“แม้ผลการฝึกตนจะถูกกดอัดลงมาอยู่มหาจักรพรรดิยุทธ์ขั้น 9 ขั้นสูง แต่ผลการฝึกตนของร่างกลหลี่ยู่กลับเทียบทัดกับเทพมารช่วงกลาง ตกลงผลการฝึกตนต้องอยู่ระดับใดกันแน่ ถึงจะสามารถสยบกลั่นแปรสำนักเต๋าบานนี้ได้?”

หลัวซิวขมวดคิ้วแน่น“หรือว่าแดนกฎของข้ายังไม่เพียงพอ?”

สำนักเต๋าเสวียนเทียนนี้มีความลี้ลับอันลึกซึ้งของกฎปริภูมิซ่อนอยู่ และปัจจุบันการตระหนักรู้ของเขาที่มีต่อกฎปริภูมิอยู่ในช่วงบรรลุผล เมื่ออยู่ในระดับมหาจักรพรรดิยุทธ์ก็จัดได้แค่อยู่ในระดับทั่วไป

“ในเมื่อไม่สามารถกลั่นแปรได้ เช่นนั้นก็ใช้อำนาจฝืนยึดครองมันไปเลยแล้วกัน!”

หลัวซิวหยีตาลงเล็กน้อย ก่อนที่เขาจะกระตุ้นวรยุทธ์ในทันที นำผลการฝึกตนทั้งหมดยักย้ายถ่ายเทเข้าไปยังตำหนักจื่อเซียวในห้วงจักรหยั่งรู้

“โครม!”

ภายใต้การยักย้ายถ่ายเทผลการฝึกตนทั้งหมด ทำให้ตำหนักจื่อเซียวที่ชำรุดหลังนี้สั่นสะเทือน ราวกับพระเจ้าที่หลับลึกกำลังจะฟื้นตื่นขึ้นมายังไงอย่างนั้น

ระดับขั้นของตำหนักจื่อเซียวนี้สูงมาก ๆ เป็นทรัพย์สมบัติที่สำคัญที่กลั่นโดยราชาเทพ แม้มันจะชำรุดแต่กลับไม่ใช่สิ่งที่คนทั่วไปสามารถควบคุมได้

ภายใต้สถานการณ์ที่หลัวซิวยักย้ายถ่ายเทผลการฝึกตนทั้งหมดเข้าไป เขาก็แค่สามารถทำให้ตำหนักนี้สั่นไหวชั่วขณะเท่านั้น ยังห่างไกลจากระดับที่สามารถเรียกมันออกมาและปลดปล่อยอานุภาพของมัน

“เจ้าหนู เจ้าคิดว่าจะสามารถกระตุ้นตำหนักจื่อเซียวได้ง่าย ๆ อย่างนั้นหรือ? ไม่ต้องพูดถึงผลการฝึกตนที่ต่ำเกินไปของเจ้า การจะควบคุมตำหนักจื่อเซียวนั้น ยังต้องใช้วิชาพลังอมตะพิเศษเท่านั้นถึงจะสามารถควบคุมมันได้”เสียงของจิตภัณฑ์หงเทียนดังขึ้นอย่างกะทันหัน

“ส่งมา!”หลัวซิวพูดกระแทกเสียงอย่างเยือกเย็น ตำหนักจื่อเซียวเป็นสมบัติที่หงเทียนฝึกเซ่นขึ้นมา วิชาพลังอมตะพิเศษที่กล่าวถึงนั้น จึงมีเพียงเขาเท่านั้นที่ทราบ

“จากผลการฝึกตนของเจ้า ไม่สามารถกระตุ้นตัวตำหนักจื่อเซียวได้หรอก แต่ทว่าก็สามารถเรียกภาพมายาของศัสตราวุธแห่งราชาออกมาได้อยู่ บางทีอาจจะมีโอกาสยึดครองสำนักเต๋านี้ไปก็เป็นได้”

หงเทียนไม่ได้พูดอะไรมากนัก เบ้ปากก่อนจะถ่ายทอดวิชาควบคุมตัวตำหนักจื่อเซียวให้แก่หลัวซิว แล้วพูดอย่างอิจฉา: “นี่มันสำนักเต๋าเสวียนเทียนเลยนะเนี่ย หากฝึกเซ่นยกระดับขั้นของมันอย่างต่อเนื่องละก็ ไม่แน่มันน่าจะพัฒนากลายเป็นสำนักเต๋าอัญมณีชิ้นที่สองก็เป็นได้!”

“มหาอิทธิฤทธิ์ระดับราชาเทพ!”

เมื่อได้รับวิชาควบคุมน้ำหนักจื่อเซียว หลัวซิวก็รู้สึกตะลึงอยู่เล็กน้อย เขาทราบอยู่ว่าหงเทียนเป็นอดีตราชาเทพ จึงต้องมีวิชาพลังอมตะที่สูงลึกมาก ๆ เป็นธรรมดาอยู่แล้ว

แต่ทว่าปากของเจ้าหงเทียนนี่กลับแข็งมาก ๆ ให้ตายยังไงก็ไม่ยอมถ่ายทอดวิชาของตัวเองให้แก่เขา

การประนีประนอมในครั้งนี้ก็เพื่อทำให้ได้ยึดครองสำนักเต๋าเสวียนเทียนเช่นกัน การที่มันสามารถทำให้หงเทียนให้ความสำคัญเช่นนี้ อีกทั้งพึมพำระลึกจดจำอยู่ในใจมาเสมอนั้น ก็พอจะเห็นได้แล้วว่าสำนักเต๋านี้ไม่ธรรมดามากเพียงใด

ตำหนักจื่อเซียวคือมหาอิทธิฤทธิ์ระดับราชาเทพ เมื่อใช้พลังอมตะนี้ฝึกเซ่นตำหนักได้หนึ่งหลัง ก็ยิ่งสามารถทำให้พลานุภาพของพลังอมตะแข็งแกร่งมากยิ่งขึ้น ยิ่งใหญ่เกรียงไกรจนมิอาจมีผู้ใดต่อกลอนด้วยได้

แต่ทว่าหลัวซิวกลับพบว่าพลังอมตะนี้มีส่วนบกพร่อง จากคำพูดของหงเทียน เขาบอกว่าถึงแม้จะเป็นตัวเขาเอง ก็ไม่ได้รับพลังอมตะมาในแบบที่สมบูรณ์ครบถ้วน

“มาตรแม้นเป็นพลังที่ไม่สมบูรณ์ครบถ้วน แต่ก็เป็นมหาอิทธิฤทธิ์ระดับราชาเทพ หากเป็นพลังที่สมบูรณ์ครบถ้วนละก็ เช่นนั้นมันจะไม่บรรลุถึงระดับมกุฎเทพหรือจักรพรรดิเทพเลยหรือ”หลัวซิวแอบตะลึงงัน และรู้สึกใฝ่หาในโลกาโกลาหลที่เป็นถิ่นกำเนิดของหงเทียน

หากบอกว่าโลกแสงดาวเป็นจุดเริ่มต้นของเขา เช่นนั้นโลกเสวียนเทียนก็เป็นแค่จุดพักจุดเดียวเท่านั้น เป้าหมายสูงสุดของเขาคือเดินทางไปยังมหาโลกา ไปสำรวจมหาพิภพ!

ใช้หมื่นจักรวาลไร้รูปมาอนุมาน หลัวซิวก็เรียนรู้แก่นสารของวังเซียนจื่อเซียวได้แล้ว เสี้ยวนาทีที่ใช้จิตนึกคิด ตำหนักจื่อเซียวที่ชำรุดก็สั่นไหวขึ้นมาอีกครั้ง

จากการที่ผลการฝึกตนของหลัวซิวถูกตำหนักจื่อเซียวดูดกลืนดุจกระแสน้ำอย่างต่อเนื่อง บนอากาศเหนือศีรษะเขา มีปราณม่วงตลบฟุ้งไปทั่ว ก่อนที่จะมีเงาลวงของตำหนักจื่อเซียวปรากฏออกมาให้เห็น

ปราณม่วงหนึ่งแผ่กระจายออกไป พันธนาการสำนักเต๋าเสวียนเทียนเอาไว้ เงาลวงของสำนักเต๋าเสวียนเทียนสั่นไหวแล้วดึงสำนักเต๋านั่นขึ้นมา

เห็นเพียงขนาดของสำนักเต๋าเสวียนเทียนยิ่งอยู่ยิ่งเล็กลง เมื่อมันใกล้เข้ามาตรงหว่างคิ้วของหลัวซิว ขนาดของมันก็หดเล็กลงจนเท่าเล็บนิ้วมือ ก่อนที่มันจะหายเข้าไปตรงหว่างคิ้วของเขา

บทที่ 1176

“ดูดเอาไปแล้วหรือ?”

ด้านนอกวังเซียน ผู้แข็งแกร่งจากแดนศักดิ์สิทธิ์ทุกแดนต่างมองหน้ากันและกัน กาลเวลาผ่านมายาวนานอย่างนับไม่ถ้วน ยังไม่เคยมีผู้ใดกลั้นแปรสำนักเต๋าเสวียนเทียนได้สำเร็จมาก่อน นึกไม่ถึงเลยว่ามันจะถูกคนอื่นฝืนใช้อำนาจยึดครองไปแล้วอย่างนั้นหรือ?

และสิ่งที่สำคัญที่สุดคือผู้ที่ได้ครอบครองสำนักเต๋าเสวียนเทียน เป็นผู้ที่ทุกคนที่อยู่ในที่เกิดเหตุต่างไม่ทราบประวัติความเป็นมาของเขา

“แย่แล้ว!”

และในตอนนี้เอง สีหน้าของหลัวซิวก็เปลี่ยนไปอย่างกะทันหัน หลังจากที่สำนักเต๋าเสวียนเทียนเข้ามากลางหว่างคิ้วของเขาแล้ว ประตูก็เปิดออกอย่างฉับพลัน มีพลังดูดกลืนวิญญาณที่แข็งแกร่งพรั่งพรูออกมา กลืนกินตำหนักจื่อเซียวที่ชำรุดบกพร่องไปโดยตรง

พลังที่มากมายมหาศาลนี้ปะทุออกอย่างเฉียบพลัน แทบจะทำให้ตัวหยั่งรู้ของเขาแตกสลาย ส่งผลให้เขากระอักเลือดออกมาเฮือกใหญ่

“มันได้รับบาดเจ็บแล้ว!”

“ฆ่ามันแล้วแก่งแย่งสำนักเต๋ากลับมา!”

ผู้แข็งแกร่งจากแดนต่าง ๆ เห็นหลัวซิวกระอักเลือด พวกเขาจึงบ้าคลั่งขึ้นมาภายในพริบตา พลังอมตะและอาวุธที่นับไม่ถ้วนแผ่คลุมไปทั่วทั้งแผ่นฟ้า พุ่งตรงเข้ามาทางเขาอย่างเสียงดังสะเทือนเลื่อนลั่น

“เกราะเทพเวหากาล!”

มีรัศมีเทวเปล่งประกายอยู่รอบตัวหลัวซิว ช่วงเวลาที่ได้เผชิญหน้ากับความอันตราย เขาทำได้เพียงเรียกใช้เกราะเทพอีกครั้ง พุ่งทะยานออกไปจากการโจมตีที่มากมายก่ายกองในชั่วพริบตาเดียว และบินสู่ขอบฟ้าอันไกลโพ้น

เกราะเทพเวหากาลคืออัญเทพฟ้า มากกว่านั้นคือมันถือเป็นอาวุธขั้นสูงในบรรดาอัญเทพฟ้าทั้งหมด ภายใต้การกระตุ้นเกราะเทพเวหากา เขาสัมผัสได้ถึงผลการฝึกตนที่ลดฮวบหายไปอย่างรวดเร็ว เกรงว่าคงค้ำจุนได้แค่ไม่กี่ชั่วโมง ผลการฝึกตนก็จะแห้งเหือด

ปีกเทพดาราไร้มลทิน!

เขาใช้สมบัติอีกครั้ง ความเร็วในการเคลื่อนที่พุ่งพรวดอย่างรวดเร็ว หายวับไปภายในพริบตา ความเร็วในการเคลื่อนที่ว่องไวมาก ๆ จึงทำให้ผู้แข็งแกร่งจากแดนต่าง ๆ อยู่ห่างไกลจากเขามากจนมองไม่เห็นฝุ่น

ในตำแหน่งที่ห่างออกไปไกลมาก ๆ มีลำแสงหนึ่งจมหายไปจากหว่างคิ้วของหลัวซิว ร่างกลวัฏสงสารของหลี่ยู่กลับคืนสู่ที่เดิม ผสมรวมเข้าไปในตัวหยั่งรู้ของร่างแยกความตาย

“โครมคราม…….”

ณ ตัวหยั่งรู้ของร่างกลวัฏสงสารหลี่ยู่ หลังจากที่สำนักเต๋าเสวียนเทียนกลืนกินตำหนักจื่อเซียวไปแล้ว ประตูก็ปิดลงอีกครั้ง มีเสียงฟ้าร้องดังลั่นออกมาจากภายในอยู่เป็นระยะ ๆ บางครั้งก็มีออร่าที่แข็งแกร่งยิ่งใหญ่จนมิอาจคาดเดาได้แพร่กระจายออกมาเช่นกัน ทำให้ตัวหยั่งรู้ของเขาสั่นสะเทือนอย่างไม่หยุดหย่อน แทบจะแตกสลายแล้ว

“แม่งเอ๊ย! ตำหนักจื่อเซียวของกู!”

หอกยุทธ์มังกรดำก็ปรากฏอยู่ในตัวหยั่งรู้เช่นกัน พุ่งโจมตีใส่ประตูใหญ่ของสำนักเต๋าเสวียนเทียนอย่างไม่หยุดหย่อน แต่กลับไม่สามารถทำอะไรมันได้เลยแม้แต่น้อย

ระยะเวลาการเปิดของโลกเซียนเสวียนเทียนจำกัดอยู่ที่หนึ่งปี แต่ทว่าเนื่องจากสำนักเต๋าเสวียนเทียนถูกคนยึดครองไปแล้ว จึงส่งผลให้เส้นทางแห่งการสั่งสมประสบการณ์นี้ แทบจะสิ้นสุดในระยะเวลาสั้น ๆ

ข่าวคราวแพร่งพรายออกไปถึงโลกภายนอก ผู้แข็งแกร่งจากแดนศักดิ์สิทธิ์ต่าง ๆ ล้วนตกใจมาก สีหน้าของเจ้านภาแต่ละคนต่างเปลี่ยนไปเยอะมาก

กฎปริภูมิที่แฝงซ่อนอยู่ในสำนักเต๋าเสวียนเทียนนั้นลึกลับและมหัศจรรย์อย่างมาก แม้จะเป็นสมบัติระดับสมบัติวิเศษ แต่ทว่าพลานุภาพของมันกลับไม่อ่อนกว่าอัญเทพฟ้า

ด้วยเหตุนี้มีเจ้านภาใดไม่จ้องสำนักเต๋าเสวียนเทียนตาเป็นมัน และอยากครอบครองมันมาเป็นเวลานานบ้าง?

แต่ปัจจุบันสำนักเต๋านั่นกลับถูกชายหนุ่มนิรนามคนหนึ่งแย่งไป เรื่องแบบนี้มันเหมือนดั่งเกิดคลื่นสึนามิแผ่นดินไหว ทำให้บานปลายไปทั้งโลกเสวียนเทียน

“พระเจ้า เอาไปได้แม้กระทั่งสำนักเต๋าเสวียนเทียน เมื่ออยู่ในแดนเดียวกัน ศักยภาพของชายหนุ่มคนนั้นแข็งแกร่งกว่าเจ้านภาเสียอีก แม้แต่อัจฉริยะผู้ภาคภูมิของสวรรค์อย่างเทียนหวูเชวยังต้องยอมศิโรราบ!”

“สำนักเต๋าเสวียนเทียนเป็นเพียงสมบัติวิเศษ แต่กลับมีพลานุภาพที่ไม่ด้อยกว่าอัญเทพฟ้า สักวันหากฝึกเซ่นยกระดับให้ถึงระดับอัญมณีแห่งเทพมาร สมบัติแห่งเทพฟ้าละก็ ผู้ใดเล่าจะต้านทานไหว?”

“ชายหนุ่มคนนั้นคือผู้ใด? หากเป็นศิษย์ในแดนศักดิ์สิทธิ์ใดแดนหนึ่ง เช่นนั้นก็จะอันตรายมาก”

“หากเป็นศิษย์ในแดนศักดิ์สิทธิ์ใดแดนหนึ่งจริง ๆ เขาปกปิดศักยภาพมานานเช่นนี้ หรือเขารอให้ทั้งโลกตกตะลึงในทีเดียวอยู่?”

กองกำลังต่าง ๆ ในโลกเสวียนเทียนต่างพากันวิพากษ์วิจารณ์ แต่ทว่าพวกเขากลับไม่สามารถตัดสินชี้ขาดประวัติความเป็นมาของชายหนุ่มที่ยึดครองสำนักเต๋าเสวียนเทียนไปได้เลย

“คงไม่มีผู้ใดคาดถึงสินะว่าผู้ที่ช่วงชิงสำนักเต๋าเสวียนเทียนไปคือข้า?”