ส่วนที่ 7 ภาคกล้าให้อาทิตย์ดวงจันทร์ผันเปลี่ยน ตอนที่ 48 กรงเล็บสีโคลน

ท้าลิขิตพลิกโชคชะตา

ท้องฟ้าในเมืองหลวงเต็มไปด้วยหิมะโปรยปราย ถนนไท่ผิงก็เช่นกัน

น้อยคนนักจะรู้ว่าหิมะที่โปรยปรายเหล่านั้นมาจากพายุน้ำแข็งในสำนักเทียนเต้า

ประตูจวนอ๋องทั้งหมดถูกปิดอย่างแน่นหนา ไร้ซึ่งเสียงใด ๆ จวนเซี่ยงอ๋องนั้นเงียบดั่งสุสาน

หิมะละเอียดนั้นลอยอยู่เหนือกำแพงสูงของจวนอ๋อง และตกลงในที่ที่บรรดานักพรตมองไม่เห็น แต่กลับไม่ถึงพื้น

หลังกำแพงมีสายลมพัดพาหิมะอ่อน ๆ อย่างต่อเนื่อง

นักพรตและขุนพลเทพหลายร้อยคนถือธนูศักดิ์สิทธิ์ยืนอยู่ในสวนและลานจวนเซี่ยงอ๋อง มีเพียงกำแพงกั้นระหว่างมหาสมุทรสีดำและนักบวช

พวกเขาไม่ส่งเสียงใด ๆ และรักษาไว้ซึ่งความเงียบ เช่นนั้นการหายใจของพวกเขาจึงชัดเจน

และยิ่งชัดขึ้นเมื่อตื่นเต้น

หิมะแผ่วเบาที่ตกจากท้องฟ้าในช่วงต้นฤดูใบไม้ผลิเหล่านั้นไม่สามารถตกสู่พื้นดินได้ คงเพราะความเงียบที่เป็นปริศนาเหล่านี้ อีกทั้งลมหายใจที่หนักหน่วงราวกับภูเขากระมัง

เฉินหลิวอ๋องยืนอยู่ข้างหน้าต่าง เขามองไปยังเหล่าข้ารับใช้ที่อยู่ในสวน พลางขบคิดเรื่องนี้อย่างเงียบ ๆ

หิมะกำลังโปรยปรายอยู่นอกหน้าต่าง ใบหน้าของเขาซีดเล็กน้อย

เนื่องจากความเหนื่อยล้า ไม่เกี่ยวข้องอะไรกับความไม่สบายใจ

ในเวลานี้ ความเสียใจใด ๆ ก็เป็นสิ่งที่ไม่จำเป็นเสียแล้ว

เขาหันไปมองนักพรตชุดเขียวเหล่านั้น

นักพรตชุดเขียวทั้งสามมองไปยังผู้เฒ่าผมดอกเลาท่านนั้น

นักพรตเฒ่านั้นเป็นผู้แข็งแกร่งทางวิถีพรตตัวจริง เมื่อหลายปีก่อนก็ได้รับขั้นเทพศักดิ์สิทธิ์ครึ่งก้าวแล้ว

เว้นแต่เสนาบดีเว่ยแห่งตระกูลถัง นักเล่นพิณตาบอด และบุคคลลึกลับจากพรรคแล้ว ไม่มีผู้ใดสามารถเทียบเคียงกับเขาได้

แต่ถึงอย่างนั้น เขาก็ไม่มั่นใจว่าจะสามารถปกป้องจวนเซี่ยงอ๋องได้

ไม่แม้สักนิด

เขารู้ดีว่าหากพระราชวังหลีตัดสินใจลงมือแล้ว ย่อมไม่มีผู้ใดสามารถหยุดยั้งคลื่นที่ซัดอย่างบ้าคลั่งนี้ได้ นอกจากกองทัพราชสำนักต้าโจวจะทุ่มสุดตัว

นักพรตเฒ่าเอ่ยกับเฉินหลิวอ๋องว่า “ไปกันเถิด”

ใบหน้าของเฉินหลิวอ๋องซีดลง สีหน้าของเขายังคงสงบนิ่งก่อนกล่าวว่า “ข้าไม่สามารถละทิ้งข้ารับใช้ผู้จงรักภักดีต่อข้าและท่านพ่อได้”

นักพรตเฒ่าเอ่ยด้วยใบหน้าเรียบเฉยว่า “ข้าจะอยู่ป้องกันเอง เจ้าและอาจารย์หลานทั้งสามล่วงหน้าไปก่อนเลย”

เฉินหลิวอ๋องตกตะลึง เขาไม่คาดคิดว่าอีกฝ่ายจะยอมเสี่ยง

นักพรตเฒ่าเดินไปที่หน้าต่างโดยไม่สนใจเขา และค่อย ๆ หลับตาลง

สายลมพัดพาหิมะให้ปลิวตกลงมาบนใบหน้าเหี่ยวย่น ผมสีขาวปลิวไสวเล็กน้อย เป็นภาพที่น่าซาบซึ้งใจนัก

เมื่อเห็นภาพนี้ ดวงตาของเฉินหลิวอ๋องคลอไปด้วยน้ำตา เขาอยากเอ่ยทัดทานบางอย่าง แต่สุดท้ายก็ไม่ได้เอ่ยออกมา

เพียงครู่เดียวเขาก็กลับมานิ่งสงบอีกครั้ง ก่อนหันไปแสดงความเคารพต่อนักพรตเฒ่า จากนั้นก็หันหลังจากไป

ห้องโถงบุปผาจมลงตามลำดับจากหน้าต่างไปจนถึงพื้นศิลาสีเขียวที่อยู่ตรงกลาง กลายเป็นขั้นบันไดหินลงสู่ใต้ดิน

เฉินหลิวอ๋องและนักพรตชุดเขียวทั้งสามเดินลงไปตามบันได

ความมืดมิดข้างหน้า มิอาจรู้ว่าจะนำทางไปยังที่ใด

ทันใดนั้น ดวงไฟบนผนังศิลาก็จุดขึ้นโดยอัตโนมัติ ส่องสว่างที่พื้นไม่ไกลต่อหน้าทุกคน

พื้นเปียกเล็กน้อย อีกทั้งมีตะไคร่น้ำเกาะตามมุมกำแพง ไม่รู้ว่าไม่ได้ทำความสะอาดมากี่ปีแล้ว

แสงสว่างตกกระทบใบหน้าของเฉินหลิวอ๋อง

เขาสงบนิ่งยิ่งนัก

ในดวงตาของเขามองไม่เห็นความเปียกชื้นนั้น

บนใบหน้าของเขาปราศจากความซาบซึ้ง

สิ่งเหล่านั้นล้วนไม่มีความหมาย

เขาคิดเช่นนี้มาตลอด

การต่อสู้ที่กำลังจะมาถึงก็ไม่มีความหมายใด

เขาไม่สนใจว่านักพรตแห่งอารามฉางชุนนั้นจะมีชีวิตรอดต่อไป หรืออาจจะสิ้นชีพอย่างองอาจในสนามรบ

เขาเพียงต้องการรู้ว่านักพรตเฒ่าผู้นี้จะทำให้ผู้แข็งแกร่งแห่งพระราชวังหลีเหล่านั้นต้องประสบกับความสูญเสียครั้งใหญ่อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้

ไม่สำคัญว่าขุนพลจวนอ๋องและผู้มีฝีมือ จะยอมจำนนหรือยอมตายในการต่อสู้ในวัง

เขาไม่เคยสงสัยในความภักดีและเลือดร้อนเช่นนั้น แต่คนเหล่านี้ไม่เคยเป็นไม้ตายที่แท้จริงของเซี่ยงอ๋อง

พลังอำนาจที่แท้จริงของเซี่ยงอ๋องจะไม่ปรากฏในเมืองหลวงในวันนี้

เนื่องจากการคาดคะเนของเขาและเฉินฉางเซิงใกล้เคียงกันมาก เขาจึงคิดว่าสุสานเทียนซูนั้นไม่สามารถสู้กันได้แน่

การต่อสู้ครั้งสุดท้ายยังมาไม่ถึง แต่วันนี้จะมีหลายคนที่ต้องตาย

เขาต้องการแน่ใจว่าชีวิตของเขาจะไม่ถูกคุกคาม ดังนั้นเขาจึงเลือกที่จะจากไป

เขาจะปรากฏตัวบนชายฝั่งของแม่น้ำลั่ว ผ่านอุโมงค์ที่มืดมนนี้ แล้วออกจากเมืองหลวงไป

ณ ชานเมืองหลวง ทหารม้าเกราะเหล็กหลายร้อยคนคงรอคอยเขาอยู่ก่อนแล้ว

เขาจะพาทหารเกราะเหล็กเหล่านี้ไปยังเมืองฮั่นชิว จากนั้นบรรดาข้ารับใช้และกองทัพที่ซื่อสัตย์ที่สุดรวมถึงลูกหลานของตระกูลจูจะไปรวมตัวกัน

ถึงตอนนั้นเขาควรจะลงมือทำเรื่องใดก่อน ส่งพระราชโองการระดมพล หรือวางยาพิษพวกคนไม่ได้เรื่องของตระกูลจูเหล่านั้น

หากเป็นจักรพรรดิไท่จง เขาจะตัดสินใจเช่นไรกัน

วางยาพิษให้ตายคงไม่ได้ มันจะเป็นการเอิกเกริกเกินไป ใช้วิธีกักบริเวณจะดีกว่า ค่อยจัดการหลังจากขึ้นครองบัลลังก์

เมื่อนึกถึงเรื่องราวเหล่านี้ ก็ปรากฏรอยยิ้มขึ้นมาในส่วนลึกของดวงตาของเขาซึ่งตกกระทบกับแสงไฟ

แน่นอนว่านักพรตชุดเขียวทั้งสามที่อยู่เบื้องหลังของเขานั้นมองไม่เห็นมัน

ท่านพ่อของเขานั้นคือผู้แข็งแกร่งแห่งดินแดนศักดิ์สิทธิ์ แทบไม่มีความความจำเป็นต้องกังวลถึงเรื่องความปลอดภัยเลย

แม้ว่าจะเกิดเหตุการณ์ไม่คาดฝันอย่างอาจารย์เป็นฝ่ายแพ้ ทั้งสวีโหย่วหรงและเฉินฉางเซิงล้วนไม่ใช่คนที่มีจิตใจโหดเหี้ยม พวกเขาจะไม่ลงมือกับบรรดาบุตรของนางสนมเหล่านั้นเป็นแน่

เฉินหลิวอ๋อง รู้สึกว่าตนนั้นได้คาดคิดไว้หมดแล้ว คำนึงถึงทุกสิ่งอย่างและคาดการณ์ไว้ทั้งหมดแล้ว

แต่เขาไม่ได้นึกถึงภรรยาที่เพิ่งแต่งเข้าเรือนมาอย่างผิงกั๋ว ไม่แม้แต่นึกถึงเรื่องนี้เลย

เขาไม่ได้คาดการณ์ถึงสิ่งนี้ว่าด้านหน้าของเส้นทางมืด ๆ เส้นนี้ จะมีผู้ใดรอคอยเขาอยู่ตรงหน้าอุโมงค์

……

……

ในอุโมงค์ที่เงียบสงัด เสียงต่าง ๆ ก็ปรากฏชัดเจนเป็นพิเศษ

อย่างเช่นเสียงของน้ำที่ไหลอยู่ใต้ดิน เสียงมดที่กำลังคลานข้ามกำแพง

แม่ชีเต๋าทั้งสองลืมตาขึ้น

มีเสียงฝีเท้าดังอยู่ข้างหน้า ทิศทางของจวนเซี่ยงอ๋อง

ไหวซู่เหลือบมองศิษย์พี่

ไหวเหรินสีหน้าเฉยชา

ทันใดนั้น เกิดเส้นแสงลอดผ่านเข้ามาจากเบื้องหน้า เกิดการหักเหของแสงอย่างแปลกประหลาดขึ้น

ราวกับว่าพื้นที่ว่างตรงนั้นเกิดการบิดเบี้ยวบางอย่างขึ้นมา

พลังแบบไหนกันที่สามารถทำให้พื้นที่ว่างในอากาศบิดเบี้ยวอย่างเงียบเชียบได้ถึงเพียงนี้

ไหวซู่รับรู้ได้ถึงลมปราณนั้น ก่อนเอ่ยด้วยความหวาดผวาว่า “นี่คือสิ่งใดกัน”

ไหวเหรินเลิกคิ้วเล็กน้อย ก่อนเอ่ยอย่างประหลาดใจว่า “ท่านใต้เท้าสังฆราชก็ลงมือแล้วหรือ”

……

……

เมื่อพื้นที่บนถนนเส้นนั้นบิดเบี้ยว ก็ปรากฏสถานการณ์คล้าย ๆ กันขึ้นบนท้องฟ้า

เกิดแสงกระจัดกระจายไปทั่วบนท้องฟ้าที่มืดสลัว พลันทำให้บริเวณโดยรอบของจวนเซี่ยงอ๋องสว่างขึ้นอย่างชัดเจน

แรงกดทับบางอย่างที่ไม่อาจพรรณนาได้ตกจากที่สูงลงสู่พื้น

ลมและหิมะรุนแรงขึ้นในทันใด

กรงเล็บมังกรดำตัวหนึ่งทะลุก้อนเมฆ และบินร่อนลงมาอย่างช้า ๆ

กรงเล็บของมังกรราวกับภูเขาสีดำ และเกล็ดบนนั้นเหมือนหน้าต่างที่มืดมน มันแผ่ความน่าสะพรึงกลัวออกมา

เหล่าแม่ทัพและผู้แข็งแกร่งไม่สามารถรักษาความสงบได้อีกต่อไป ต่างตะโกนโหวกเหวกด้วยความตื่นตระหนก

นักพรตเฒ่าผมสีดอกเลาลืมตาขึ้น และเปล่งแสงเจิดจ้าออกมา

แสงสว่างนั้นปกคลุมจวนเซี่ยงอ๋อง นี่เป็นค่ายกลที่ทรงพลังมาก

นักพรตเฒ่ามองไปบนท้องฟ้า และตะโกนด้วยเสียงที่เยือกเย็น “สัตว์เดรัจฉานต้องทรมานจนตาย!”

ก่อนที่เขาจะพูดจบ กระบี่นักพรตก็ออกมา กลายเป็นเส้นแสงที่รุนแรงยิ่งนัก มันบินขึ้นไปบนท้องฟ้า ผ่านเมฆหนาขึ้นไปและไม่รู้ว่าจะตัดลงที่ใด

เขารู้ว่าคู่ต่อสู้ของเขาในวันนี้แข็งแกร่งมาก แต่เขาก็ยังคงไร้ซึ่งความหวาดกลัว

กระบี่นี้ได้แช่แข็งการบำเพ็ญพรตทั้งชีวิตของเขาแล้ว และเข้าใกล้อาณาจักรศักดิ์สิทธิ์อย่างไร้ขีดจำกัดด้วย เมื่อรวมตัวกับค่ายกลของจวนเซี่ยงอ๋อง ตราบใดที่อีกฝ่ายไม่ใช่ผู้ยิ่งใหญ่ ก็ต้องบาดเจ็บกลับมาเป็นแน่

แต่เขาไม่รู้ว่าคู่ต่อสู้ที่แท้จริงในวันนี้ไม่ได้อยู่ในส่วนลึกของลมหิมะ แต่อยู่ในจวนเซี่ยงอ๋องมาโดยตลอด

เมื่อเขาทุ่มเทพลังงานทั้งหมดลงในกระบี่นั้น ชายผู้นั้นก็เคลื่อนไหวเช่นกัน

ชายคนนั้นยืนอยู่ในมุม ไหล่ของเขางุ้มลง และมีกระบี่ที่ดูธรรมดาเหน็บไว้รอบเอวของเขาอย่างหลวม ๆ

ไม่รู้ว่าเมื่อไหร่ นิ้วเรียวยาวของเขาจับด้ามกระบี่แน่น ซึ่งดูมั่นคงและกลมกลืนกันยิ่งนัก

หากมีคนเห็นภาพนี้ พวกเขาอาจเกิดภาพลวงตาขึ้นได้

มือและกระบี่ของเขารวมเป็นหนึ่ง

จะมีกระบี่ที่เร็วกว่านี้ได้อย่างไร

แสงดาบสว่างวาบ จากนั้นก็ดับไป

มันเหมือนพลุหรือดอกถานฮวา พอบานแล้วก็จะโรยทันที

หลุมสองหลุมปรากฏขึ้นบนกำแพงอิฐทั้งสอง

ปลายดาบแทงทะลุอาภรณ์นักพรตสีเขียว โลหิตหลั่งริน