ภาค 10 ขี่วายุทะลายคลื่นหมื่นลี้ บทที่ 998 ตั้งแต่เจ้าชายพระอาทิตย์ถึงเซียนผู้ถูกเนรเทศ

ตำนานศิษย์พี่เจ้าปฐพี

เขตมหานภากลาง เขาคุนหลุน ยอดเขาอัศจรรย์

ด้านในนิวาสถานแห่งหนึ่งบนผาบัวแดงเปล่งแสงสีทองระยิบระยับ

รูปยันต์แปดทิศขนาดยักษ์รูปหนึ่งที่อยู่บนพื้นกำลังหมุนวนไม่หยุด กลางยันต์แปดทิศเป็นรูปไท่จี๋รูปหนึ่ง

สตรีผู้หนึ่งขัดสมาธิอยู่บนรูปไท่จี๋ นางสวมอาภรณ์สีแดง กระโปรงสีขาว คลุมหนังจิ้งจอกเงินชิ้นหนึ่งไว้บนไหล่ งดงามจนสั่นสะท้านขวัญวิญญาณ ช่วงชิงสายตาผู้คน

เป็นฟู่ถิง บุตรีของจักรพรรดิแพรงามอวิ๋นฉือ ถูกเรียกว่า ‘บัวแดงสูงส่ง’

นางนั่งอยู่ในรูปไท่จี๋และค่ายกลยันต์แปดทิศอย่างสงบนิ่ง ด้านนอกค่ายกลยันต์แปดทิศมีบุรุษวัยกลางคนผู้หนึ่งยืนอยู่

“จางอวิ๋นอิงแห่งเขาโถงทองบอกเล่าด้วยตัวเอง สมควรไม่ผิดพลาด” บุรุษวัยกลางคนผู้นั้นส่ายหน้า เหมือนรู้สึกยากจะเชื่อ และเหมือนกำลังถอนใจชมเชย “นิสัยของจางอวิ๋นอิงไม่มีทางคุยโวแทนผู้อื่น”

จางอวิ๋นอิง เป็นชื่อจริงของแม่เฒ่ากระบี่อาคเนย์

ในเขตตะวันอาคเนย์มีไม่กี่คนที่ทราบ เพราะส่วนใหญ่ล้วนเรียกนางว่าแม่เฒ่ากระบี่

ฟู่ถิงได้ยินก็ยิ้มขึ้น “ถ้าเป็นคุณชายเยี่ยนจ้าวเกอ ข้าเชื่อว่าเขามีความสามารถเช่นนี้ ก่อนหน้านี้ข้าบอกกับพวกอาจารย์อาแล้ว ว่าคุณชายเยี่ยนมีพลังพรสวรรค์เหนือกว่าข้า ไม่ใช่ข้าถ่อมตัว”

บุรุษวัยกลางคนผู้นั้นถอนใจกล่าวต่อ “กล่าวเช่นนี้ก็ไม่ผิด กระนั้นแม้แต่ชิงซู่จื่อยังตายด้วยมือเขา ช่างเหนือความคาดหมายของผู้คนจริงๆ”

“ถ้าไม่ใช่เพราะคุณชายเยี่ยนกับผู้อาวุโสจางบอกเล่า พวกเราคงไม่ทราบว่ ชิงซู่จื่อยังไม่ได้สำเร็จเป็นประมุข ก็ฝึกฝนเอกภพในแขนเสื้อเป็นผลสำเร็จแล้ว” ฟู่ถิงว่า “ผู้คนต่างกล่าวกันว่าชิงซู่จื่ออาจจะเป็นคลื่นลูกหลังกลบคลื่นลูกหน้า นั่นไม่ใช่วาจาแปลกปลอมจริงๆ”

บุรุษวัยกลางคนส่ายหน้า “ไม่แน่นัก จักรพรรดิเอกภพเป็นคนที่ซุกซ่อนประกายไม่เปิดเผย”

“ทุกคนต่างทราบดีว่าหลังจากที่เขาสำเร็จเป็นจอมยุทธ์ศักดิ์สิทธิ์ขั้นประมุขแล้ว จึงค่อยฝึกฝนเอกภพในแขนเสื้อเป็นผลสำเร็จ แต่ความจริงเป็นอย่างไร เกรงว่ามีแต่ตัวเขาเองเท่านั้นที่รู้”

“สมควรบอกว่าสิ่งที่พวกเราและคนอื่นๆ ได้เห็น คือเขาได้แสดงเอกภพในแขนเสื้อในตอนที่เขาอยู่ในระดับจอมยุทธ์ศักดิ์สิทธิ์ขั้นประมุขออกมาแล้ว ผู้ใดหาทราบไม่ว่าเขาฝึกฝนสำเร็จตั้งแต่เมื่อไร”

ฟู่ถิงได้ยินก็พยักหน้าอย่างเห็นด้วยอยู่ลึกๆ “อาจารย์อากล่าวไม่ผิด เหมือนกับชิงซู่จื่อในครั้งนี้ ถ้าหากไม่ถูกคุณชายเยี่ยนไล่ต้อนถึงห้วงคับขัน คงไม่มีใครทราบว่าเขาถึงกับฝึกฝนเอกภพในแขนเสื้อเป็นผลสำเร็จ”

จักรพรรดิเอกภพกำเนิดที่ได้ผลักเปิดประตูเซียนแล้ว ไม่ว่าจะประเมินสูงอย่างไรก็ไม่มีทางเกินเลย

จักรพรรดิเซียนจริงแท้แข็งแกร่งถึงเพียงใด ฟู่ถิงในฐานะบุตรีของจักรพรรดิแพรเข้าใจดี

“คิดถึงตอนนั้น ในฝั่งตะวันออกเฉียงใต้มีคนเรียกคุณชายเยี่ยนเป็นเจ้าชายพระอาทิตย์ ยังมีหลายคนไม่ยอมรับ” บุรุษวัยกลางคนจุ๊ปากชมเชย “ตอนนี้ฉายาเซียนผู้ถูกเนรเทศกลับมีไม่กี่คนที่กล้าตั้งข้อสงสัย”

ก่อนหน้านี้ถึงแม้ชื่อเสียงของเยี่ยนจ้าวเกอจะแพร่หลายไปทั่ว แต่ว่านอกจากเขตตะวันอาคเนย์แล้ว คนที่อยู่ในสถานที่อื่นๆ ก็มีเพียงไม่กี่คนเท่านั้นที่ให้ความสำคัญจริงๆ

ในตอนนั้นชื่อที่ผู้คนมอบให้แก่เยี่ยนจ้าวเกอยังเป็น ‘เจ้าชายพระอาทิตย์’

หากดูจากความหมาย ฉายานี้อย่างน้อยได้รับบารมีส่วนหนึ่งมาจากตราประทับตะวัน และราชันพระอาทิตย์ในตำนาน

สำหรับเยี่ยนจ้าวเกอแล้ว ผู้คนยังมีท่าทีพิจารณาและคอยสังเกต

พร้อมกับที่ระดับพลังฝึกปรือของเยี่ยนจ้าวเกอยิ่งมายิ่งสูง ประสบการณ์ยิ่งมายิ่งลึกล้ำ รอจนเขาปีนขึ้นสะพานเซียน เช่นนั้นต่อให้เขาไม่ใช่ผู้สืบทอดของราชันพระอาทิตย์จริงๆ ฉายา ‘เจ้าชายพระอาทิตย์’ ของเขาจะเริ่มกลายเป็นจริงอยู่ดี

กระนั้นนับตั้งแต่เยี่ยนจ้าวเกอสยบเขตเพลิงทักษิณ เล่นงานคนหมู่มากจนยอมศิโรราบ เข้าร่วมการต่อสู้สะท้านใต้หล้าสองครั้งบนเขามหาวิญญาณและเขารอบวง คนที่เรียกเขาว่าเจ้าชายพระอาทิตย์กลับมีน้อยลงแล้ว

ฉายาที่ผู้คนสรรเสริญเริ่มเหลือเพียงหนึ่ง

เยี่ยนจ้าวเกอ เซียนผู้ถูกเนรเทศ

“จะว่าไป…” ฟู่ถิงเหมือนนึกอะไรขึ้นได้ มุมปากพลันปรากฏรอยยิ้ม “ตัวคุณชายเยี่ยนคล้ายไม่เคยยอมรับชื่อเจ้าชายพระอาทิตย์ในที่สาธารณะ”

“ในทางตรงกันข้าม เขากลับยอมรับว่าตราประทับตะวันที่ได้มาเป็นเพราะวาสนาความบังเอิญไม่ต่ำกว่าหนึ่งครั้ง”

บุรุษวัยกลางคนได้ยินดังนั้นก็กล่าวด้วยรอยยิ้ม “คนหนุ่มที่โอหังนัก แต่ก็มีคุณสมบัติให้โอหัง”

ฟู่ถิงยิ้มไปยิ้มมา แต่จู่ๆ ก็ยิ้มไม่ออก

นางก้มหน้ามองรูปไท่จี๋บนค่ายกลยันต์แปดทิศที่ตนอยู่

อาจารย์อาที่อยู่ตรงหน้าไม่รู้ว่าทั้งหมดนี้มีไว้ทำอะไรกันแน่ เพียงคิดว่าเป็นจักรพรรดิแพรงามสนับสนุนการเข้าฌานฝึกฝนวรยุทธ์ของฟู่ถิง

แต่ว่าฟู่ถิงทราบถึงความหมายที่อยู่ด้านใน

สิ่งที่นางคิดในตอนนี้กลับเป็นตอนที่เยี่ยนจ้าวเกอกับนางไปถึงดินแดนของโถงเซียนด้วยกัน รับทราบถึงการดำรงอยู่ของอู๋เทวกษัตริย์ไร้ประมาณและโถงเซียน

เยี่ยนจ้าวเกอบอกว่าสืบเนื่องจากตนทำความเข้าใจความโกลาหลในสิบสองวิชาประกายกาฬ

แต่พอนึกถึงสีหน้าที่เคร่งขรึมในตอนนั้นของบิดา ฟู่ถิงกลับรู้สึกหวั่นวิตกยิ่ง

ดินแดนที่อยู่ติดกับเขตสุราลัยบูรพาและเขตมหานภากลางมีเทือกเขาชื่อว่าเขาชาหมอก

สำนักที่หยั่งรากและเคลื่อนไหวอยู่ที่ตีนเขาทางตะวันออกของเขาชาหมอก มีชื่อว่าพรรคชำระบุปผา

พรรคชำระบุปผาไม่ใช่พรรคหรือสำนักที่เกิดบนโลกซ้อนโลก แต่มาจากโลกเบื้องล่างใบหนึ่ง

หลังจากในพรรคมียอดฝีมือเลื่อนเป็นขั้นเทวะสำแดง ลอยมายังโลกซ้อนโลก สุดท้ายก็ตั้งหลักปักฐานอยู่บริเวณเขาชาหมอก เปิดสำนักได้สำเร็จ

จวบจนวันนี้ก็ผ่านมาหลายปีแล้ว นับว่ามีชื่อเสียงกระฉ่อนอยู่บริเวณตีนเขาทางตะวันออกของเขาชาหมอก

พรรคชำระบุปผาถึงแม้ว่าจะเพ่งความสนใจส่วนใหญ่ไว้บนโลกซ้อนโลก เปิดพรรครับลูกศิษย์ พยายามเพิ่มพลังของตัวเอง ขยายอิทธิผลอย่างเต็มที แต่ก็ยังคงให้ความสำคัญกับโลกเบื้องล่างที่เป็นต้นกำเนิดของตัวเองอยู่

แต่ว่าสำหรับลูกศิษย์พรรคชำระบุปผาบนโลกซ้อนโลกแล้ว การลงไปยังโลกเบื้องล่างใบนั้นไม่ต่างอะไรกับเรื่องลำบากเรื่องหนึ่ง แทบจะใกล้เคียงกับการถูกลงโทษหรือการเนรเทศ

ดังนั้นที่แล้วมาจึงไม่มีใครอาสาไป

เพียงแต่ว่าทุกๆ สองสามปีจะมีคนโชคร้ายส่วนหนึ่งถูกพรรคส่งลงไป

แน่นอนว่าพวกเขาไม่ใช่ไปแล้วไปลับ ผ่านไปอีกหลายปีจะมีคนอีกลุ่มไปสับเปลี่ยนกับพวกเขา นี่นับว่าเป็นหนึ่งในธรรมเนียมของพรรคชำระบุปผา

ในวันนี้ลูกศิษย์ที่ถูกพรรคส่งลงไปรวมตัวกันในที่ลับต่างโอดครวญตัดพ้อ

“ผู้อาวุโสใช้เรื่องส่วนรวมแก้แค้นเรื่องส่วนตัวแท้ๆ!” มีคนกล่าวอย่างชิงชัง

คนอื่นๆ สนับสนุน “ผู้ใดบอกไม่ใช่เล่า หากล่วงเกินเขา ย่อมถูกพรรคส่งไปโลกเบื้องล่าง”

ลูกศิษย์สตรีอ่อนเยาว์ผู้หนึ่งในนี้เข้าสำนักได้ไม่นาน มองไปมีพลังฝึกปรือไม่เกินระดับปรมาจารย์ นางไม่ค่อยระวังตัวนัก กล่าวตามลมปาก

มีคนปลอบว่า “ศิษย์น้องหลี่ไม่ต้องเป็นห่วง อีกสองสามปีพวกเราก็กลับมาได้”

ลูกศิษย์หญิงพยักหน้า “อืม ศิษย์พี่กล่าวถูกต้อง”

“พวกเจ้าได้ยินหรือไม่ว่าทางตะวันออกเฉียงใต้ให้กำเนิดเยี่ยนจ้าวเกอที่เป็นอัจฉริยะบุรุษขึ้น ฉายาเซียนผู้ถูกเนรเทศแพร่กระจายไปทั่วโลกซ้อนโลก ไม่มีผู้ใดไม่ทราบ ไม่มีผู้ใดไม่รู้จัก” คนที่เอ่ยวาจาเป็นคนแรกยามนี้เอ่ยว่า “ฟังว่าเขามาจากสำนักในโลกเบื้องล่างใบหนึ่ง วันนี้กำลังตั้งหลักบนโลกซ้อนโลก”

“ถ้าหากกลายเป็นอย่างเขาได้ ชีวิตนี้คงไม่เสียเปล่า”

ทุกคนตาเป็นประกาย พากันพูดว่า “เจ้าจะรู้อะไร เซียนผู้ถูกเนรเทศยังอายุน้อย ความสำเร็จในตอนนี้ยังไม่ได้จบลง”

ทุกคนวิจารณ์กันต่างๆ นาๆ สนทนากันถึงข่าวที่ไม่ทราบว่าจริงหรือปลอมมากมาย ต่างอิจฉาริษยา

ลูกศิษย์สตรีคนนั้นก็เข้าร่วมด้วย ท่าทางสนอกสนใจ ใฝ่ฝันปรารถนา

รอจนทุกคนแยกย้ายกลับที่พักของตัวเอง เหลือเพียงนางคนเดียว สตรีแซ่หลี่ก็ใช้นิ้ววาดแก้มของตัวเอง

ใบหน้าของนางสั่นไหวเหมือนกับระลอกน้ำ มีการเปลี่ยนแปลงแค่ชั่วพริบตานั้น แต่ว่าอึดใจถัดมาก็เปลี่ยนกลับสู่สภาพเดิม

“ฮิๆ ดี ดีจริงๆ!” นางหัวเราะอยู่คนเดียว มีความสุขมากกว่าตอนอยู่ต่อหน้าผู้คน

สีหน้าอิจฉาใฝ่ฝันหายไป เป็นความปลาบปลื้มปลอบประโลมหมดสิ้น

ครู่ต่อมานางค่อยส่ายหน้าเบาๆ “อยากไปหายิ่งนัก น่าเสียดายที่ทำไม่ได้…”

………………..