ส่วนที่ 7 ภาคกล้าให้อาทิตย์ดวงจันทร์ผันเปลี่ยน ตอนที่ 49 การจัดการของเฉินฉางเซิง

ท้าลิขิตพลิกโชคชะตา

เกิดเสียงดังสนั่น

ผู้คนทั่วทั้งเมืองหลวงล้วนได้ยิน

ฝุ่นผงที่ไม่รู้ว่าอัดมากี่ปีร่วงลงมาจากบนคาน

เหล่าผสกนิกรบนถนนนั้นต่างมองอย่างสงสัยว่าเกิดเรื่องอันใดขึ้นกันแน่

เหล่าขุนนางในราชสำนักที่เพิ่งจะได้รับข่าวสารจากทางใต้พากันตกใจและพูดไม่ออก คิดในใจว่าภูเขาจะถล่มลงอีกหรือไม่

เสียงที่ดังสนั่นราวกับฟ้าผ่าค่อย ๆ หายไป

กรงเล็บมังกรที่ใหญ่โตนั้นก็ค่อย ๆ หดกลับไปด้านหลังเมฆ

ค่ายกลของจวนเซี่ยงอ๋องถูกทำลายลงแล้ว แม้ไม่ได้กลายเป็นซากปรักหักพังแต่ก็ใกล้เคียงนัก

สะพานไม้หักลง ศาลายามเย็นที่ทรุดโทรมเอียงตกลงไปในทะเลสาบ น้ำในทะเลสาบซัดเข้าฝั่งอย่างต่อเนื่อง ทำให้ทรายสีเหลืองทองได้กลายเป็นบ่อโคลน

จวนอ๋องเต็มไปด้วยหมอกควันและภัสมธุลี ได้ยินเสียงกรีดร้องไปทั่วทุกหนแห่ง บนกำแพงสีขาวและกระเบื้องสีแดงมองเห็นคราบโลหิตเลอะไปทั่ว

ด้านกำแพงที่หักโค่นลงมีเสียงเดินที่เป็นระเบียบของเหล่าอาจารย์พระราชวังหลี สถานการณ์วุ่นวายขึ้นไปอีก

ห้องโถงดอกไม้ที่อยู่ในส่วนลึกค่อนข้างเงียบ และอาคารยังคงสภาพสมบูรณ์ เพียงแต่มีหลุมอีกสองหลุมเพิ่มขึ้นที่มุม

ทันใดนั้น เกิดเส้นแสงสว่างจ้ากระจายออกมาจากในหลุมทั้งสอง มองดูแล้วคล้ายกับกระบี่

กำแพงที่ทำจากอิฐสีเขียว ราวกับกระดาษแผ่นหนึ่ง ซึ่งถูกตัดออกอย่างง่ายดาย

ทั้งมุมและชายคาที่ยกสูงถล่มลงมาเรียบเป็นหน้ากอง

ปังปังปังปัง

ในเสียงที่กระทบกระทั่งนั้น มีเสียงของอิฐและชายคาที่อยู่มายาวนานแตกละเอียดร่วงหล่นเป็นชิ้นเล็กน้อย

ถ้าพิศมองอย่างละเอียด จะเห็นเส้นตรงที่ซ่อนอยู่ในเศษเล็กเศษน้อยเหล่านี้ รวมทั้งขอบเรียบที่เปล่งประกายราวกับทองคำ

มุมกำแพงนั้นหายไปแล้ว แน่นอนว่าบุคคลผู้นั้นก็ปรากฏร่างของเขาออกมา

นักพรตเฒ่าหรี่ตาลงเล็กน้อย พยายามยืนยันตัวตนของอีกฝ่าย

ชายผู้นั้นสวมอาภรณ์เขียว แต่มันไม่ได้ทำให้นึกถึงเด็กหนุ่มอาภรณ์เขียวบาง มันทำให้คิดว่าเขาเป็นเพียงคนรับใช้ตัวเล็ก ๆ เท่านั้น

แน่นอนว่าเขาไม่ใช่คนรับใช้อาภรณ์เขียวแน่

นักพรตเฒ่าคาดเดาตัวตนของเขาได้อย่างรวดเร็ว

บนโลกนี้นอกจากคน ๆ นั้นแล้ว ผู้ใดจะหาช่วงเวลาที่เหมาะเจาะในการปลดปล่อยกระบี่ได้เช่นนี้อีกเล่า

กระบี่ของผู้ใดจะสามารถสังหารได้รวดเร็วและโหดร้ายมากเพียงนี้ ด้วยกระบี่เดียวกัน

นักพรตเฒ่าถอนหายใจก่อนเอ่ยว่า “คาดไม่ถึงเลยว่าท่านจะได้ขั้นเทพศักดิ์สิทธิ์ครึ่งหนึ่งแล้ว”

ชายหนุ่มในอาภรณ์เขียวก็คือหลิวชิง

หลังจากซูหลีและร่างลึกลับจากไปแล้ว เขาก็จะกลายเป็นนักฆ่าที่น่ากลัวที่สุดในโลก

เขาเป็นคนเดียวที่ได้รับขั้นเทพศักดิ์สิทธิ์ไปแล้วครึ่งก้าว แต่ยังคงยืนกรานที่จะทำเรื่องที่ไร้คุณธรรมในความมืดเช่นนี้ต่อไป

หลิวชิงไม่ได้ตอบคำถามอีกฝ่าย

นี่เป็นการระมัดระวังตัว และความเคยชินของมืออาชีพอย่างเขา

นักพรตเฒ่าเริ่มหงุดหงิด เลิกคิ้วเล็กน้อย

หลังจากนั้น คิ้วของเขาก็แตก

ตรงกลางคิ้วซ้ายของเขาเกิดแผลขึ้น

บาดแผลนั้นเล็กมาก แม้จะดูบอบบางมาก

หากนี่เป็นเพราะคมกระบี่ ก็สามารถจินตนาการได้ว่าการควบคุมกระบี่ในขณะนั้นเข้าใกล้ขั้นเทพศักดิ์สิทธิ์มากแล้ว

โลหิตซึมออกมาจากบาดแผลที่งดงามนั้น

นักพรตเฒ่าถอนหายใจ จากนั้นก็นั่งลงพิงกำแพง

โลหิตที่หลั่งรินออกมาจากบาดแผลนั้นมากขึ้นทุกที ให้ความรู้สึกน่ากระอักกระอ่วน

หลิวชิงไม่ได้มอง สายตาของเขาจ้องไปที่มือของนักพรตเฒ่า

นับตั้งแต่เริ่มต้นปรากฏตัว ก็เยี่ยงนี้นั่นเอง

ในมือของนักพรตเฒ่าไม่ได้กุมกระบี่ไว้

กระบี่เล่มนั้นหายไปในท้องฟ้า

แต่เขาก็ไม่ได้ผ่อนคลายความระมัดระวังลง

เนื่องจากมือของนักพรตนั้นยังทำท่าจับกระบี่อยู่เบาเบา

จวบจนกระทั่งตอนนี้ ในที่สุดนักพรตก็ค่อย ๆ คลายมือของเขาออก

หลังจากที่หยุดหายใจไปนาน เขาก็พ่นลมออกมา

ลมหายใจนี้ร้อนระอุและหนืดราวกับลาวา เพียงพริบตาเดียวก็ทำให้เกล็ดหิมะที่ลอยอยู่ในท้องฟ้ากลายเป็นควันสีเขียวในทันที

เสียงเยาะเย้ยดังขึ้น

เขาละสายตาจากมือไปหยุดบนใบหน้าของนักพรตเฒ่าอยู่นาน

นักพรตเฒ่าหลับตาลงและไม่หายใจอีกต่อไป

ในที่สุดเขาก็ได้ผ่อนคลายลงแล้วจริง ๆ สีหน้าไม่ได้ปรากฏความเบิกบาน แต่เป็นใบหน้าที่ซีดขาว

เพื่อจะสังหารฝ่ายตรงข้าม เขาเองก็ได้รับบาดเจ็บอย่างสาหัส

……

……

หากไม่มีค่ายกลแล้วก็ไม่มีความแข็งแกร่ง นักพรตเฒ่านี้เมื่ออยู่ต่อหน้าพลังอำนาจที่ยิ่งใหญ่อย่างพระราชวังหลีแล้ว การต้านทานของจวนเซี่ยงอ๋องก็ดำเนินไปได้เพียงระยะเวลาอันสั้นเท่านั้น

ไม่นานพระราชวังหลีก็สามารถควบคุมจวนอ๋องทั้งหมดไว้ได้ และระหว่างทางยังถือโอกาสควบคุมจวนอ๋องอีกสองแห่งที่อยู่ติดกันอีกด้วย

หู้ซานสือเอ้อร์เอ่ยกำชับผู้ใต้บังคับบัญชา “อย่าละเลยบรรดาฮูหยินในจวนเหล่านั้น”

ในที่สุดสำนักฝึกหลวงก็เปิดฉากโจมตีต่อราชวงศ์ ไม่ว่าหลังจากนี้เรื่องราวจะเป็นอย่างไร ยามนี้น่าจะได้รับผลประโยชน์มากพอแล้ว สมุดบัญชียางเล่มและเรื่องราวที่เป็นความลับเหล่านั้นเป็นสิ่งที่พระราชวังหลีต้องเอามาให้ได้ จะจัดการคนเหล่านั้นในจวนอ๋องอย่างไรก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง

อาจารย์ที่มาจากกระทรวงสิบสามชิงเหย้ารวมถึงเหล่าอาจารย์นักเวทย์ของพระราชวังหลี กำลังทำการรักษาพยาบาลผู้ที่ได้รับบาดเจ็บ

ในซากปรักหักพังนั้นสามารถมองเห็นแสงศักดิ์สิทธิ์เรืองรองออกมาอยู่เนือง ๆ จากนั้นก็เกิดเสียงร้องครวญครางด้วยความเจ็บปวดขึ้น

แม้แต่ผู้บาดเจ็บในจวนเซี่ยงอ๋องเองก็ได้รับการรักษาเช่นกัน ซึ่งแน่นอนว่าต้องต่อคิวรออยู่หลังจากเหล่าอาจารย์จากพระราชวังหลี

นักพรตซือหยวนเลิกคิ้วเล็กน้อย มือขวาของเขาลูบเข็ดขัดที่โก่งออกมา

เขาไม่ค่อยเห็นด้วยกับวิธีการปฏิบัติเยี่ยงนี้ แต่นี่เป็นการสั่งการจากท่านใต้เท้าสังฆราช

ยาจูซาขวดนั้นที่อยู่ในเข็มขัด ก็เป็นท่านใต้เท้าสังฆราชเช่นกันที่มอบให้เขาเองกับมือ

แม้แต่ผู้ที่เคล็ดวิชาแสงศักดิ์สิทธิ์ไม่สามารถช่วยได้ แต่เมื่อมียาจูซานี้ก็คงยากที่จะสิ้นลม

แน่นอนว่าคนที่สิ้นชีพไปแล้วเหล่านั้นไม่มีทางมีชีวิตกลับมาได้

นักพรตซือหยวนมองไปยังนักพรตเฒ่าที่อยู่ข้างกำแพงที่แตกหักด้วยความรู้สึกที่ซับซ้อนในแววตา

นักพรตเฒ่าท่านนั้นผอมบางตัวเล็ก ศีรษะขาวโพลนนั้นยุ่งเหยิง ทั่วทั้งกายเต็มไปด้วยโลหิต

ต่อให้เป็นบุคคลที่แข็งแกร่งเพียงใด หลังจากสิ้นชีวิตแล้วก็ล้วนดูตัวเล็กและอ่อนแอ

เขาทราบถึงที่มาและฐานะของนักพรตเฒ่าผู้นี้

นักพรตเฒ่าผู้นี้คือบุคคลที่เขาและและราชันย์แห่งหลิงไห่หวาดกลัวที่สุด

หลายปีมานี้ ตำหนักเทียนไฉ่ส่งคนมากมายไปยังเมืองลั่วหยางเพื่อจับตาดูอารามฉางชุน โดยเฉพาะอย่างยิ่งนักพรตเฒ่าผู้นี้

นักพรตเฒ่าเพิ่งจะจากเมืองลั่วหยางมา เขาและราชันย์แห่งหลิงไห่ทราบก็นำเรื่องนี้รายงานแก่เฉินฉางเซิงทันที

ในตอนนั้นเฉินฉางเซิงกำลังฝึกกระบี่ในห้องศิลา ไม่ได้แสดงความรู้สึกใด

จวบจนกระทั่งวันนี้ นักพรตซือหยวนถึงได้ทราบว่า แท้จริงแล้วท่านใต้เท้าสังฆราชได้เตรียมการไว้ตั้งแต่แรก

เขาวางสายตาไปยังจุดหว่างคิ้วของนักพรตเฒ่าผู้นั้น

ยังคงมีร่องรอยเจตนากระบี่หลงเหลืออยู่หลายรอย

เจตนากระบี่นั้นก็เหมือนกับปุยขาวของเม็ดหลิวที่จะหักไม่หัก ละเอียดเล็กมาก และชัดเจนมากเช่นกัน

ลมหนาวพัดมาสัมผัส ช่างรู้สึกขมขื่นกับตัวเอง

นักฆ่าคนนั้นน่ากลัวเพียงใดที่สามารถสังหารนักพรตเฒ่าผู้นี้ได้

เมื่อนึกถึงเงาสีเขียวในส่วนลึกของสายลมและหิมะนั้น เขาเลิกคิ้วเล็กน้อยพลางคิดถึงความสัมพันธ์ระหว่างท่านใต้เท้าสังฆราชกับหลิวชิง

ในขณะนั้นก็มีคนสามคนปรากฏตัวขึ้นในซากปรักหักพัง

นักพรตซือหยวนมิได้ตกตะลึง และก็ไม่ได้แสดงสีหน้าระแวดระวังออกมา เห็นได้ชัดว่าเขารู้ถึงการมีอยู่ของอุโมงค์นี้ในห้องโถงบุปผา

เขาแสดงความเคารพไปยังแม่ชีเต๋าทั้งสองท่านนั้น ก่อนเอ่ยว่า “คารวะท่านผู้อาวุโสทั้งสอง”

ไหวซู่ เอ่ยด้วยเสียงเงียบขรึมว่า “ในเมื่อพวกเจ้าต้องการลงมือ เหตุใดไม่เอ่ยกับเทพธิดาศักดิ์สิทธิ์ตรง ๆ”

แม่ชีเต๋าผู้มีนิสัยบ้าดีเดือด เห็นได้ชัดว่าอารมณ์ไม่ใคร่ดีนัก

หากว่านักพรตซือหยวนมิได้เป็นผู้อาวุโสของสำนักฝึกหลวงผู้ซึ่งดูแลโถงศักดิ์สิทธิ์แล้วละก็ นางคงแสดงความเกรี้ยวกราดออกมามากกว่านี้เป็นแน่

นักพรตซือหยวนยิ้มขมขื่น “ข้าเองก็เพิ่งทราบแผนการของท่านใต้เท้าสังฆราชก่อนมานี่เอง”

เมื่อได้ฟังคำนี้ ไหวซู่ก็ตกใจชะงักงัน แต่เป็นไหวเหรินที่มีความประหลาดใจเล็กน้อย

นักพรตซือหยวนรู้ดีว่ายากที่จะอธิบายให้ชัดเจนได้ จึงไม่เอ่ยให้มากความและมองไปยังอีกฝ่าย

ด้วยความช่วยเหลือจากนักพรตอารามฉางชุนทั้งสาม เฉินหลิวอ๋องยังคงไม่สามารถดำเนินไปถึงแม่น้ำลั่วที่อยู่ห่างไกลจากเมืองฮั่นเฉิงถึงพันกว่าลี้

ใบหน้าของเขาสีเผือด บนร่างกายเปรอะเปื้อนโลหิต แต่สีหน้าแววตายังคงสงบนิ่งอย่างเคย

นักพรตซือหยวนมีความนับถือ และยังรู้สึกว่าการจัดการของท่านใต้เท้าสังฆราชอาจไม่เหมาะสม