เมื่อฉินอวี้โม่กลายเป็นจ้าวนิกายคนใหม่ของนิกายพันปีศาจ เถาเซี่ยวเซี่ยวและทุกคนก็ล้วนมีความสุขและยินดีกับนางอย่างยิ่ง
แม้นิกายหมื่นกระบี่จะเป็นขุมกำลังที่ยอดเยี่ยม การที่ฉินอวี้โม่ได้ขึ้นเป็นจ้าวนิกายของขุมกำลังระดับสองแห่งอื่นก็ถือเป็นเรื่องที่ดีกว่า
“หากต่อไปพวกเราอยู่ร่วมกันที่นิกายหมื่นกระบี่ไม่ได้อีก เราจะมาที่นี่เพื่อเที่ยวเล่นกับศิษย์น้องอวี้โม่ได้รึไม่ ?”
เซียวหมิงกล่าวพร้อมรอยยิ้มและหยอกล้อกับฉินอวี้โม่อย่างเป็นกันเอง
“ข้ายินดีต้อนรับทุกคนเสมอ”
หลังจากผ่านพ้นวิกฤตในหมู่บ้านกล้วยไม้เมฆา ฉินอวี้โม่และคณะศิษย์เหล่านี้ก็มีความสัมพันธ์ที่สนิทสนมใกล้ชิดกันมากยิ่งขึ้นซึ่งกล่าวได้ว่าเป็นความสัมพันธ์แบบสหายที่ร่วมเป็นร่วมตายมาด้วยกัน
“หรือว่าเราจะไม่กลับไปที่นั่นดีล่ะ ? ข้าว่าที่นี่ก็น่าอยู่ไม่น้อยเลย”
เมิ่งจวินกล่าวพร้อมรอยยิ้มกว้าง ศิษย์หลายคนของนิกายพันปีศาจทำให้เขารู้สึกถูกชะตาและเชื่อว่าการได้อยู่ที่นี่คงจะให้ความรู้สึกที่สบายใจอย่างมาก
“ไม่ได้ หากไม่กลับไป นั่นก็หมายความว่าเราจะปล่อยให้นังแพศยาเฉินหว่านเอ๋อร์ลอยหน้าลอยตาได้ต่อไป เราต้องกลับไปที่นิกายและเปิดโปงแผนการชั่วร้ายของนาง จากนั้นก็ขับไล่นางออกไปจากนิกายหมื่นกระบี่เสีย หากต้องการจะมาที่นี่ เราก็ยังมีโอกาสกลับมาอีกในอนาคต ข้าเชื่อว่าแม่ชีที่งดงามที่สุดคงจะไม่รังเกียจพวกเรา”
เถียนซินกัดฟันกล่าวในประโยคครึ่งแรกซึ่งแสดงถึงความคับแค้นใจอย่างชัดเจน อย่างไรก็ตาม เมื่อมาถึงประโยคครึ่งหลัง คำว่า ‘แม่ชีที่งดงามที่สุด’ ของนางก็ทำให้ทุกคนหัวเราะพรวดออกมา
จ้าวนิกายของนิกายสงฆ์กลับกลายเป็นสตรีและยังเป็นผู้ที่เรียกได้ว่างดงามที่สุดในดินแดน เพราะเหตุนั้น คงไม่มีคำใดเหมาะสมไปมากกว่าคำว่าแม่ชีที่งดงามที่สุดอีกแล้ว
“เป็นชื่อที่ไพเราะทีเดียว ในภายภาคหน้า เมื่อผู้คนนึกถึงนิกายพันปีศาจ พวกเขาจะไม่ได้นึกถึงนิกายสงฆ์หรือพระปีศาจอีกต่อไป หากแต่เป็นพี่อวี้โม่—แม่ชีที่งดงามที่สุดของพวกเรา หลังจากที่นิกายพันปีศาจพัฒนาจนกลายเป็นขุมกำลังระดับหนึ่ง พวกเราที่เป็นสหายของแม่ชีผู้งดงามก็คงจะโด่งดังมากขึ้นเป็นแน่”
เถาเซี่ยวเซี่ยวบิดตัวไปมาราวกับจะทรงตัวไม่อยู่อีกต่อไป คำว่า ‘แม่ชีที่งดงามที่สุด’ ทำให้นางหัวเราะจนตัวโยก เพียงนึกถึงภาพที่ฉินอวี้โม่ถูกกล่าวถึงด้วยชื่อนั้น นางก็กลั้นหัวเราะไว้ไม่อยู่
แม้แต่เหลิ่งซวงเสวี่ยที่มักจะวางตัวเย็นชาก็มีรอยยิ้มประดับบนใบหน้า ความตึงเครียดที่นางแสดงออกมาเมื่อครั้งยังอยู่ในหมู่บ้านกล้วยไม้เมฆาได้ถูกขจัดออกไปแล้ว
หลังจากเดินสำรวจและพูดคุยกันทั่วบริเวณเรือน ท้องฟ้าก็ค่อย ๆ มืดหม่นลง
คนของนิกายพันปีศาจก็จัดเตรียมโต๊ะที่เต็มไปด้วยอาหารและเครื่องดื่มไว้สำหรับงานเลี้ยงแล้ว งานเลี้ยงครั้งนี้จะถูกจัดขึ้นที่ลานจัตุรัสและสมาชิกทั่วทั้งนิกายก็จะเฉลิมฉลองร่วมกันทั้งหมด
เมื่อฉินอวี้โม่และทุกคนมาถึง บรรดาศิษย์ของนิกายก็ล้วนอยู่กันพร้อมหน้าพร้อมตาแล้ว และทันทีที่นางปรากฏตัว ทุกคนก็ให้การต้อนรับอย่างอบอุ่น
ฉินอวี้โม่และสหายโบกมือตอบรับคนเหล่านั้นก่อนเดินตรงไปยังโต๊ะใหญ่สำหรับพวกตน แน่นอนว่าเถาเซี่ยวเซี่ยวและคนอื่น ๆ นั่งลงถัดจากนาง ผู้อาวุโสสี่คนที่ยอมจำนนต่อฉินอวี้โม่ในหมู่บ้านกล้วยไม้เมฆาซึ่งนำโดยเฉินคุนก็นั่งร่วมโต๊ะกับฉินอวี้โม่เช่นกัน ในขณะที่คนอื่น ๆ ที่เหลือนั่งประจำตำแหน่งของตน บรรยากาศของนิกายในเวลานี้มีชีวิตชีวาและคึกคักเป็นอย่างมาก
“ข้าขอกล่าวคำอวยพรสักหน่อย นับจากนี้…ข้าหวังว่านิกายพันปีศาจของเราจะพัฒนาไปในทางที่ดีและเจริญรุ่งเรืองต่อ ๆ ไป”
ฉินอวี้โม่กล่าวพร้อมหยิบแก้วสุราขึ้นและดื่มหมดภายในรวดเดียว
ทุกคนก็หยิบแก้วสุราของตนและดื่มพร้อมรอยยิ้มเช่นกัน
“ท่านจ้าวนิกาย สำหรับความขัดแย้งที่เกิดขึ้นก่อนหน้านี้ เราทั้งหมดต้องขออภัยจริง ๆ”
เฉินคุนและอีกสามคนยืนขึ้นก่อนยกแก้วสุราของตนเองและกล่าวขอโทษอย่างจริงใจ
“ทั้งหมดเป็นเรื่องเข้าใจผิดกันและมันจบไปแล้ว ตอนนี้เรามองอนาคตข้างหน้ากันดีกว่า”
ฉินอวี้โม่โบกมือให้กับพวกเขาและบ่งบอกว่านางไม่สนใจเกี่ยวกับเรื่องราวที่เกิดขึ้นก่อนหน้านี้พร้อมกับยกแก้วสุราตอบรับอีกฝ่าย
คนอื่น ๆ ก็พยายามหาเรื่องขึ้นมาพูดคุยกับฉินอวี้โม่และแสดงความยินดีกับนางไปตาม ๆ กัน
ไม่ว่าผู้ใดที่เข้ามาอวยพรให้กับนาง นางก็จะไม่ปฏิเสธทั้งสิ้นและดื่มสุราหมดรวดเดียวในทุกครา ซึ่งกิริยาท่าทางที่เด็ดเดี่ยวองอาจเช่นนี้ก็ทำให้ชาวนิกายพันปีศาจยอมรับในตัวนางมากยิ่งขึ้น
“ท่านจ้าวนิกายของเราไม่เพียงแต่งดงามเท่านั้น ทว่ายังดื่มเก่งเช่นกัน ไม่อาจทราบได้เลยว่านางมีคู่หมั้นคู่หมายหรือคนรักแล้วหรือยัง ? หากไม่มี ข้าเองก็อยากจะลองเสี่ยงดวงดู”
ศิษย์ที่มีอายุอยู่ในช่วงยี่สิบปีคนหนึ่งกล่าวขึ้นขณะมองฉินอวี้โม่ด้วยแววตาเป็นประกาย
แม้นิกายพันปีศาจของพวกเขาจะมีศิษย์สตรีเพียงไม่มาก นั่นก็ไม่ได้หมายความว่าพวกเขาไม่เคยพบเห็นสตรีงามมาก่อน พวกเขาเคยเห็นสตรีโฉมงามที่ถูกจัดเป็นอันดับต้น ๆ ของดินแดนมาบ้างแล้ว ทว่าความงามและเสน่ห์ของพวกนางยังห่างไกลจากจ้าวนิกายคนใหม่ของพวกเขาอีกหลายขุมนัก
ทั้งรูปลักษณ์และอิริยาบถของจ้าวนิกายพันปีศาจคนใหม่ของพวกเขามิใช่สิ่งที่สตรีที่ถูกจัดว่างดงามที่สุดในดินแดนจะเทียบได้ด้วยซ้ำ
สำหรับบรรดาสหายที่นั่งอยู่รอบตัวจ้าวนิกายของพวกเขา พวกนางก็ล้วนมีความงามที่ไม่น้อยหน้าใครในดินแดน ทว่าเมื่อนั่งอยู่ข้างจ้าวนิกายคนใหม่ของพวกเขา สตรีเหล่านั้นก็ถูกบดบังโดยความงามของฉินอวี้โม่จนกลายเป็นเพียงสตรีธรรมดาที่ไร้ความโดดเด่นไปเลย
“หยุดเพ้อฝันเสียเถอะ คนเช่นเจ้าไม่คู่ควรที่จะเป็นคู่ครองของท่านจ้าวนิกาย ไม่คู่ควรแม้กระทั่งเช็ดรองเท้าให้นางด้วยซ้ำ”
บุรุษอีกคนตอบโต้ด้วยความจริงที่มิอาจปฏิเสธ
“นั่นสิ อยากรู้นักว่าคนแบบใดกันที่คู่ควรกับจ้าวนิกายของเรา ? อีกอย่าง…ท่านจ้าวนิกายก็เป็นถึงช่างหลอมระดับจักรพรรดิและคงจะไม่เยาว์วัยนัก บางทีนางอาจจะมีบุตรแล้วก็เป็นได้ เจ้าตัดใจซะเถอะ”
ศิษย์อีกคนกล่าวขึ้นเช่นกัน ทว่าเขากลับคาดเดาบางอย่างได้ถูกต้อง
“ข้าไม่สนใจหรอก ทุกคนล้วนชื่นชอบในความงดงาม ต่อให้ท่านจ้าวนิกายจะแต่งงานแล้ว มันก็ไม่ส่งผลต่อความชื่นชมที่ข้ามีต่อนาง นับจากนี้ไป…ท่านจ้าวนิกายจะเป็นเทพธิดาเพียงหนึ่งเดียวในใจข้าและยังถือเป็นสตรีที่งดงามที่สุดในดินแดนนี้ !”
ดูเหมือนว่าศิษย์ผู้นั้นจะดื่มสุรามากจนเกินไปและใช้เสียงที่ดังพอสมควร เพราะเหตุนั้น ฉินอวี้โม่และคนอื่น ๆ ที่นั่งอยู่ในโต๊ะหลักจึงได้ยินอย่างชัดเจน
มีคนไม่น้อยที่มีความคิดเช่นเดียวกับเขาและยกให้ฉินอวี้โม่เป็นเทพธิดาในดวงใจ ในอนาคตข้างหน้าพวกเขาก็ตัดสินใจแล้วว่าจะติดตามนางอย่างไม่มีเงื่อนไข
“ทุกคน ข้าแต่งงานและมีสามีแล้ว หากมีโอกาสในภายภาคหน้า ข้าจะพาสามีและลูกของข้ามาแนะนำให้ทุกคนได้รู้จัก”
ฉินอวี้โม่ลุกขึ้นยืนและป่าวประกาศออกไป ถึงอย่างไรนางก็ไม่มีความจำเป็นที่จะต้องปิดบังเรื่องนี้และนิกายพันปีศาจจะเป็นขุมกำลังของนางในอนาคต ไม่ว่าจะเป็นหานโม่ฉือ เสี่ยวอ้ายฉือหรือเสี่ยวอ้ายโม่ ไม่ว่าอย่างไรพวกเขาก็จะต้องมาที่นี่ในสักวัน และเมื่อถึงตอนนั้น คนในนิกายพันปีศาจก็จะต้องรับรู้ถึงความจริงอยู่ดี
“สวรรค์ คู่ครองของท่านจ้าวนิกายคงจะเป็นบุรุษที่ไร้เทียมทานที่สุดในโลกหล้าเป็นแน่ ข้าอยากจะพบเขาโดยเร็ว”
สตรีนางหนึ่งอุทานออกมาและเริ่มจินตนาการรูปลักษณ์ของหานโม่ฉือในหัว
“พี่อวี้โม่ ที่แท้ท่านก็แต่งงานและมีลูกแล้วอย่างนั้นหรือ ?”
มีเพียงเหลิ่งซวงเสวี่ยเท่านั้นที่ทราบเรื่องนี้มาก่อน ทว่าฉินอวี้โม่ไม่เคยเล่าเรื่องนี้ให้เถาเซี่ยวเซี่ยวหรือคนอื่น ๆ ได้ทราบ ทันทีที่ได้ยินเช่นนั้น เถาเซี่ยวเซี่ยวและทุกคนจึงมองฉินอวี้โม่ด้วยความสงสัยใคร่รู้และอยากทราบเกี่ยวกับสามีของนาง
“เรื่องมันยาว ข้าจะเล่าเรื่องราวของข้าในระหว่างเดินทางกลับก็แล้วกัน”
ฉินอวี้โม่จิ้มแก้มนิ่มของเถาเซี่ยวเซี่ยวและไม่คิดที่จะปิดบังไปจากพวกนาง ยิ่งไปกว่านั้น เถาเซี่ยวเซี่ยวและคนเหล่านี้ก็อาจช่วยนางสืบข่าวต่อไปได้
สำหรับตำแหน่งจ้าวนิกายพันปีศาจคนใหม่ของฉินอวี้โม่ นางก็สั่งให้คนกระจายข่าวออกไปแล้ว เพราะในกรณีนี้ หากเสี่ยวอ้ายฉือ เสี่ยวอ้ายโม่ พี่ใหญ่ บิดาหรือคนอื่น ๆ ได้ทราบ พวกเขาก็จะสามารถรับรู้ได้ว่าควรมาตามหานางที่ใด…
หลังจากค่ำคืนของงานเลี้ยงรื่นเริง ฉินอวี้โม่และทุกคนก็วางแผนที่จะเดินทางกลับนิกายหมื่นกระบี่ตั้งแต่เช้าตรู่
และหลังจากที่ฉินอวี้โม่ฝากฝังและมอบหมายหน้าที่ทุกอย่างให้กับเฉินคุนและคณะผู้อาวุโส พวกนางก็เข้าไปในคฤหาสน์เฟิงหัวและขับเคลื่อนตรงไปยังทิศทางของนิกายหมื่นกระบี่ทันที
ระหว่างเดินทาง ฉินอวี้โม่ก็เล่าเรื่องราวในชีวิตของตนให้เถาเซี่ยวเซี่ยวและสหายคนอื่น ๆ ได้ทราบ