิ่งคร่ำเคร่งหนักอึ้งขึ้นมา

“ข้าไปเอง!”

โม่เทียนเหอออกโจมตี ความแข็งแกร่งของพลังต่อสู้ที่สำแดงออกมาทำให้ทุกคนตาเป็นประกาย ฮึกเหิมไม่หยุดเพราะเขา

ทว่าสุดท้ายตอนปลิดชีพคู่ต่อสู้คนที่สามสิบเก้า โม่เทียนเหอก็แพ้การต่อสู้

“ทำไมถึงเป็นเช่นนี้”

คนอื่นต่างสีหน้าแปรผันไม่หยุดหย่อน

โม่เทียนเหอเป็นถึงสัตว์ประหลาดยุคโบราณผู้หนึ่ง แต่ก็พ่ายแพ้กลางทาง นี่ทำให้สภาวะจิตของคนอื่นๆ แปรเปลี่ยนเป็นหนักอึ้ง

แม้ศุภโชคที่อยู่บนภูเขาไฟนั้นจะใหญ่ แต่หากเข้าใกล้ไม่ได้ สุดท้ายก็เป็นความว่างเปล่าเท่านั้น!

ส่วนหลินสวินตั้งแต่เริ่มจนจบก็สังเกตการณ์อยู่ เปรียบเทียบและกะประมาณอยู่ในใจ พอจะตัดสินศักยภาพของขุนพลวิญญาณเพลิงเหล่านั้นได้แล้ว

แต่ว่าความพ่ายแพ้ของพวกโม่เทียนเหอก็ยังทำให้หลินสวินออกจะประหลาดใจ

ในสมองเขามีความคิดหนึ่งปรากฏขึ้นอย่างห้ามตัวเองไม่ได้ ในระดับมกุฎราชันนี้ ควรจะแบ่งแยกสูงต่ำแข็งอ่อนอย่างไรกันแน่

ปัญหานี้แม้แต่อริยะในปัจจุบันยังไม่อาจตอบได้

เพราะระดับมกุฎราชัน ในอดีตไม่เคยปรากฏขึ้นมาก่อน!

ไม่ว่าจะเป็นหลินสวินหรือมกุฎราชันผู้อื่นที่อยู่ในที่นี้ล้วนเหยียบย่างลงบนระดับนี้ระหว่างการแสวงมรรค เรียกได้ว่าไม่เคยมีมาก่อน

แต่ในขณะเดียวกันการรับรู้ความแข็งแกร่งของพลังในระดับนี้ กลับไม่มีทางให้คำตอบที่แน่ชัดได้

และตอนนี้ หลินสวินก็มีความคิดอันแรงกล้าอย่างหนึ่งในใจ ระดับนี้ว่างเปล่าไปหมด ในอดีตไม่เคยมีมาก่อน เหตุใดถึงจำกัดความเองไม่ได้

เมื่อความคิดนี้ผุดขึ้นมาตัวหลินสวินเองก็ตกใจไปครู่หนึ่ง

แต่หลังจากใจเย็นลงแล้ว เมื่อคิดดูอย่างละเอียด แม้ความคิดจะกล้าบ้าบิ่นแต่กลับไม่ได้เป็นเรื่องที่ทำไม่ได้!

การฝึกปราณ แต่ไหนแต่ไรก็ไม่ใช่การทำตามขั้นตอนรักษาวิธีดั้งเดิม แต่ต้องแผ้วทางเบื้องหน้า!

อีกทั้งในมรรคาที่ฝึกมีเพียงหนึ่งเดียวในอดีตและปัจจุบัน ย่อมต้องมีความกล้าที่จะบุกเบิกประวัติศาสตร์หน้าใหม่ ไปสรรค์สร้างและอนุมานเรื่องที่ไม่เคยมีมาก่อนในทุกยุคสมัย!

ยิ่งคิด ส่วนลึกในจิตใจของหลินสวินก็ยิ่งมีแรงขับเคลื่อนที่ควบคุมไว้ไม่อยู่

แต่สุดท้ายเขาก็สูดหายใจลึก สงบใจลงโดยสมบูรณ์

กำหนดระดับที่ไม่เคยมีมาก่อนในอดีต เรื่องนี้เป็นสิ่งที่ไม่เคยมีมาก่อน ถ้าถูกอริยะในสมัยต่างๆ รู้เข้าเกรงว่าจะต้องถูกแช่งชักว่าตนใจกล้าบ้าบิ่นทำเรื่องเพ้อฝันแน่

ถึงขั้นว่าผู้คนในโลกต่างต้องไม่อาจยอมรับได้!

แต่ไม่ว่าอย่างไรหลินสวินตัดสินใจจะลองดูสักตั้ง เขาในตอนนี้อาจจะยังไม่มีความสามารถทำให้ผู้คนในโลกเชื่อถือได้เช่นนี้

แต่สักวันหนึ่ง เมื่อตนไร้ศัตรูในระดับมกุฎราชัน ทะลวงปริศนาของระดับนี้จนถึงที่สุดแล้ว การแบ่งแยกในระดับมกุฎราชันนี้ก็จะถูกกำหนดขึ้นโดยเขาหลินสวิน!

เสียงทอดถอนใจดังขึ้นระลอกหนึ่ง ปลุกให้หลินสวินตื่นจากภวังค์

ก็เห็นว่าไกลออกไปใบหน้างามของจี้ซิงเหยาซีดเผือด หว่างคิ้วเจือความไม่ยินยอม กลับมาจากสมรภูมิ

นางก็แพ้แล้ว แพ้ด้วยน้ำมือขุนพลวิญญาณเพลิงคนที่สี่สิบสาม

นี่ทำให้บรรยากาศในที่นี้ยิ่งหนักอึ้งเสียแล้ว

“ให้ข้าสู้เองเถอะ”

เจิ้นอวิ๋นเฟิงสูดหายใจลึกเฮือกหนึ่งแล้วก้าวออกไป

น่าเสียดาย เขาก็แพ้แล้ว แพ้ด้วยน้ำมือขุนพลวิญญาณเพลิงคนที่สี่สิบเจ็ด ห่างจากการผ่านด่านอีกไม่ไกลแล้ว

“ดูท่าคงมีแต่พี่หลินลงมือถึงอาจจะฝ่าด่านได้สำเร็จแล้ว”

เจิ้นอวิ๋นเฟิงยิ้มฝืนนัก เห็นได้ชัดว่าความล้มเหลวคราวนี้ก็กระทบกระเทือนจิตใจเขามาก

“อย่า ให้ข้าไปก่อน!”

เจ้าคางคกรอจนทนไม่ไหวอยู่นานแล้ว ชิงพุ่งออกไปก่อน

การต่อสู้ปะทุขึ้นอย่างรวดเร็ว

ที่ทำให้ทุกคนประหลาดใจก็คือ เด็กหนุ่มชุดเขียวที่หยิ่งยโสหาใดเทียบคนนี้ พลังต่อสู้กลับแข็งแกร่งยิ่ง พลังทำลายล้างรุนแรงตลอดทาง!

แม้แต่หลินสวินยังรู้สึกเหนือความคาดหมายอย่างห้ามไม่ได้ ทันใดนั้นก็เข้าใจ เดิมทีเจ้าคางคกก็เป็นสัตว์ประหลาดยุคโบราณผู้หนึ่ง ว่าด้วยรากฐานพลังกับพรสวรรค์ย่อมไม่ด้อยไปกว่าสัตว์ประหลาดยุคโบราณอื่นใดเลย!

และในดินแดนแห่งวาสนาซึ่งเซียนผลาญเฉินหลินคงหลงเหลือไว้ให้ที่แดนเผาเซียนนั้น เจ้าคางคกย่อมได้รับพลังมรดกที่น่าเหลือเชื่อมา ถึงทำให้หลังจากเขาเป็นมกุฎราชันพลังต่อสู้ก็เปลี่ยนแปลงอย่างพลิกฟ้าดินไปด้วย

แต่ที่ทำให้ผู้อื่นถอนใจด้วยความเสียดายก็คือ เจ้าคางคกล้มเหลวในระหว่างประลองกับขุนพลวิญญาณเพลิงคนที่สี่สิบเก้าเสียแล้ว…

หรือพูดได้ว่า เขาขาดอีกก้าวเดียวก็จะผ่านด่านแล้ว!

“ให้ตายสิ เอาใหม่อีกครั้ง ข้าไม่เชื่อหรอกโว้ย!” เจ้าคางคกโมโหจนกระทืบเท้าด่าทอยกใหญ่ อัดอั้นจนแทบกระอักเลือด

ขาดอีกก้าวเดียวก็จะได้มหาศุภโชคมาไว้ในมือ แต่ดันมาพ่ายแพ้ในจังหวะนี้เสียได้ นี่ช่างทรมานกันเกินไปแล้ว

เพียงแต่โอกาสมีเพียงครั้งเดียว ยามเจ้าคางคกจะสู้ใหม่อีกครั้งก็ถูกขุนพลวิญญาณเพลิงทั้งสี่สิบเก้าคนล้อมเอาไว้ จับจ้องเขาด้วยสีหน้าเย็นชา

เจ้าคางคกสีหน้าเปลี่ยนไปมา สุดท้ายก็กล้ำกลืนความไม่พอใจลงท้อง สะบัดแขนเสื้อถอยออกไป

ดังนั้นในที่นั้นจึงเหลือเพียงหลินสวินคนเดียวที่ยังไม่เคยฝ่าด่าน

“พี่หลิน ตอนนี้ก็มีแต่เจ้าแล้วที่จะช่วยทุกคนระบายความคับข้อง”

เจิ้นอวิ๋นเฟิงกัดฟันกล่าว

คนอื่นๆ ต่างผงกศีรษะ คับแค้นเคืองขุ่นเช่นกัน จ้องขุนพลวิญญาณเพลิงพวกนั้นเหมือนเป็นศัตรูคู่แค้นที่ไม่อาจอยู่ใต้ฟ้าเดียวกัน

ย่อมต้องโกรธแค้นแน่นอน วาสนาเย้ยฟ้าครั้งหนึ่งมาอยู่ตรงหน้า แต่ดันถูกคู่ต่อสู้ที่จำแลงมาจากกฎระเบียบเหล่านี้ขวางทางเสียอย่างนั้น ไม่ว่าใครก็คงไม่พอใจ

“เอาพวกมันให้ตาย ต้องเอาพวกมันให้ตาย!” เจ้าคางคกร้องอ๊บๆ เสียงดังด้วย

หลินสวินผงกหัว ก้าวเดินไปข้างหน้า

เมื่อเห็นเช่นนี้ทุกคนต่างหุบปาก จับตามองอย่างกระวนกระวาย เพียงกลัวว่าจะรบกวนการต่อสู้ของหลินสวิน

“ดูจากพลังต่อสู้ที่พี่หลินสำแดงออกมาตอนสังหารอูหลิงเต้าองค์ชายสิบสามเผ่าอีกาทอง คู่ต่อสู้คนที่สี่สิบเก้านี้ไม่มีทางขวางเขาไว้ได้เลย”

โม่เทียนเหอกล่าว “ตอนนี้ที่ต้องกังวลเพียงอย่างเดียวก็คือ เทพมารหลินจะใช้เวลานานแค่ไหนกันแน่ถึงจะจัดการเจ้าพวกสมควรตายพวกนี้ได้”

“หนึ่งถ้วยชากระมัง” เจิ้นอวิ๋นเฟิงเอ่ยงึมงำ

“ไม่ ข้าว่าคงไม่เกินครึ่งเค่อ” จี้ซิงเหยาเอ่ยตอบหลังจากครุ่นคิดอย่างจริงจัง

“ครึ่งเค่อหรือ พวกเจ้าดูถูกพี่น้องของข้าไปแล้ว เท่าที่ข้าดู ไม่ถึงสี่สิบเก้าลมหายใจเขาก็จัดการทุกอย่างได้แล้ว”

เจ้าคางคกพูดเป็นมั่นเหมาะ

คนอื่นยิ้มอย่างอดไม่ได้ คิดว่าพูดเช่นนี้ออกจะคุยโวไปหน่อยแล้ว

ถ้าขุนพลวิญญาณเพลิงเหล่านั้นเป็นสวะอ่อนแอกลุ่มหนึ่ง แล้วจะขวางพวกเขาเหล่านี้ได้อย่างไร

ชิ้ง!

ในสมรภูมิ หลินสวินเรียกดาบหักออกมาอย่างไม่ลังเล

ชั่วพริบตากลิ่นอายทั้งตัวเขาก็เปลี่ยนไปเพราะมัน เงาร่างสันโดษน่าเกรงขามเต็มไปด้วยอานุภาพที่ทำให้ฟ้าดินเปลี่ยนสี

ดวงตาดำของเขาลุ่มลึกและสงบนิ่ง โคจรมรดกอักษร ‘ยอด’ ที่เพิ่งได้มาอย่างเงียบเชียบ!

วู้ม!

ทุกคนเพียงรู้สึกแสบแก้วหูไปครู่หนึ่ง ด้วยถูกเสียงร้องกังวานของดาบหักสั่นสะเทือนจนจิตวิญญาณสั่นคลอนไประลอกหนึ่ง

จากนั้นก็เห็นว่าในห้วงอากาศ ดาบหักขาวเจิดจ้าดุจหิมะมีกระบวนค่ายกลคลุมเครือแน่นขนัดปรากฏขึ้น ประหนึ่งตื่นขึ้นจากความเงียบงันโดยสมบูรณ์ ตระการตาหาใดเทียม

รอบๆ ดาบหักห้วงอากาศโกลาหลระเบิดแหลกทุกกระเบียด คล้ายรับพลานุภาพชั้นนี้ไว้ไม่ได้

“นี่…”

ทุกคนต่างหน้าเปลี่ยนสี แม้ยังไม่ได้ออกโจมตีแต่พวกเขาก็รับรู้ได้อย่างเฉียบคม ว่าเมื่อหลินสวินปลดปล่อยการโจมตีนี้ออกไป จะต้องผิดธรรมดาแน่

ชิ้ง! ชิ้ง! ชิ้ง!

คล้ายสังเกตได้ถึงอันตราย ในตอนนี้ขุนพลวิญญาณเพลิงสี่สิบเก้าคนนั้นกลับพากันเรียกอาวุธของตนออกมา ดั่งเข้าใกล้มหาศัตรู

“เฉือน!”

คำเดียวพ่นออกมาจากปากหลินสวินเบาๆ

ราวกับวาจาประกาศิต ดาบหักโฉบพุ่งออกไปอย่างรุนแรง

ฟุ่บ!

ขุนพลวิญญาณเพลิงคนแรกยังไม่ทันตั้งรับก็ถูกฟันออกเป็นสองท่อน ง่ายดายเหมือนใช้มีดผ่าเต้าหู้ ไม่ต้องห่วงกังวลสักนิด

แต่ไม่ทันรอให้ทุกคนร้องด้วยความประหลาดใจ อานุภาพที่เหลืออยู่ของดาบหักไม่ลดลงสักนิด สังหารขุนพลวิญญาณเพลิงคนที่สองไปด้วย

จากนั้นก็เป็นคนที่สาม คนที่สี่ คนที่ห้า…

ฟุ่บๆๆ!

ในที่นั้นเสียงแตกระเบิดดังติดๆ กัน ในสายตาทุกคนมองเห็นว่า ทุกที่ที่ดาบหักเคลื่อนผ่านราวกับกำลังจุดประทัด

ร่างกายของขุนพลวิญญาณเพลิงทุกคนล้วนระเบิดแหลก สลายเป็นละอองแสงปลิวว่อน

คล้ายกับดอกไม้ไฟที่ระเบิดออก งดงามพราวตา

ฟุ่บ

กระทั่งสุดท้าย กระบวนเฉือนนี้ก็ถูกขุนพลวิญญาณเพลิงคนที่สี่สิบเก้าสกัดไว้ในที่สุด

ทุกคนต่างลอบปาดเหงื่ออย่างห้ามไม่ได้

วิปริตเกินไปแล้ว!

กระบวนเฉือนเดียวก็เอาชนะขุนพลวิญญาณเพลิงสี่สิบแปดคน ช่างดุดันอย่างที่สุด ทำเอาพวกเจิ้นอวิ๋นเฟิงต่างตกตะลึงอ้าปากค้าง

เพียงแต่ยังไม่ทันรอให้พวกเขาได้ถอนหายใจโล่งอก ได้สติจากความตื่นตะลึง หูก็ได้ยินเสียงดังฟุ่บ

จากนั้นพวกเขาก็เห็นว่า แม้ขุนพลวิญญาณเพลิงคนสุดท้ายจะสกัดกระบวนเฉือนนี้ไว้ได้ แต่ร่างกายกลับถูกสะเทือนจนแตกออกอย่างจัง ระเบิดแหลกครึกโครมในตอนนี้!

“นี่…”

ทุกคนเพียงรู้สึกถึงความหนาวยะเยือกบอกไม่ถูกที่ผุดขึ้นจากก้นบึ้งของจิตใจ พุ่งขึ้นมาตามกระดูกสันหลังไปถึงกลางศีรษะ เย็นวาบไปทั้งตัว อึ้งงันอยู่ตรงนั้นโดยสมบูรณ์

กระบวนเฉือนเดียว!

ขุนพลวิญญาณเพลิงสี่สิบเก้าคนถูกปลิดชีพจนหมด!

เรื่องนี้ ใครจะไปกล้าเชื่อกัน

ก่อนหน้านี้พวกเขายังไม่เห็นด้วยกับถ้อยคำของเจ้าคางคก มองว่าหากหลินสวินคิดจะผ่านด่านได้ภายในสี่สิบเก้าลมหายใจ แทบจะเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้

แต่ตอนนี้ผลลัพธ์ออกมาแล้ว

ไม่ต้องนานขนาดนี้เลย เพียงกระบวนเฉือนเดียวก็ตัดสินแพ้ชนะแล้ว!

เพียงแต่ผลลัพธ์นี้เหนือความคาดหมายของผู้อื่นเกินไป ถึงกับสร้างความตกใจอย่างมากผิดธรรมดา แม้แต่เจ้าคางคกยังดวงตาเบิกโพลงแล้ว ยัง… ทำเช่นนี้ได้ด้วยหรือ

เมื่อพวกเขามองดูหลินสวินอีกครั้งหนึ่ง ต่างมีท่าทางเหมือนเห็นผีกลางวันแสกๆ

ส่วนเวลานี้ในใจหลินสวินก็ปั่นป่วนไม่หยุดหย่อน ไม่อาจสงบลงได้ ความแข็งแกร่งของอานุภาพกระบวนเฉือนก่อนหน้านี้ ก็อยู่เหนือความคาดหมายของเขาไปโดยสิ้นเชิงเช่นกัน

นี่ก็คืออานุภาพของมรดกอักษร ‘ยอด’!

ถูกหลินสวินสำแดงพลังทั้งหมดของระเบียบมรรคธาตุน้ำซึ่งเสริมด้วยการโคจรวิชาอริยะยุทธ์และโทสะหยาจื้อ ความแข็งแกร่งของพลังพิฆาตที่สร้างขึ้นสามารถใช้คำว่าสะท้านฟ้าดิน พาให้เทพผีหลั่งน้ำตามาบรรยายได้!

——