ภาค 10 ขี่วายุทะลายคลื่นหมื่นลี้ บทที่ 999 จอมยุทธ์ศักดิ์สิทธิ์ขั้นสะพานเซียนแห่งเขากว่างเฉิง

ตำนานศิษย์พี่เจ้าปฐพี

เขตมหานภากลาง บนยอดเขาลูกหนึ่งในเขาคุนหลุน

คนหนุ่มในอาภรณ์สีดำผู้หนึ่งนั่งขัดสมาธิอยู่บนหินใหญ่บนยอดผา

บุรุษวัยกลางคนผู้หนึ่งปรากฏตัวขึ้นด้านหลังเขา

“เยี่ยนจ้าวเกอสังหารชิงซู่จื่อ ศิษย์เอกและนักพรตเซียนหลานศิษย์ที่เจ็ดของจักรพรรดิเอกภพ” บุรุษวัยกลางคนกล่าวเสียงทุ้ม “หลังจากจักรพรรดิเอกภพทราบย่อมไม่ยอมเลิกรา”

“ตอนนี้เขาอยู่ในมิติต่างแดน ไม่อาจปลีกตัวกลับมา แต่ว่าถ้าหากกลับมา จะต้องไปฝั่งตะวันออกเฉียงใต้แน่”

คนหนุ่มอาภรณ์ดำยืนขึ้นจากก้อนหิน หมุนตัวไปถาม “ศิษย์พี่คิดทำเช่นนี้?”

บุรุษวัยกลางคนใคร่ครวญครู่หนึ่งค่อยตอบ “ข้าอยากเดินทางไปฝั่งตะวันออกเฉียงใต้”

“เพียงแต่ไม่ใช่ตอนนี้ ต้องเลือกโอกาสที่เหมาะสม ไม่อย่างนั้นจะไร้มารยาทเกินไป”

บุรุษอาภรณ์สีดำไม่ได้กล่าววาจา รอคอยคำพูดต่อไปอย่างสงบนิ่ง

“เมื่อไม่ได้สัมผัสด้วยตัวเอง ไม่เคยต่อสู้ สุดท้ายก็ไม่อาจยอมรับ” บุรุษวัยกลางคนกล่าวสืบต่อ “คำกล่าวของท่านอาจารย์มีจุดที่พูดไม่ชัดเจน…ข้าไม่ได้สงสัยการตัดสินใจของท่านอาจารย์ แต่ต้องสืบค้นสถานะของอีกฝ่ายก่อน”

บุรุษวัยกลางคนพูดจบก็เงยหน้ามองท้องฟ้า “ข้าได้ส่งข้อความหาท่านอาจารย์อีกครั้งแล้ว เพียงแต่ไม่รู้ว่าจะได้คำตอบเมื่อไร”

ฝ่ายบุรุษในอาภรณ์สีดำตาเป็นประกาย เงยหน้ามองฟากฟ้า “ถ้าเป็นคำตอบ มาแล้ว”

“ครั้งนี้เร็วถึงเพียงนี้?” บุรุษวัยกลางคนแตกตื่น เพ่งตามองท้องฟ้า

ครู่ต่อมา อากาศพลันแตกออก แสงสว่างสายหนึ่งพุ่งลงมาจากด้านบน สาดใส่ยอดเขา!

สองคนที่อยู่บนยอดเขาเห็นดังนั้นก็เงียบงันลง

“ขอท่านอาจารย์โปรดชี้แนะ” บุรุษวัยกลางคนยกมือขึ้นเก็บแสงสว่าง ไม่กล่าววาจาอีก

ผ่านไปครู่หนึ่ง บุรุษวัยกลางคนค่อยหัวเราะอย่างหนักใจ “ท่านอาจารย์ยังไม่เห็น ไฉนจึงได้แน่ใจว่านั่นเป็นคนที่ต้องตามหา อายุยังห่างกันมากเกินไปแล้ว…”

บุรุษอาภรณ์ดำว่า “ท่านอาจารย์ในเมื่อมีคำสั่งแล้ว คาดว่าคงมีเหตุผลของท่าน”

“ในเมื่อเป็นเช่นนี้ก็ควรเตรียมตัวไว้” บุรุษวัยกลางคนเอ่ยอย่างเนิบนาบ

เขตราตรีอุดร บนที่ราบน้ำแข็งที่อยู่ทางเหนือสุด

ประตูทางเชื่อมเขตแดนสายหนึ่งตั้งตระหง่านอยู่ที่นั่น

เพียงแต่ว่าแตกต่างจากทางเชื่อมเขตแดนทั่วไป ประตูที่เชื่อมไปยังโลกอีกใบบานนี้ มองจากด้านนอกเข้าไปด้านในเป็นสีดำสนิทเหมือนกับหลุมดำ

ด้านในมีประกายสายฟ้าหลายสายกำลังกะพริบ

ด้านนอกประตูทางเชื่อมเขตแดนในตอนนี้กำลังมีสตรีผู้หนึ่งยืนอยู่ที่นั่น

สตรีผู้นั้นใส่อาภรณ์สีดำ พกดาบสีดำ ผมดำระอยู่หลังศีรษะ ใช้ผ้าผืนหนึ่งมัดไว้หยาบๆ

กลับเป็นเฟิงอวิ๋นเซิงที่ออกท่องโลกคนเดียว

เพื่อไม่ทำตัวโดดเด่น นางจึงไม่ใส่เสื้อคลุมน้ำเงินขลิบดำที่ลูกศิษย์แกนกลางของเขากว่างเฉิงใส่ เพียงแต่เหลืออาภรณ์สีขาวของลูกศิษย์ในสำนักไว้ ลักษณะเด่นจึงไม่ได้ชัดเจนแบบเดิมอีก

เฟิงอวิ๋นเซิงหันไปมองทิศใต้ พำลางหัวเราะเบาๆ “ด้วยนิสัยชอบแสดงความสามารถต่อหน้าผู้คนของท่าน ตอนนี้แม้ภายนอกจะปั้นหน้าเคร่งขรึม ในใจไม่ทราบได้ใจถึงเพียงใด”

เยี่ยนจ้าวเกอครั้งนี้สร้างชื่อสะท้านใต้หล้าอย่างแท้จริง

แม้นว่าจะอยู่ในดินแดนอันหนาวเหน็บทางเหนือสุดซึ่งอยู่อีกด้านหนึ่งของโลกซ้อนโลก ก็ยังมีข่าวของเขาแพร่หลาย

“จันทร์กระจ่างกลางชลาไศย แม้นฟากฟ้าไกลแต่เป็นจันทร์เดียวกัน…” เฟิงอวิ๋นเซิงคิดถึงคำพูดที่เยี่ยนจ้าวเกอเคยกล่าว พึมพำกับตัวเอง

ครู่ต่อมานางยิ้มเล็กน้อย หยิบไข่มุกวิญญาณเม็ดหนึ่งออกมา

นี่คือของขวัญที่กวนอวี่ลั่วแห่งอารามคงมายาบนเขาหอเมฆา หลานสาวของประมุขอุดรมอบให้แก่นาง

เฟิงอวิ๋นเซิงจิ้มไข่มุกวิญญาณเบาๆ ครั้งหนึ่ง แสงสาดขึ้น เหยี่ยวนกกระจอกตัวเล็กตัวหนึ่งบินออกมาจากด้านใน

นางวาดตัวหนังสือจำนวนหนึ่งใส่อากาศ ตัวหนังสือสลักลงบนไข่มุกวิญญาณ ก่อนที่มันจะกลายเป็นลำแสง และถูกเหยี่ยวนกกระจอกกลืนเข้าไปในท้องไป

ต่อมานางยกมือขึ้น เหยี่ยวนกกระจกบินสู่อากาศ บินไปทางใต้ที่อยู่ไกลแสนไกล

เฟิงอวิ๋นเซิงใช้สายตาส่งเหยี่ยวนกกระจอกไปไกล จากนั้นแววตาก็เปลี่ยนเป็นแน่วแน่ นางหมุนตัวเดินเข้าไปในประตูทางเชื่อมเขตแดนที่มืดสนิทนั้น

พร้อมกับที่นางเข้าไป ผ่านไปได้ไม่นานเท่าไร ประตูทางเชื่อมเขตแดนก็ค่อยๆ หายไป

บนที่ราบน้ำแข็งมีเพียงแต่เสียงลมพัดหวีดหวิว ไม่เห็นร่องรอยของผู้คนอีก

เขตตะวันอาคเนย์ ทะเลหวงเจีย

ผ่านไปอีกหลายวัน ในที่สุดเยี่ยนจ้าวเกอก็กลับเขากว่างเฉิงอีกครั้ง

เขามองที่อยู่ของสำนักที่อยู่ตรงหน้า หัวเราะเหอะๆ เอ่ยด้วยรอยยิ้มว่า “ความรู้สึกที่ได้กลับบ้านช่างดีจริงๆ”

อาหู่หัวเราะอย่างสัตย์ซื่อ “คุณชาย ครั้งนี้ท่านสร้างชื่อสะท้านสี่ทะเล คาดว่ารู้สึกดีกว่าเดิมอยู่แล้ว”

เยี่ยนจ้าวเกอกระแอมครั้งหนึ่ง “ไม่ถึงขนาดนั้น ครั้งนี้นับว่าน่ากลัวแต่ไร้อันตราย”

“ตอนสู้กันที่เขารอบวง จางซู่เหรินกับเผิงเฮ่อยังพอว่า ชิงซู่จื่อนั่นกลับไม่อาจดูแคลนจริงๆ ก่อนหน้านี้ข้าไม่รู้ว่าเขาถึงกับฝึกฝนเอกภพในแขนเสื้อเป็นผลสำเร็จ”

“ถ้าหากไม่ใช่เพราะค่ายกลแม่น้ำเหลืองเก้าโค้งลดพลังฝึกปรือของเขา หากเขาทำอะไรที่อยู่เหนือความคาดหมายของข้า ข้าไม่แน่เลยว่ามีความเสี่ยงที่จะเรือคว่ำหรือไม่”

เขาหันไปมองอาหู่ เซี่ยกวง และพ่านพ่าน ก่อนจะกล่าวอย่างจริงจังว่า “ต่อจากนี้ถ้าพวกเจ้าต้องลงมือกับผู้คน จำเป็นต้องระวังไว้ส่วนหนึ่ง อีกฝ่ายบางทีอาจะมีท่าไม้ตายซ่อนเร้นที่อยู่เหนือความคาดหมาย”

“เมื่อถูกคนลอบทำร้ายหนึ่งกระบวนท่า ต่อให้ตัวเจ้ามีฝีมือมากขนาดไหน มีท่าไม้ตายมากเท่าไร หากใช้ไม่ทันก็ได้แต่ต้องตายด้วยความคับแค้น”

เซี่ยกวงปั้นใบหน้าจริงจัง พยักหน้าอย่างเคร่งขรึม “ขอรับ”

พ่านพ่านกะพริบตาปริบๆ มันหาวครั้งหนึ่ง

อาหู่หัวเราะอย่างเปิดเผย ส่งกระแสเสียง ‘สุดท้ายยังคงถูกคุณชายท่านเล่นงานอยู่ดี’

‘แน่นอนอยู่แล้ว’ เยี่ยนจ้าวเกอไม่แสดงสีหน้าต่อหน้าเซี่ยกวง แต่ส่งกระแสเสียงตอบอย่างไม่เกรงใจ

ทุกคนพูดคุยกัน พร้อมทั้งลอยลงไปยังที่อยู่ของสำนัก

เยี่ยนจ้าวเกอจิตใจพลันสั่นไหว เพ่งตามองอย่างละเอียด เห็นบุรุษหล่อเหลาที่ภายนอกมองไปมีอายุราวสามสี่สิบปี จอนผมสองข้างเป็นสีขาวยืนอยู่บนยอดเขานภากาศ กำลังมองเขาด้วยรอยยิ้ม

เป็นเยี่ยนตี๋บิดาของเขานั่นเอง

“ท่านออกฌานแล้ว?” เยี่ยนจ้าวเกอเพ่งตามองไป รู้สึกได้อย่างเลือนรางว่า ตอนนี้จุดลมปราณมากมายที่ได้หลอมเป็นเทวะในร่างกายของเยี่ยนตี๋กำลังสั่นไหวเล็กน้อย

เยี่ยนตี๋ไม่ได้อำพราง ดังนั้นเยี่ยนจ้าวเกอจึงสัมผัสได้ว่า นั่นเหมือนกับดวงดาวในจักรวาลกลายเป็นระบบ โคจรด้วยแบบแผนเฉพาะตัว

นั่นคือสัญลักษณ์ของยอดฝีมือระดับจอมยุทธ์ศักดิ์สิทธิ์ที่ได้ปีนขึ้นสะพานเซียน

เยี่ยนตี๋ที่หลังผละจากที่บำเพ็ญหลีเฮิ่นน้อย และกลับถึงโลกซ้อนโลก เขาก็เข้าฌานมาโดยตลอด ครั้งนี้ออกฌานมาก็ทำลายคอขวดก่อนหน้าสำเร็จ เลื่อนจากขั้นเทวะสำแดงระยะท้าย เป็นขั้นสะพานเซียนระยะต้น!

นี่บ่งบอกว่าเยี่ยนตี๋ได้เลื่อนเป็นระดับจอมยุทธ์ศักดิ์สิทธิ์ขั้นเจ็ดแล้ว

เขากว่างเฉิงในที่สุดก็มีจอมยุทธ์ศักดิ์สิทธิ์ขั้นสะพานเซียนเสียที…

เยี่ยนจ้าวเกอคิดถึงเรื่องนี้ ก็มีความรู้สึกหัวเราะไม่ออกร้องไห้ไม่ได้

พวกเขาสองพ่อลูกกับเขากว่างเฉิงในตอนนี้นับว่ามีชื่อเสียงโด่งดังบนโลกซ้อนโลก แต่จนกระทั่งถึงวันนี้ ถึงค่อยมีคนหนึ่งปีนขึ้นสะพานเซียน

‘อย่างกับประชดกัน…’ เยี่ยนจ้าวเกอสลัดความคิดไร้สาระในหัวสมองทิ้ง รู้สึกยินดีเป็นอย่างยิ่ง

เยี่ยนจ้าวเกอยินดีที่บิดาของตนได้ปีนขึ้นสะพานเซียน ดีใจไม่น้อยกว่าการพัฒนาของตัวเอง

เขาแสดงความยินดีกับเยี่ยนตี๋ ฝ่ายเยี่ยนตี๋ส่ายหน้ายิ้ม กล่าวว่า “เจ้าครั้งนี้กลับก่อกวนความวุ่นวายมากมายที่ทิศใต้แล้ว”

ทางเขากว่างเฉิงเพิ่งได้รับข่าว

“ถูกยอดฝีมือในระดับจอมยุทธ์ศักดิ์สิทธิ์ขั้นเก้า ขั้นสะพานเซียนระยะท้ายไม่ต่ำกว่าหนึ่งคนดักหน้าไล่หลัง” เยี่ยนจ้าวเกอหัวเราะฮิฮะ “หากไม่ก่อกวนความวุ่นวาย ข้าคงกลับมาไม่ได้”

พ่อลูกร่วมทางกลับวิหารใหญ่ มีผู้นำระดับสูงเขากว่างเฉิงคนอื่นๆ รอคอยอยู่

เยี่ยนจ้าวเกอบอกเล่าเรื่องราวด้วยตัวเอง ย่อมละเอียดและถูกต้องกว่าข่าวลือ ครั้นทุกคนได้ยินแล้วต่างก็ถอนใจชมเชย

หลังจากออกมา ชายหนุ่มก็กลับที่พัก บัดนี้เหลือเพียงแค่พวกเขาสองพ่อลูก

“ท่านพ่อ หลังจากท่านออกจากที่บำเพ็ญเสี่ยวหลีเฮิ่นแล้ว ได้เจออะไรหรือขอรับ” เยี่ยนจ้าวเกอยิ้มถาม

………………..