ท้องฟ้าในเมืองหลวงเต็มไปด้วยหิมะโปรยปราย ถนนไท่ผิงก็เช่นกัน
น้อยคนนักจะรู้ว่าหิมะที่โปรยปรายเหล่านั้นมาจากพายุน้ำแข็งในสำนักเทียนเต้า
ประตูจวนอ๋องทั้งหมดถูกปิดอย่างแน่นหนา ไร้ซึ่งเสียงใด ๆ จวนเซี่ยงอ๋องนั้นเงียบดั่งสุสาน
หิมะละเอียดนั้นลอยอยู่เหนือกำแพงสูงของจวนอ๋อง และตกลงในที่ที่บรรดานักพรตมองไม่เห็น แต่กลับไม่ถึงพื้น
หลังกำแพงมีสายลมพัดพาหิมะอ่อน ๆ อย่างต่อเนื่อง
นักพรตและขุนพลเทพหลายร้อยคนถือธนูศักดิ์สิทธิ์ยืนอยู่ในสวนและลานจวนเซี่ยงอ๋อง มีเพียงกำแพงกั้นระหว่างมหาสมุทรสีดำและนักบวช
พวกเขาไม่ส่งเสียงใด ๆ และรักษาไว้ซึ่งความเงียบ เช่นนั้นการหายใจของพวกเขาจึงชัดเจน
และยิ่งชัดขึ้นเมื่อตื่นเต้น
หิมะแผ่วเบาที่ตกจากท้องฟ้าในช่วงต้นฤดูใบไม้ผลิเหล่านั้นไม่สามารถตกสู่พื้นดินได้ คงเพราะความเงียบที่เป็นปริศนาเหล่านี้ อีกทั้งลมหายใจที่หนักหน่วงราวกับภูเขากระมัง
เฉินหลิวอ๋องยืนอยู่ข้างหน้าต่าง เขามองไปยังเหล่าข้ารับใช้ที่อยู่ในสวน พลางขบคิดเรื่องนี้อย่างเงียบ ๆ
หิมะกำลังโปรยปรายอยู่นอกหน้าต่าง ใบหน้าของเขาซีดเล็กน้อย
เนื่องจากความเหนื่อยล้า ไม่เกี่ยวข้องอะไรกับความไม่สบายใจ
ในเวลานี้ ความเสียใจใด ๆ ก็เป็นสิ่งที่ไม่จำเป็นเสียแล้ว
เขาหันไปมองนักพรตชุดเขียวเหล่านั้น
นักพรตชุดเขียวทั้งสามมองไปยังผู้เฒ่าผมดอกเลาท่านนั้น
นักพรตเฒ่านั้นเป็นผู้แข็งแกร่งทางวิถีพรตตัวจริง เมื่อหลายปีก่อนก็ได้รับขั้นเทพศักดิ์สิทธิ์ครึ่งก้าวแล้ว
เว้นแต่เสนาบดีเว่ยแห่งตระกูลถัง นักเล่นพิณตาบอด และบุคคลลึกลับจากพรรคแล้ว ไม่มีผู้ใดสามารถเทียบเคียงกับเขาได้
แต่ถึงอย่างนั้น เขาก็ไม่มั่นใจว่าจะสามารถปกป้องจวนเซี่ยงอ๋องได้
ไม่แม้สักนิด
เขารู้ดีว่าหากพระราชวังหลีตัดสินใจลงมือแล้ว ย่อมไม่มีผู้ใดสามารถหยุดยั้งคลื่นที่ซัดอย่างบ้าคลั่งนี้ได้ นอกจากกองทัพราชสำนักต้าโจวจะทุ่มสุดตัว
นักพรตเฒ่าเอ่ยกับเฉินหลิวอ๋องว่า “ไปกันเถิด”
ใบหน้าของเฉินหลิวอ๋องซีดลง สีหน้าของเขายังคงสงบนิ่งก่อนกล่าวว่า “ข้าไม่สามารถละทิ้งข้ารับใช้ผู้จงรักภักดีต่อข้าและท่านพ่อได้”
นักพรตเฒ่าเอ่ยด้วยใบหน้าเรียบเฉยว่า “ข้าจะอยู่ป้องกันเอง เจ้าและอาจารย์หลานทั้งสามล่วงหน้าไปก่อนเลย”
เฉินหลิวอ๋องตกตะลึง เขาไม่คาดคิดว่าอีกฝ่ายจะยอมเสี่ยง
นักพรตเฒ่าเดินไปที่หน้าต่างโดยไม่สนใจเขา และค่อย ๆ หลับตาลง
สายลมพัดพาหิมะให้ปลิวตกลงมาบนใบหน้าเหี่ยวย่น ผมสีขาวปลิวไสวเล็กน้อย เป็นภาพที่น่าซาบซึ้งใจนัก
เมื่อเห็นภาพนี้ ดวงตาของเฉินหลิวอ๋องคลอไปด้วยน้ำตา เขาอยากเอ่ยทัดทานบางอย่าง แต่สุดท้ายก็ไม่ได้เอ่ยออกมา
เพียงครู่เดียวเขาก็กลับมานิ่งสงบอีกครั้ง ก่อนหันไปแสดงความเคารพต่อนักพรตเฒ่า จากนั้นก็หันหลังจากไป
ห้องโถงบุปผาจมลงตามลำดับจากหน้าต่างไปจนถึงพื้นศิลาสีเขียวที่อยู่ตรงกลาง กลายเป็นขั้นบันไดหินลงสู่ใต้ดิน
เฉินหลิวอ๋องและนักพรตชุดเขียวทั้งสามเดินลงไปตามบันได
ความมืดมิดข้างหน้า มิอาจรู้ว่าจะนำทางไปยังที่ใด
ทันใดนั้น ดวงไฟบนผนังศิลาก็จุดขึ้นโดยอัตโนมัติ ส่องสว่างที่พื้นไม่ไกลต่อหน้าทุกคน
พื้นเปียกเล็กน้อย อีกทั้งมีตะไคร่น้ำเกาะตามมุมกำแพง ไม่รู้ว่าไม่ได้ทำความสะอาดมากี่ปีแล้ว
แสงสว่างตกกระทบใบหน้าของเฉินหลิวอ๋อง
เขาสงบนิ่งยิ่งนัก
ในดวงตาของเขามองไม่เห็นความเปียกชื้นนั้น
บนใบหน้าของเขาปราศจากความซาบซึ้ง
สิ่งเหล่านั้นล้วนไม่มีความหมาย
เขาคิดเช่นนี้มาตลอด
การต่อสู้ที่กำลังจะมาถึงก็ไม่มีความหมายใด
เขาไม่สนใจว่านักพรตแห่งอารามฉางชุนนั้นจะมีชีวิตรอดต่อไป หรืออาจจะสิ้นชีพอย่างองอาจในสนามรบ
เขาเพียงต้องการรู้ว่านักพรตเฒ่าผู้นี้จะทำให้ผู้แข็งแกร่งแห่งพระราชวังหลีเหล่านั้นต้องประสบกับความสูญเสียครั้งใหญ่อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
ไม่สำคัญว่าขุนพลจวนอ๋องและผู้มีฝีมือ จะยอมจำนนหรือยอมตายในการต่อสู้ในวัง
เขาไม่เคยสงสัยในความภักดีและเลือดร้อนเช่นนั้น แต่คนเหล่านี้ไม่เคยเป็นไม้ตายที่แท้จริงของเซี่ยงอ๋อง
พลังอำนาจที่แท้จริงของเซี่ยงอ๋องจะไม่ปรากฏในเมืองหลวงในวันนี้
เนื่องจากการคาดคะเนของเขาและเฉินฉางเซิงใกล้เคียงกันมาก เขาจึงคิดว่าสุสานเทียนซูนั้นไม่สามารถสู้กันได้แน่
การต่อสู้ครั้งสุดท้ายยังมาไม่ถึง แต่วันนี้จะมีหลายคนที่ต้องตาย
เขาต้องการแน่ใจว่าชีวิตของเขาจะไม่ถูกคุกคาม ดังนั้นเขาจึงเลือกที่จะจากไป
เขาจะปรากฏตัวบนชายฝั่งของแม่น้ำลั่ว ผ่านอุโมงค์ที่มืดมนนี้ แล้วออกจากเมืองหลวงไป
ณ ชานเมืองหลวง ทหารม้าเกราะเหล็กหลายร้อยคนคงรอคอยเขาอยู่ก่อนแล้ว
เขาจะพาทหารเกราะเหล็กเหล่านี้ไปยังเมืองฮั่นชิว จากนั้นบรรดาข้ารับใช้และกองทัพที่ซื่อสัตย์ที่สุดรวมถึงลูกหลานของตระกูลจูจะไปรวมตัวกัน
ถึงตอนนั้นเขาควรจะลงมือทำเรื่องใดก่อน ส่งพระราชโองการระดมพล หรือวางยาพิษพวกคนไม่ได้เรื่องของตระกูลจูเหล่านั้น
หากเป็นจักรพรรดิไท่จง เขาจะตัดสินใจเช่นไรกัน
วางยาพิษให้ตายคงไม่ได้ มันจะเป็นการเอิกเกริกเกินไป ใช้วิธีกักบริเวณจะดีกว่า ค่อยจัดการหลังจากขึ้นครองบัลลังก์
เมื่อนึกถึงเรื่องราวเหล่านี้ ก็ปรากฏรอยยิ้มขึ้นมาในส่วนลึกของดวงตาของเขาซึ่งตกกระทบกับแสงไฟ
แน่นอนว่านักพรตชุดเขียวทั้งสามที่อยู่เบื้องหลังของเขานั้นมองไม่เห็นมัน
ท่านพ่อของเขานั้นคือผู้แข็งแกร่งแห่งดินแดนศักดิ์สิทธิ์ แทบไม่มีความความจำเป็นต้องกังวลถึงเรื่องความปลอดภัยเลย
แม้ว่าจะเกิดเหตุการณ์ไม่คาดฝันอย่างอาจารย์เป็นฝ่ายแพ้ ทั้งสวีโหย่วหรงและเฉินฉางเซิงล้วนไม่ใช่คนที่มีจิตใจโหดเหี้ยม พวกเขาจะไม่ลงมือกับบรรดาบุตรของนางสนมเหล่านั้นเป็นแน่
เฉินหลิวอ๋อง รู้สึกว่าตนนั้นได้คาดคิดไว้หมดแล้ว คำนึงถึงทุกสิ่งอย่างและคาดการณ์ไว้ทั้งหมดแล้ว
แต่เขาไม่ได้นึกถึงภรรยาที่เพิ่งแต่งเข้าเรือนมาอย่างผิงกั๋ว ไม่แม้แต่นึกถึงเรื่องนี้เลย
เขาไม่ได้คาดการณ์ถึงสิ่งนี้ว่าด้านหน้าของเส้นทางมืด ๆ เส้นนี้ จะมีผู้ใดรอคอยเขาอยู่ตรงหน้าอุโมงค์
……
……
ในอุโมงค์ที่เงียบสงัด เสียงต่าง ๆ ก็ปรากฏชัดเจนเป็นพิเศษ
อย่างเช่นเสียงของน้ำที่ไหลอยู่ใต้ดิน เสียงมดที่กำลังคลานข้ามกำแพง
แม่ชีเต๋าทั้งสองลืมตาขึ้น
มีเสียงฝีเท้าดังอยู่ข้างหน้า ทิศทางของจวนเซี่ยงอ๋อง
ไหวซู่เหลือบมองศิษย์พี่
ไหวเหรินสีหน้าเฉยชา
ทันใดนั้น เกิดเส้นแสงลอดผ่านเข้ามาจากเบื้องหน้า เกิดการหักเหของแสงอย่างแปลกประหลาดขึ้น
ราวกับว่าพื้นที่ว่างตรงนั้นเกิดการบิดเบี้ยวบางอย่างขึ้นมา
พลังแบบไหนกันที่สามารถทำให้พื้นที่ว่างในอากาศบิดเบี้ยวอย่างเงียบเชียบได้ถึงเพียงนี้
ไหวซู่รับรู้ได้ถึงลมปราณนั้น ก่อนเอ่ยด้วยความหวาดผวาว่า “นี่คือสิ่งใดกัน”
ไหวเหรินเลิกคิ้วเล็กน้อย ก่อนเอ่ยอย่างประหลาดใจว่า “ท่านใต้เท้าสังฆราชก็ลงมือแล้วหรือ”
……
……
เมื่อพื้นที่บนถนนเส้นนั้นบิดเบี้ยว ก็ปรากฏสถานการณ์คล้าย ๆ กันขึ้นบนท้องฟ้า
เกิดแสงกระจัดกระจายไปทั่วบนท้องฟ้าที่มืดสลัว พลันทำให้บริเวณโดยรอบของจวนเซี่ยงอ๋องสว่างขึ้นอย่างชัดเจน
แรงกดทับบางอย่างที่ไม่อาจพรรณนาได้ตกจากที่สูงลงสู่พื้น
ลมและหิมะรุนแรงขึ้นในทันใด
กรงเล็บมังกรดำตัวหนึ่งทะลุก้อนเมฆ และบินร่อนลงมาอย่างช้า ๆ
กรงเล็บของมังกรราวกับภูเขาสีดำ และเกล็ดบนนั้นเหมือนหน้าต่างที่มืดมน มันแผ่ความน่าสะพรึงกลัวออกมา
เหล่าแม่ทัพและผู้แข็งแกร่งไม่สามารถรักษาความสงบได้อีกต่อไป ต่างตะโกนโหวกเหวกด้วยความตื่นตระหนก
นักพรตเฒ่าผมสีดอกเลาลืมตาขึ้น และเปล่งแสงเจิดจ้าออกมา
แสงสว่างนั้นปกคลุมจวนเซี่ยงอ๋อง นี่เป็นค่ายกลที่ทรงพลังมาก
นักพรตเฒ่ามองไปบนท้องฟ้า และตะโกนด้วยเสียงที่เยือกเย็น “สัตว์เดรัจฉานต้องทรมานจนตาย!”
ก่อนที่เขาจะพูดจบ กระบี่นักพรตก็ออกมา กลายเป็นเส้นแสงที่รุนแรงยิ่งนัก มันบินขึ้นไปบนท้องฟ้า ผ่านเมฆหนาขึ้นไปและไม่รู้ว่าจะตัดลงที่ใด
เขารู้ว่าคู่ต่อสู้ของเขาในวันนี้แข็งแกร่งมาก แต่เขาก็ยังคงไร้ซึ่งความหวาดกลัว
กระบี่นี้ได้แช่แข็งการบำเพ็ญพรตทั้งชีวิตของเขาแล้ว และเข้าใกล้อาณาจักรศักดิ์สิทธิ์อย่างไร้ขีดจำกัดด้วย เมื่อรวมตัวกับค่ายกลของจวนเซี่ยงอ๋อง ตราบใดที่อีกฝ่ายไม่ใช่ผู้ยิ่งใหญ่ ก็ต้องบาดเจ็บกลับมาเป็นแน่
แต่เขาไม่รู้ว่าคู่ต่อสู้ที่แท้จริงในวันนี้ไม่ได้อยู่ในส่วนลึกของลมหิมะ แต่อยู่ในจวนเซี่ยงอ๋องมาโดยตลอด
เมื่อเขาทุ่มเทพลังงานทั้งหมดลงในกระบี่นั้น ชายผู้นั้นก็เคลื่อนไหวเช่นกัน
ชายคนนั้นยืนอยู่ในมุม ไหล่ของเขางุ้มลง และมีกระบี่ที่ดูธรรมดาเหน็บไว้รอบเอวของเขาอย่างหลวม ๆ
ไม่รู้ว่าเมื่อไหร่ นิ้วเรียวยาวของเขาจับด้ามกระบี่แน่น ซึ่งดูมั่นคงและกลมกลืนกันยิ่งนัก
หากมีคนเห็นภาพนี้ พวกเขาอาจเกิดภาพลวงตาขึ้นได้
มือและกระบี่ของเขารวมเป็นหนึ่ง
จะมีกระบี่ที่เร็วกว่านี้ได้อย่างไร
แสงดาบสว่างวาบ จากนั้นก็ดับไป
มันเหมือนพลุหรือดอกถานฮวา พอบานแล้วก็จะโรยทันที
หลุมสองหลุมปรากฏขึ้นบนกำแพงอิฐทั้งสอง
ปลายดาบแทงทะลุอาภรณ์นักพรตสีเขียว โลหิตหลั่งริน