ภายในห้องส่วนตัว ฉินอวี้โม่นั่งขัดสมาธิลงบนเตียงในขณะที่ซิวและมารยานั่งอยู่บนพื้น หนึ่งมนุษย์และสองอสูรกำลังศึกษาเพื่อทำความเข้าใจพลังของหินศักดิ์สิทธิ์ห้าสีด้วยกัน
คาดการณ์ได้ว่าภายในหินศักดิ์สิทธิ์ดังกล่าวอาจจะมีพลังศักดิ์สิทธิ์โบราณซ่อนไว้ และหากควบคุมมันได้ พวกนางก็จะได้รับผลประโยชน์อย่างมหาศาล
พลังของฉินอวี้โม่ติดอยู่ในสภาวะคอขวดมานานพอสมควรแล้ว หากข้างในหินศักดิ์สิทธิ์ห้าสีมีพลังอำนาจที่ซ่อนเร้นอยู่จริง มันก็อาจช่วยให้นางทะลวงพลังได้ต่อไป
ในเวลานี้ หินศักดิ์สิทธิ์ห้าสีกำลังลอยอยู่กลางอากาศโดยมีลำแสงหลากสีส่องสว่างออกมา ซึ่งเป็นภาพที่งดงามและน่าตื่นตายิ่งนัก
ฉินอวี้โม่ก็สงบจิตใจและถ่ายทอดพลังมายาเข้าไปในหินศักดิ์สิทธิ์ห้าสีโดยที่พยายามจะสัมผัสถึงพลังภายในนั้น
อย่างไรก็ตาม ทันทีที่พลังมายาของนางสัมผัสเข้ากับหินศักดิ์สิทธิ์ห้าสี มันกลับถูกดูดซับและหายไปอย่างไร้ร่องรอยโดยที่ไม่สามารถแทรกซึมเข้าไปในหินได้เลย
“เกรงว่าข้างในหินก้อนนี้คงจะมีพลังศักดิ์สิทธิ์โบราณหลงเหลืออยู่ นายหญิง…ครั้งนี้เราโชคดีมากทีเดียว”
มารยากล่าวขึ้น เดิมทีเทพธิดาหนี่ว์วาทิ้งหินศักดิ์สิทธิ์ห้าสีไว้เป็นจำนวนมากหลังจากขึ้นสู่สรวงสวรรค์ ทว่าพวกมันเหล่านั้นก็ไม่มีพลังศักดิ์สิทธิ์ของนางซ่อนเร้นไว้อยู่
ถึงแม้ว่าหินศักดิ์สิทธิ์ห้าสีตรงหน้าจะดูอ่อนแอไร้พลัง ทว่าจากปฏิกิริยาที่เกิดขึ้น เชื่อว่ามีความเป็นไปได้สูงที่จะมีพลังศักดิ์สิทธิ์ซ่อนอยู่ภายใน
อย่างไรก็ตาม ต่อให้ทราบว่าหินก้อนนี้มีพลังศักดิ์สิทธิ์โบราณซ่อนอยู่ หากต้องการดูดซับและนำมันมาใช้เพื่อประโยชน์ของตนเอง มันก็มิใช่เรื่องง่ายนัก พลังศักดิ์สิทธิ์โบราณถือเป็นสิ่งที่มีอยู่เพียงในตำนาน หากดูดซับได้อย่างง่ายดาย มันก็คงไม่มีคุณสมบัติพอที่จะถูกเรียกว่าเป็นพลังศักดิ์สิทธิ์โบราณซึ่งมีความพิเศษเหนือกว่าพลังมายาทั่วไป
“ข้าเคยคิดมาตลอดว่าเทพโบราณคงมีเพียงในตำนาน ไม่คิดเลยว่าพวกเขาจะมีอยู่จริง”
ฉินอวี้โม่ไม่ย่อท้อและยังคงพยายามสัมผัสถึงพลังที่ซ่อนอยู่ในหินศักดิ์สิทธิ์ห้าสีต่อไป น่าเสียดายที่ปฏิกิริยาของมันยังคงไม่เปลี่ยนแปลง ทันทีที่พลังมายาของนางสัมผัสเข้ากับหินศักดิ์สิทธิ์ห้าสี มันก็ถูกดูดซับไปอย่างรวดเร็วโดยที่ไม่เกิดการเปลี่ยนแปลงใด ๆ กับหินศักดิ์สิทธิ์ห้าสีเลยแม้แต่น้อย ต้องยอมรับว่าพลังศักดิ์สิทธิ์ที่อยู่ภายในลึกลับและน่าพิศวงอย่างแท้จริง
“แน่นอนว่ามีอยู่จริง ผู้แกร่งกล้าหลายคนในยุคโบราณล้วนไม่ต่างจากเทพผู้ยิ่งใหญ่ พลังของพวกเขาแกร่งกล้าจนเกินจินตนาการไปแล้ว อย่างไรก็ตาม ในภายหลังก็เกิดการเปลี่ยนแปลงบางอย่างและผู้แกร่งกล้าเหล่านั้นก็ล่มสลายไปเกือบทั้งหมด บางทีพวกเขาอาจเกิดใหม่เป็นมนุษย์แล้ว ทว่าพวกเขาก็ไม่สามารถฟื้นฟูพลังความแข็งแกร่งที่เคยมีในอดีตได้อีก”
ซิวกล่าวขึ้นอย่างจริงจัง เนื่องจากพลังที่ฟื้นฟูกลับคืนมาอย่างต่อเนื่อง ความทรงจำของมันก็ถูกกอบกู้กลับมามากขึ้นเรื่อย ๆ เช่นกัน สำหรับสิ่งที่เกิดขึ้นในยุคโบราณ มันเพิ่งจดจำบางอย่างได้เพิ่มเติมเมื่อไม่นานมานี้
เทพยุคโบราณล้วนมีพลังศักดิ์สิทธิ์เป็นของตนเอง อย่างเช่นหินศักดิ์สิทธิ์ห้าสีซึ่งมีพลังที่เทพธิดาหนี่ว์วาถือครองแต่เพียงผู้เดียว เทพอื่น ๆ ก็มีพลังศักดิ์สิทธิ์เป็นของตนเองเช่นกัน โดยพลังศักดิ์สิทธิ์เหล่านั้นจะกระจัดกระจายออกไปในรูปแบบต่าง ๆ เพื่อรอให้ผู้ที่ถูกโชคชะตาฟ้าลิขิตค้นพบพวกมัน
หากสามารถดูดซับหนึ่งในพลังศักดิ์สิทธิ์โบราณและเปลี่ยนให้มาเป็นพลังของตนเองได้ คนผู้นั้นก็จะกลายเป็นยอดฝีมืออันดับต้น ๆ อย่างแน่นอนและชีวิตก็จะก้าวเข้าสู่ช่วงเวลาแห่งความรุ่งโรจน์อย่างแท้จริง
อย่างไรก็ตาม จนกระทั่งปัจจุบันก็ยังไม่เคยมีผู้ใดทำเช่นนั้นได้สำเร็จ
“นายหญิง พลังของเทพมายาที่ท่านบ่มเพาะฝึกฝนถือเป็นหนึ่งในสาขาของพลังศักดิ์สิทธิ์โบราณเท่านั้นซึ่งแท้จริงแล้วมันอยู่ในเครือข่ายเดียวกันกับพลังศักดิ์สิทธิ์ของเทพธิดาหนี่ว์วา เพราะเหตุนั้น การที่ศึกษาทำความเข้าใจพลังในหินศักดิ์สิทธิ์ห้าสีจึงจะถือเป็นประโยชน์ต่อท่านมาก”
ซิวกล่าวเสริมซึ่งเป็นการยืนยันให้กับฉินอวี้โม่อีกครั้ง
“เข้าใจแล้ว ข้าจะศึกษามันอย่างใจเย็น”
แน่นอนว่าฉินอวี้โม่ไม่นึกสงสัยในวาจาของซิว นางเพียงใคร่ครวญเกี่ยวกับตัวตนของเทพในยุคโบราณ เทพเหล่านั้นจะเป็นเช่นที่นางจินตนาการไว้หรือไม่… หนี่ว์วา ผานกู่ สิงเทียนและเทพอื่น ๆ นั้น…แท้จริงพวกเขามีรูปลักษณ์เป็นเช่นไรกันแน่ ?
จากนั้นในขณะที่หนึ่งมนุษย์และสองอสูรเก็บตัวภายในห้องเพื่อศึกษาหินศักดิ์สิทธิ์ห้าสีต่อไป เวลาก็ผ่านไปอย่างรวดเร็ว และภายในชั่วพริบตา ทุกคนก็เดินทางมาถึงหน้านิกายพันปีศาจแล้วและใช้เวลาเดินทางเพียงแปดวันของโลกภายนอกเท่านั้น
รกรากถิ่นฐานของนิกายพันปีศาจเป็นวัดขนาดใหญ่ที่ตั้งอยู่บนภูเขาพันปีศาจ นอกเหนือจากผู้อาวุโสและผู้คุมกฎบางส่วน ศิษย์ส่วนใหญ่ในนิกายล้วนมีภาพลักษณ์เหมือนกับพระศีรษะล้าน เพราะเหตุนั้น นิกายพันปีศาจจึงมีชื่อเรียกอีกอย่างหนึ่งว่า ‘นิกายสงฆ์’
หากมิใช่เพราะพฤติกรรมของพระปีศาจเฉินเฟิงเซี่ยวที่โหดเหี้ยมและไร้ศีลธรรมเป็นอย่างมาก ชื่อเสียงของนิกายพันปีศาจคงจะไม่เสื่อมเสียเช่นปัจจุบัน เพราะถึงอย่างไร บรรดาศิษย์ของนิกายก็มักจะเก็บตัวอยู่เพียงในนิกายเพื่อฝึกฝนและแทบไม่ออกไปข้างนอก กล่าวได้ว่าพวกเขาเป็นเพียงศิษย์ที่เก็บตัวสงบเสงี่ยมและไม่ออกไปสร้างความเดือดร้อนให้กับผู้ใด
การกลับมาของเฉินคุนและคนอื่น ๆ ไม่ก่อให้เกิดปฏิกิริยาใดมากนัก เพราะคนเหล่านั้นก็ยังไม่ทราบว่าจ้าวนิกายของพวกตนถูกสังหารไปแล้ว ในเวลานี้ พวกเขาเพียงนึกสงสัยใคร่รู้เกี่ยวกับฉินอวี้โม่ที่เฉินคุนและคนอื่น ๆ พากลับมาด้วย อย่างไรก็ตาม ทุกคนไม่แสดงท่าทีเป็นปฏิปักษ์ใดออกมา
เฉินคุนเรียกผู้อาวุโสและผู้คุมกฎทั้งหมดมารวมตัวกันก่อนประกาศว่าฉินอวี้โม่จะเป็นจ้าวนิกายคนใหม่ของนิกายพันปีศาจในอนาคต
“ท่านผู้อาวุโสใหญ่ แล้วจ้าวนิกายคนเดิมของเราล่ะ ?”
ปฏิกิริยาของคนเหล่านี้ก็เหนือความคาดหมายของฉินอวี้โม่ไปพอสมควร พวกเขาไม่มีท่าทีตื่นเต้นหรือต่อต้านแต่อย่างใด และเพียงเอ่ยถามเกี่ยวกับความเป็นอยู่ของเฉินเฟิงเซี่ยวก่อน
“จ้าวนิกายเฉินเฟิงเซี่ยวถูกนายหญิงคนใหม่ของเราฆ่าตายไปแล้ว ในอนาคตข้างหน้า ไม่มีความจำเป็นที่นิกายพันปีศาจของเราจะต้องดำเนินตามวิถีเก่าอีกต่อไป และเราจะกลายเป็นขุมกำลังที่แข็งแกร่งจนไม่มีผู้ใดในดินแดนนี้ที่จะสั่นคลอนได้”
เฉินคุนไม่ปิดบังความจริงในขณะที่กล่าวเสริมเพื่อสร้างรากฐานที่ดีให้กับฉินอวี้โม่
การที่ได้ทราบว่าฉินอวี้โม่เป็นผู้ที่สังหารเฉินเฟิงเซี่ยวจะทำให้ทุกคนแสดงความเคารพต่อนางมากขึ้น และพวกเขาจะไม่กล้ามีความคิดออกนอกลู่นอกทางใด ๆ
“ข้าไม่สนใจหรอกว่าใครจะเป็นจ้าวนิกายของเรา เพียงแต่นิกายพันปีศาจของเราถูกเรียกว่าเป็นนิกายสงฆ์มาเสมอ หากจ้าวนิกายคนใหม่เป็นสตรี หลังจากเรื่องนี้แพร่ออกไป เราจะไม่ถูกเรียกว่าเป็นนิกายแม่ชีหรือ ?”
หนึ่งในผู้คุมกฎกล่าวขึ้นและมองฉินอวี้โม่พร้อมรอยยิ้มเล็ก ๆ
นิกายที่ถูกเรียกว่าเป็นนิกายสงฆ์มีจ้าวนิกายเป็นสตรี…เพียงนึกเช่นนี้ก็ถือว่าน่าขันยิ่งนัก
คนอื่น ๆ ก็คิดตามเช่นกันและอดหัวเราะออกมาไม่ได้
พวกเขาก็ไม่ได้ดูแคลนฉินอวี้โม่เพียงเพราะภายนอกนางจะดูอ่อนแอ ในทางตรงกันข้าม การได้มีจ้าวนิกายคนใหม่ถือเป็นเรื่องดีสำหรับพวกเขา ถึงอย่างไรชื่อเสียงของพระปีศาจเฉินเฟิงเซี่ยวก็ย่ำแย่มาเสมอส่งผลให้ผู้อื่นในดินแดนเกลียดขี้หน้าพวกเขาและทำให้พวกเขาตกอยู่ในสถานการณ์ที่ไม่น่าอภิรมย์แม้แต่น้อย
ในเมื่อเปลี่ยนผู้ปกครองคนใหม่ ตราบใดที่นางไม่ทำให้นิกายมีชื่อเสียงเสื่อมเสียเช่นเดิม พวกเขาก็รู้สึกโชคดีมากแล้ว
“แม่ชีก็แม่ชีสิ เหตุใดจะต้องไปสนใจความคิดของคนอื่นด้วยเล่า ? ตราบใดที่ทุกคนยอมจำนนต่อข้าอย่างเต็มใจ ข้าจะไม่ทำให้พวกเจ้าต้องผิดหวังอย่างแน่นอน !”
ฉินอวี้โม่ไม่สนใจคำเรียกเหล่านั้นแม้แต่น้อย ในเมื่อตัดสินใจสืบทอดอำนาจของนิกายพันปีศาจ นางก็พร้อมที่จะรับมือกับสถานการณ์ทุกรูปแบบ ยิ่งไปกว่านั้น นางก็รู้สึกประทับใจในกลุ่มคนของนิกายพันปีศาจมากทีเดียวและไม่สนใจความคิดของคนนอก
เฉกเช่นบทสนทนาระหว่างนางและมหาเทพแห่งความว่างเปล่าก่อนหน้านี้ นั่นคือสิ่งที่ถูกต้องและสิ่งที่ผิดมิใช่สิ่งที่ใครจะตัดสินได้ ตราบใดที่ทำในสิ่งที่มั่นใจว่าถูกต้อง ไม่ละเมิดหลักเกณฑ์ของชีวิตและไม่ทำให้ใครเดือดร้อน เท่านั้นก็ถือว่ามากเกินพอ
เพราะถึงอย่างไร ในดินแดนนี้ก็มีขุมกำลังจำนวนมากที่อ้างตนว่ายึดมั่นในความเป็นธรรมและอยู่ในศีลธรรมอันดี ทว่ากลับวางแผนทำสิ่งชั่วร้ายมากมายอยู่เบื้องหลัง เพียงแต่ไม่มีผู้ใดที่จะทราบความจริงได้หากปราศจากการสืบสวนที่จริงจัง
แทนที่จะเป็นคนดีมีศีลธรรมในสายตาของผู้อื่น ฉินอวี้โม่เลือกที่จะใช้ชีวิตอย่างอิสระตามใจตนเองจะดีกว่า อย่างน้อยมันก็สะดวกและง่ายดายกว่ามาก
“คารวะท่านจ้าวนิกายคนใหม่”
ทุกคนโค้งคำนับต่อฉินอวี้โม่อย่างพร้อมเพรียงกัน เห็นได้ชัดว่าความสามารถในการปรับตัวและยอมรับความเปลี่ยนแปลงของพวกเขาอยู่ในระดับที่สูงมากทีเดียว