สำหรับสมาชิกของนิกายพันปีศาจ การยอมจำนนต่อฉินอวี้โม่นั้นง่ายดายยิ่งกว่าการยอมจำนนต่อเฉินเฟิงเซี่ยวเสียอีก
พระปีศาจเฉินเฟิงเซี่ยวทั้งเผด็จการและโหดเหี้ยมเป็นอย่างมากซึ่งไม่เคยประนีประนอมในการทำสิ่งใด ในตอนแรกก่อนที่จะจำนนต่อเขา พวกเขาเหล่านี้ก็ถูกหลอกลวงโดยภาพลักษณ์ที่น่าเลื่อมใสของเฉินเฟิงเซี่ยว ในภายหลัง เมื่อได้ทราบความจริง พวกเขาก็ถูกเฉินเฟิงเซี่ยวข่มขู่และจำใจต้องยอมจำนนต่ออีกฝ่ายอย่างไม่มีทางเลือก
อันที่จริง พวกเขาไม่ต้องการติดตามบุคคลที่หน้าซื่อใจคดเช่นนั้นแม้แต่น้อย
แม้ไม่ทราบว่าฉินอวี้โม่สังหารเฉินเฟิงเซี่ยวได้อย่างไร เพียงได้เห็นเฉินคุนและคณะแสดงท่าทีเคารพนอบน้อมต่อฉินอวี้โม่ คนอื่น ๆ ในนิกายก็เชื่อว่าความแข็งแกร่งของฉินอวี้โม่คงจะไม่ธรรมดาแน่ และการได้ติดตามนางต่อไปย่อมดีกว่าการติดตามตาเฒ่าหัวล้านที่มีจิตใจโหดเหี้ยมผู้นั้น
“ข้าจะเก็บตัวฝึกฝนในนิกายหมื่นกระบี่สักระยะและจะมอบหมายหน้าที่ดูแลนิกายพันปีศาจให้กับพวกเจ้าไปก่อน ถึงอย่างไรข้าก็เป็นศิษย์ของนิกายหมื่นกระบี่ หลังจากกลับไปครานี้ ข้าจะอธิบายเรื่องนี้ให้ท่านผู้อาวุโสได้ทราบ ในภายภาคหน้า นิกายพันปีศาจของเราจะเก็บตัวอย่างสงบเสงี่ยมโดยที่หมั่นพัฒนาความแข็งแกร่งและจะไม่ออกไปก่อความวุ่นวายหรือยั่วยุขุมกำลังอื่น ๆ หากเกิดอะไรขึ้น ใช้สิ่งนี้เพื่อส่งข่าวไปหาข้าและข้าจะบอกอีกครั้งว่าควรทำอย่างไร”
ฉินอวี้โม่เตรียมความพร้อมก่อนกลับไป ถึงอย่างไร เฉินคุนและคนอื่น ๆ ก็เป็นผู้อาวุโสเดิมของนิกายพันปีศาจ การมอบหมายหน้าที่ดูแลความเรียบร้อยของนิกายให้กับพวกเขาจึงเป็นสิ่งที่ถูกต้องแล้ว เวลานี้ ตัวนางยังคงเป็นศิษย์ของนิกายหมื่นกระบี่จึงต้องอยู่ที่นั่นเพื่อฝึกฝนวิชาอย่างเต็มที่ ยิ่งไปกว่านั้น นางก็สนใจในคัมภีร์ลับวิชาหมื่นกระบี่หวนคืนเป็นอย่างมากและต้องการที่จะศึกษามันให้ได้
แน่นอนว่าฉินอวี้โม่เป็นคนที่ยึดหลักปฏิบัติอย่างชัดเจน ในเมื่อเป็นจ้าวนิกายของนิกายพันปีศาจแล้ว นางก็ไม่คิดที่จะปิดบังเรื่องนี้จากนิกายหมื่นกระบี่เช่นกัน หากคนที่นั่นไม่ยอมให้นางฝึกฝนในนิกายหมื่นกระบี่ต่อไปเพราะเรื่องนี้ นางก็จะยอมรับมันและถอนตัวออกจากนิกายหมื่นกระบี่ทันทีเพื่อมิให้คนในนิกายหมื่นกระบี่ต้องลำบากใจ
อย่างไรก็ตาม จากความเข้าใจที่นางมีเกี่ยวกับคนของนิกายหมื่นกระบี่ ต่อให้ทราบเรื่องนี้ นางเชื่อว่าพวกเขาจะไม่เนรเทศนางออกจากนิกายอย่างแน่นอน
“ขอรับ ท่านจ้าวนิกาย !”
บรรดาผู้อาวุโสของนิกายพันปีศาจตอบรับอย่างพร้อมเพรียงกันและมีความสุขยิ่งนักที่ฉินอวี้โม่ยกให้พวกตนเป็นผู้อาวุโสของนิกายต่อไป
“ท่านจ้าวนิกาย ท่านอยู่ที่นิกายพันปีศาจสักพักเถอะ เมื่อศิษย์ของเราทราบถึงตัวตนของท่านและจดจำท่านได้แล้ว การกลับไปในตอนนั้นก็ยังไม่ถือว่าสายเกินไป”
เฉินคุนกล่าวเสนอขึ้น เวลานี้ศิษย์ในนิกายพันปีศาจยังไม่ทราบเกี่ยวกับความเปลี่ยนแปลงของจ้าวนิกายและควรจะแจ้งให้พวกเขาทราบอย่างเป็นทางการเสียก่อน สำหรับการเดินทางกลับนิกายหมื่นกระบี่ ฉินอวี้โม่ยังสามารถพักอยู่ที่นิกายพันปีศาจได้อีกหลายวันก่อนที่จะต้องกลับไปที่นั่น
“ตกลง ข้าจะทำตามนั้น ถึงเวลาที่จะหาความบันเทิงให้กับมิตรสหายของข้าเช่นกัน”
ฉินอวี้โม่เองก็มีความคิดนี้อยู่เช่นกัน นางจึงพยักศีรษะตอบตกลงโดยเร็ว
เฉินคุนไม่รอช้าและสั่งให้คนเตรียมงานเลี้ยงทันทีในขณะที่คนอื่น ๆ เรียกรวมตัวศิษย์ของนิกายพันปีศาจ
ณ ลานจัตุรัสกลางวัด บรรดาศิษย์ของนิกายพันปีศาจมารวมตัวกันอย่างรวดเร็ว พวกเขามองไปที่ฉินอวี้โม่ด้วยแววตาที่สงสัยใคร่รู้และคาดเดาได้เพียงว่าพวกนางคงจะเป็นสาเหตุที่มีการเรียกรวมตัวอย่างกะทันหันเช่นนี้
“ทุกคน ข้าเรียกพวกเจ้ามาพบในวันนี้เพราะมีเรื่องอยากจะประกาศให้ทราบโดยทั่วกัน นับจากวันนี้ไป นิกายพันปีศาจจะเปลี่ยนจ้าวนิกายและจ้าวนิกายคนใหม่ของเราคือช่างหลอมระดับจักรพรรดิผู้นี้ สำหรับจ้าวนิกายคนก่อน เขาถูกจับตัวและถูกสังหารโดยจ้าวนิกายคนใหม่ของเราแล้ว ในภายภาคหน้า เราทุกคนจะต้องเชื่อฟังคำสั่งของจ้าวนิกายคนใหม่และมาช่วยกันทำให้ภาพลักษณ์ของนิกายเราต่อโลกภายนอกเปลี่ยนแปลงไปอย่างสิ้นเชิง !”
เฉินคุนแนะนำตัวฉินอวี้โม่ให้กับทุกคน และเนื่องจากกลัวว่าคนเหล่านั้นอาจไม่ยอมรับในตัวนางนัก เขาจึงเน้นย้ำตัวตนในฐานะช่างหลอมระดับจักรพรรดิของนาง
ทุกคนในที่นี้ล้วนตระหนักดีว่าช่างหลอมระดับจักรพรรดิหมายถึงอะไร การได้มีช่างหลอมระดับจักรพรรดิเป็นจ้าวนิกายถือเป็นเกียรติของพวกเขาทุกคน ยิ่งไปกว่านั้น การมีช่างหลอมฝีมือดีเป็นจ้าวนิกายจะช่วยให้นิกายพันปีศาจดึงดูดยอดฝีมือเข้ามาร่วมได้มากยิ่งขึ้น หากมีเวลาที่มากพอ นิกายพันปีศาจก็อาจจะมีโอกาสพัฒนาจนกลายเป็นหนึ่งในขุมกำลังอันดับต้น ๆ ของดินแดนได้
เพราะเหตุนั้น คนของนิกายพันปีศาจจึงปรับตัวกับความเปลี่ยนแปลงได้อย่างรวดเร็ว
“คารวะท่านจ้าวนิกาย”
ทุกคนโค้งคำนับและแสดงความเคารพต่อฉินอวี้โม่ด้วยความนอบน้อม
“ทุกคนไม่ต้องสุภาพมากนักหรอก ในอนาคตต่อไป เราจะเป็นเหมือนครอบครัวเดียวกัน เราจะมีความชิงชังต่อสิ่งเดียวกันและต่อสู้กับศัตรูเคียงข้างกันต่อไป”
ฉินอวี้โม่โบกมือให้กับทุกคนและส่งสัญญาณให้พวกเขาลุกขึ้นตามเดิม
“อย่างไรก็ตาม ในเมื่อข้าเข้ามาดำรงตำแหน่งผู้นำของนิกายพันปีศาจแล้ว นิกายของเราก็ควรจะมีกฎเกณฑ์ใหม่ หลักปรัชญาการใช้ชีวิตของข้าคือหากไม่มีใครที่สร้างปัญหาให้กับข้าก่อน..ข้าก็จะไม่หาเรื่องกวนใจใครเช่นกัน สำหรับเรื่องราวในอดีตของนิกาย ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น ข้าจะปล่อยผ่านไป ทว่าในภายภาคหน้า ทุกคนควรเก็บตัวอย่างสงบเสงี่ยมเพื่อฝึกฝนพัฒนาตนเองและคุ้มกันอาณาเขตของนิกายพันปีศาจ หากใครหน้าไหนกล้าบุกรุกเข้ามาหรือคิดโจมตีนิกายพันปีศาจของเรา รีบบอกข้าโดยเร็วที่สุด แม้นิกายของเราจะเป็นเพียงขุมกำลังระดับสอง เราก็ไม่กลัวใครหน้าไหนหรือขุมกำลังใดทั้งสิ้น ! ทุกคนเข้าใจรึไม่ ?”
น้ำเสียงของฉินอวี้โม่เต็มไปด้วยความหนักแน่นและแสดงจุดยืนของตนอย่างชัดเจน รวมถึงประกาศแนวโน้มทิศทางของนิกายพันปีศาจในอนาคต
“รับทราบขอรับ ท่านจ้าวนิกาย !”
ไม่ทราบเช่นกันว่าเพราะเหตุใด คนของนิกายพันปีศาจจึงรู้สึกใจสั่นเล็กน้อยเมื่อได้ยินวาจาหนักแน่นของฉินอวี้โม่
ในอดีตเมื่อครั้งที่เฉินเฟิงเซี่ยวเป็นจ้าวนิกาย เขามักจะสั่งการและบีบบังคับให้คนในนิกายทำภารกิจที่พวกเขาไม่ต้องการทำ ยิ่งไปกว่านั้น เขาก็ไม่เคยกล่าวว่าจะต่อสู้เคียงข้างกันหรือแม้แต่จะปกป้องพวกเขาด้วยซ้ำ
ทว่าฉินอวี้โม่กลับยืนยันเช่นนี้ตั้งแต่ต้น แม้ความแข็งแกร่งภายนอกของฉินอวี้โม่จะอ่อนแอกว่าเฉินเฟิงเซี่ยว ทว่านางก็มีเสน่ห์บางอย่างที่กระตุ้นขวัญกำลังใจของพวกเขาได้โดยง่ายและทำให้พวกเขามีความมั่นใจมากยิ่งขึ้น
“ท่านจ้าวนิกาย หากขุมกำลังระดับหนึ่งเหล่านั้นเข้ามาหาเรื่องกวนใจพวกเราล่ะขอรับ ?”
ศิษย์คนหนึ่งอดเอ่ยถามขึ้นไม่ได้ ในเมื่อเป็นเพียงขุมกำลังระดับสองและมีชื่อเสียงในทางเสื่อมเสียมานาน พวกเขาย่อมไม่มีโอกาสเอาชนะต่อขุมกำลังระดับหนึ่ง หากขุมกำลังระดับหนึ่งบุกเข้ามาหาถึงที่ พวกเขาทราบดีว่าคงจะรับมือไม่ได้
“แน่นอนว่าเราก็ต้องตอบโต้กลับ ต่อให้เราจะมิใช่คู่มือของขุมกำลังระดับหนึ่งเหล่านั้น เราก็ต้องแสดงให้โลกได้รู้ว่าหากกล้าคิดที่จะโจมตีนิกายพันปีศาจของเรา พวกเขาก็ต้องเผชิญกับความสูญเสียด้วยเช่นกัน !”
ฉินอวี้โม่ตอบกลับอย่างไม่ลังเลและคำพูดของนางก็ทำให้ทุกคนตื่นเต้นขึ้นมา ในเมื่อมีจ้าวนิกายที่หนักแน่นและเด็ดเดี่ยวเช่นนี้ นิกายพันปีศาจของพวกเขาจะแตกต่างไปจากอดีตอย่างแน่นอน…
หลังจากที่ปลุกระดมสมาชิกจากนิกายพันปีศาจ ฉินอวี้โม่และคนอื่น ๆ ก็แยกไปยังเรือนที่เป็นที่พำนักของเฉินเฟิงเซี่ยวในอดีต
เฉินคุนก็จัดเตรียมทุกอย่างใหม่และนำข้าวของทั้งหมดของอดีตจ้าวนิกายออกไปทิ้ง นับจากนี้ไป ที่แห่งนี้จะเป็นเรือนส่วนตัวของฉินอวี้โม่
“ท่านจ้าวนิกาย หากมีสิ่งใดที่ท่านต้องการเพิ่มเติมหรือต้องการเปลี่ยนแปลงสิ่งใด เชิญสั่งข้าน้อยได้เลยนะขอรับ ข้าจะส่งคนไปจัดเตรียมให้ทันที”
เฉินคุนแสดงท่าทีที่เคารพนอบน้อมต่อฉินอวี้โม่เป็นอย่างมาก และหลังจากที่กล่าวขึ้นเช่นนี้ เขาก็ปล่อยให้นางได้ตรวจดูเรือนที่พักของตน
“เรียบร้อยดี ไม่มีอะไรต้องเปลี่ยนแปลงหรอก”
ในฐานะผู้อาวุโสใหญ่ของนิกายพันปีศาจ ความสามารถในการจัดสรรทุกอย่างของเฉินคุนย่อมอยู่ในระดับที่ดีมาก และเมื่อได้ทราบเช่นนี้ ฉินอวี้โม่ก็สามารถกลับไปฝึกฝนที่นิกายหมื่นกระบี่ได้อย่างวางใจและไม่ต้องกังวลเกี่ยวกับความเรียบร้อยของนิกายพันปีศาจ
“ฮี่ ๆ ๆ ต่อไปนี้เราคงต้องเรียกพี่อวี้โม่ว่าท่านจ้าวนิกายแล้วสินะ ?”
เถาเซี่ยวเซี่ยวก้าวออกมายืนข้างฉินอวี้โม่และหัวเราะเสียงดังอย่างมีความสุข