ส่วนที่ 7 ภาคกล้าให้อาทิตย์ดวงจันทร์ผันเปลี่ยน ตอนที่ 50 มูลเหตุของสรรพสิ่ง

ท้าลิขิตพลิกโชคชะตา

สายลมพัดผ่านซากปรักหักพัง แขนเสื้อพลิ้วไหว และค่อย ๆ ปรากฏเจตนาสังหารออกมา

ผู้อื่นอาจสัมผัสถึงมันไม่ได้ แต่เฉินหลิวอ๋องกลับแจ้งใจยิ่งนัก

เขาจับจ้องไปที่ดวงตาของนักพรตซือหยวน ก่อนเอ่ยออกมาทีละคำว่า “เฉินฉางเซิงไม่มีทางสังหารข้า”

แม่ชีเต๋าไหวซู่ชะงักไป จากนั้นจึงได้เข้าใจในเจตนาของเขา จิตใต้สำนึกบอกว่าต้องออกหน้าห้ามปราม แต่กลับพบว่าศิษย์พี่ของตนมิได้เอ่ยอันใดออกมา

แม่ชีเต๋าไหวเหรินมองไปทางทิศใต้ของเมืองหลวง ไม่รู้ว่ากำลังขบคิดเรื่องอันใดอยู่ นางมิได้สนใจสิ่งที่กำลังจะมาถึง

ขณะนั้น มีดสั้นเล่มหนึ่งได้ปรากฏขึ้นบนกำแพงที่หักพังในห้องโถงบุปผา ตัดลมที่ล่องลอยและความเป็นไปได้บางอย่างออกไป

เมื่อนักพรตซือหยวนมองไป มีดสั้นเล่มนั้นได้กลับไปยังแขนเสื้อของอีกฝ่ายแล้ว

หู้ซานสือเอ้อร์ได้ยุติการตรวจค้นจวนอ๋องแล้ว

นักพรตซือหยวนเอ่ยด้วยสีหน้าไร้ความรู้สึกว่า “บางคราความเมตตาก็เปรียบได้ดั่งความโง่งม”

หู้ซานสือเอ้อร์เอ่ยอย่างถ่อมตนว่า “ในเมื่อเป็นปณิธานของฝ่าบาท เช่นนั้นเรื่องผิดพลาดก็เหมือนเรื่องที่ถูกต้อง ความโง่งมเป็นได้เพียงพวกเราเท่านั้น”

มันอาจฟังดูย้อนแย้ง แต่ความเป็นจริงแล้วความหมายช่างง่ายดาย

แม้ว่าท่านใต้เท้าสังฆราชจะผิด แต่นั่นก็หมายถึงถูก

หากว่าท่านใต้เท้าสังฆราชผิดจริงน่ะหรือ โปรดย้อนไปดูคำกล่าวก่อนหน้า

นักพรตซือหยวนถอนสายตาออกมาจากเฉินหลิวอ๋อง สายลมที่พัดพาแขนเสื้อปลิวไสวก็หยุดลงแล้ว

หู้ซานสือเอ้อร์อธิบายสถานการณ์ที่กำลังเผชิญอยู่อย่างง่าย ๆ

ตั้งแต่เทือกเขาเผ่ามารถล่มลงมา จวบจนถึงบรรดาอาจารย์จากพระราชวังหลีที่ควบคุมถนนไท่ผิงอยู่ รอบด้านของเมืองหลวงเกิดเรื่องราวมากมาย แต่ในความเป็นจริงนั้นมันเป็นเพียงช่วงเวลาที่สั้นนัก

ทางด้านสุสานเทียนซูนั้นยังคงอยู่ในสถานการณ์เผชิญหน้ากัน แม้จะต้องเผชิญหน้ากับบุคคลที่เป็นตำนานอย่างแท้จริงผู้นั้น สวีโหย่วหรงก็ไม่มีเจตนาล่าถอย

ไหวเหรินและไหวซู่ก็มาถึงยังถนนเส้นนี้ตั้งแต่รุ่งสาง พวกนางไม่รู้เลยว่าเกิดเรื่องอันใดขึ้นบ้างที่สุสานเทียนซู

เมื่อพวกนางทราบว่าแม้แต่หวังจือเช่อยังปรากฏตัวแล้ว แน่นอนว่าต้องตกตะลึงมาก

“เหตุใดท่านผู้อาวุโสหวังจึง ……”

ไหวซู่นั้นประหวั่นเป็นอย่างมากจนไม่สามารถเอ่ยคำใดต่อไปได้

ไหวเหรินคิดในใจว่าเพราะอย่างนี้เองตนถึงได้สังหรใจว่าทางใต้จะเกิดเรื่อง นางครุ่นคิดอยู่ครู่ใหญ่ก่อนเอ่ยว่า “พวกเราไปสุสานเทียนซูกันเถิด”

ไหวซู่เอ่ยด้วยน้ำเสียงสั่นเทาว่า “นั่นคือท่านผู้อาวุโสหวังเชียวนะ”

ไหวเหรินเอ่ยตอบอย่างสงบนิ่ง “ต่อให้เป็นท่านผู้อาวุโสหวัง ก็มิอาจสังหารผู้ใด ณ เทือกเขาเทพธิดาศักดิ์สิทธิ์แห่งนี้ได้”

เมื่อเอ่ยจบ นางก็นำไหวซู่ไปจากจวนเซี่ยงอ๋อง โดยมุ่งไปที่สุสานเทียนซู

ในช่วงเวลาแบบนี้แล้วยังสามารถตัดสินใจอย่างกล้าหาญเด็ดขาดเยี่ยงนี้ได้ เหล่าอาจารย์ของพระราชวังหลียิ่งเพิ่มพูนความเคารพที่มีต่อแม่ชีเต๋าไหวเหรินหรือเทือกเขาเทพธิดาศักดิ์สิทธิ์มากขึ้นไปอีก

นักพรตซือหยวนมิได้สนใจเรื่องเหล่านี้ เขามองไปยังเฉินหลิวอ๋องอีกครั้ง ก่อนเอ่ยว่า “หากมีโอกาส วันนี้ข้าก็ยังจะต้องสังหารท่าน”

หู้ซานสือเอ้อร์ที่ได้ฟังอยู่ข้าง ๆ รู้สึกจนใจยิ่งนัก แต่รู้ดีว่าทำอะไรไม่ได้ เนื่องจากนักพรตซือหยวนกล่าวว่าหากมีโอกาส

เฉินหลิวอ๋องเอ่ยถาม “เจ้าอยากสังหารข้าหรือ”

นักพรตซือหยวนตอบ “หลายปีก่อนข้าก็อยากสังหารท่าน เพราะข้ารู้สึกว่าท่านเป็นตัวปัญญา”

ในตอนนั้นเขาเป็นคนหนุ่มที่จักรพรรดินีเทียนไห่และท่านใต้เท้าสังฆราชล้วนให้ความชื่นชม และเพิ่งจะได้เป็นมหามุขนายก

เฉินหลิวอ๋องเป็นเหมือนตัวแทนเพียงคนเดียวของราชนิกูลสกุลเฉินยังคงอยู่ในเมืองหลวง ซึ่งมีความสำคัญต่อใจของผสกนิกรและเหล่าขุนนางยิ่งนัก

เฉินหลิวอ๋องเอ่ยว่า “หากเป็นดั่งที่ม่ออวี่ว่าไว้ เจตนาสังหารของเจ้านั้นก็มากนัก”

นักพรตซือหยวนเอ่ยว่า “เหตุใดจึงต้องมาวุ่นวายความสัมพันธ์ระหว่างข้าและนาง ในตอนนั้นที่ม่ออวี่เอ่ยถึงเจ้า ต่อให้เป็นท่านใต้เท้าสังฆราช ข้าก็อยากสังหาร”

เฉินหลิวอ๋องทราบดีว่าเขาหมายถึงเรื่องใด

เรื่องราวในปีนั้นที่สำนักฝึกหลวงถูกล้อมโจมตี มักจะเห็นนักพรตซือหยวนปรากฏตัวเสมอ

บางคราก็จิบชาในโรงน้ำชาบนถนนร้อยบุปผา หรือบางคราก็จดจ้องไปที่ซากกำแพงปรักหักพังที่มีเถาวัลย์สีเขียวระโยงระยางในความมืด

ในครานั้นเฉินหลิวอ๋องยืนอยู่ตรงหน้าเขา สิ่งที่เขาต้องทำก็คือปกป้องเฉินฉางเซิง

เพียงแต่สถานการณ์ในตอนนี้กลับกันแล้ว

หู้ซานสือเอ้อร์นำเฉินหลิวอ๋องเดินออกจากจวนอ๋องไป

เมื่อมองเห็นสวนรกร้าง และศพที่กลาดเกลื่อนไปทั่ว เฉินหลิวอ๋องก็เงียบไป

เขาไม่รู้ว่าพระราชวังหลีจะนำเขาไปจองจำไว้ ณ ที่แห่งใด ไม่รู้ว่านักพรตซือหยวนจะหาโอกาสลอบสังหารเขาหรือไม่ และก็ไม่รู้ว่าเขาควรจะภาวนาให้เฉินฉางเซิงหรือซางสิงโจวชนะดี

หากว่ามองจากมุมความปลอดภัยในชีวิตเขาแล้วแน่นอนว่าต้องเป็นคนแรกชนะ

แต่นั่นมิได้จุดจบแบบที่เขาอยากจะเห็น

เขารู้เพียงว่าไม่ว่าสุดท้ายแล้วเป็นซางสิงโจวที่ได้รับชัยชนะหรือว่าเฉินฉางเซิงที่ได้รับชัยชนะในวันนี้ เขาและบิดาของเขาต่างก็พ่ายแพ้ล่วงหน้าไปแล้ว

ภายใต้เงื่อนไขที่ต่างฝ่ายก็ต่างยังไม่ลงมือ

หรืออาจเป็นเพราะเขาและบิดาเองก็ไม่ได้พร้อมจะลงมือจริง ๆ จึงได้พ่ายแพ้อย่างสิ้นเชิงเสียเช่นนี้

ในตอนนี้ดูเหมือนเขาและบิดาของเขา เหล่าอ๋องตระกูลเฉิน หรือแม้แต่ซางสิงโจวเองล้วนประเมินค่าความเด็ดเดี่ยวของเฉินฉางเซิงต่ำไป

เป็นจริงดังที่ว่า อำนาจสูงสุดก็คือยาพิษกร่อนกระดูก ผู้ใดจะต้านทานเรื่องเย้ายวนใจพรรค์นี้ได้เล่า

……

……

ด้านในของพระราชวังหลีมิได้มีหิมะโปรยปรายแต่กลับดูหนาวเหน็บยิ่งนัก หรืออาจจะเป็นเพราะความเย็นชากระมัง

ในสนามนั้นเหลือคนเพียงสองคนเท่านั้น

อู๋เต้าจื่อนั่งบนพื้นสีเขียวที่เย็นเฉียบ ผมเผ้ายุ่งเหยิง พันผ้าพันแผลเปรอะเลือด ดูน่าอดสูยิ่งนัก

ยามนี้เขาโกรธเคืองเป็นอย่างมาก แทบอดใจไม่ไหวที่จะถามไถ่ถึงบรรพบุรุษทั้งสิบแปดรุ่นของเฉินฉางเซิงโดยไม่สนว่าในนั้นจะมีบิดาของปู่ทวดอยู่หรือไม่

แต่เขาไม่กล้าทำเช่นนั้น เนื่องจากหญิงสาวที่สวมชุดอาภรณ์ไว้ทุกข์สีขาวยืนอยู่เบื้องหลังพวกเขา

ใบหน้าที่งดงามของอันหวาเต็มไปด้วยความกังวลใจ

นางกำมีดสั้นไว้ในมือและไม่มองไปที่อื่น เพียงแต่จ้องมองไปที่หลังคอของอู๋เต้าจื่อเท่านั้น

เมื่อท่านใต้เท้าสังฆราชจากไป ท่านได้รับสั่งไว้อย่างชัดเจนว่า หากมีการเปลี่ยนแปลงใดนางจะต้องสังหารผู้เฒ่านี้ทันที

มหามุขนายกทั้งสองก็สั่งสอนไว้อย่างชัดแจ้ง หากประสงค์จะสังหารผู้ใด ทางที่ดีก็คือสะบั้นศีรษะมันลงเสีย

……

……

เฉินฉางเซิงเดินออกจากพระราชวังหลี

อาจารย์ผู้ฝึกและผู้เข้าสอบที่เข้าร่วมการสอบใหญ่ล้วนอยู่ในโลกใบไม้คราม

เหล่าฝูงชนที่มาเฝ้าดูเรื่องราวความตื่นเต้นครึกครื้นต่างสลายตัวไปแล้ว เสาศิลาพลันเงียบลงไปด้วย

เขาเข้าใจว่าตนนั้นตัวคนเดียว เตรียมพร้อมที่จะเผชิญหน้ากับโลกใบนี้ และหลีกเลี่ยงไม่ได้ที่จะรู้สึกโดดเดี่ยวอยู่บ้าง

แต่เมื่อเขากำลังจะถอนหายใจนั้น กลับมองเห็นถังซานสือลิ่วเข้า

นี่ทำให้เขาประหลาดใจ ทั้งยังรู้สึกกระอักกระอ่วนเล็กน้อย

ถังซานสือลิ่วเอ่ยว่า “ในเมื่อเจ้าสามารถเขียนจดหมายให้แก่กวนไป๋ล่วงหน้าได้ เจ้าก็สามารถบอกข้าได้เช่นกัน”

เสียงของเขาสงบนิ่งขณะเอ่ยคำนี้ แต่มันกลับแฝงความรำคาญใจอยู่ในนั้น

เฉินฉางเซิงเอ่ยตอบ “ข้าทราบดีถึงวิธีการจัดการสิ่งต่าง ๆ ของตระกูลถัง เช่นน้นข้าจึงไม่อยากลากเจ้ามาเกี่ยวข้องด้วย”

ถังซานสือลิ่วเอ่ยว่า “ในเมื่อจะจัดการ ก็ต้องจัดการอย่างสายฟ้าแลบ หรือว่าเจ้าไม่เห็นด้วยกับวิธีจัดการของเทพธิดาศักดิ์สิทธิ์”

เฉินฉางเซิงเอ่ยว่า “วีธีการของโหย่วหรง เป็นวิธีการที่ดีที่สุดในสถานการณ์เยี่ยงนี้แล้ว”

ใช้อนาคตของเผ่าพันธ์มนุษย์มาข่มขู่คนอย่างซางสิงโจว อาจดูแล้วไร้เดียงสาและน่าขำ แต่ที่จริงแล้วหาได้เป็นอย่างนั้นไม่

เพราะซางสิงโจวเข้าใจดีว่าความไร้เดียงสามักจะหมายถึงความเย็นชาและไร้หัวจิตหัวใจอย่างแท้จริง

หากมิใช่เพราะหวังจือเช่อปรากฏตัวขึ้นอย่างกะทันหันในวันนี้ สวีโหย่วหรงอาจจะทำสำเร็จก็เป็นได้

ถังซานสือลิ่วเอ่ยถาม “ตอนนี้เจ้าคิดจะทำการใด”

เฉินฉางเซิงตอบ “ไม่ว่าการบำเพ็ญพรตหรือว่าความฉลาด ข้าก็เทียบโหย่วหรงไม่ได้ แต่บางครั้งข้าก็ไร้เดียงสากว่าหน่อย”

แม้ในสถานการณ์ที่ตึงเครียดเช่นนี้ แต่เมื่อได้ฟังคำพูดเหล่านั้น ถังซานสือลิ่วก็อดไม่ได้ที่จะเยาะเขาเสียสองสามประโยค

แต่เขาไม่ได้ทำเช่นนั้น เนื่องจากเขาพอจะคาดเดาได้ว่าเฉินฉางเซิงต้องการจะสื่ออะไร

ยิ่งไร้เดียงสาเท่าใด ยิ่งเย็นชาเท่านั้น ความหมายนี่น่ะหรือ

เฉินฉางเซิงทราบดีว่าเขากังวลอะไร พลางตบไหล่เขา ก่อนเดินไปทางใต้

ถังซานสือลิ่วยืนตกตะลึงอยู่ครู่ใหญ่ ก่อนจะได้สติและรีบติดตามไป