เนื่องจากทราบเรื่องที่สำนักเต๋าเสวียนเทียนถูกแก่งแย่งไป โลกภายนอกจึงโกลาหลวุ่นวายมาก แม้กระทั่งศิษย์บนเขาทิพย์ต่าง ๆ ในสำนักศักดิ์สิทธิ์เสวียนเหมินก็ต่างพากันวิพากษ์วิจารณ์เกี่ยวกับเรื่องนี้

และหลังจากที่หลัวซิวกลับมาแล้วเขาก็แสร้งทำเป็นไม่รู้ไม่เห็นเกี่ยวกับเรื่องเหล่านี้ ในขณะที่รอให้สำนักเต๋าเสวียนเทียนวิวัฒนาการแปรเปลี่ยน เขาก็ได้ชี้แนะการฝึกตนของถังหยุน จินเฟยเทียนรวมไปถึงเสี่ยวเจียงหมิงทั้งสามคน

ผลการฝึกตนของเขาอยู่เพียงมหาจักรพรรดิยุทธ์ขั้น 2 เท่านั้น ซึ่งคนจำนวนมากในสำนักศักดิ์สิทธิ์เสวียนเหมินต่างทราบเรื่องนี้ดีมาก ๆ จึงไม่มีผู้ใดสงสัยว่าเขาเป็นผู้แก่งแย่งสำนักเต๋าเสวียนเทียนไป

แต่ทว่าเขาก็ได้ยินข่าวลือบ้างเป็นครั้งคราว มีคนสันนิษฐานว่าผู้ที่แก่งแย่งสำนักเต๋าเสวียนเทียนไปอาจจะเป็นเจ้านภาสักคน และผู้ต้องสงสัยที่ตกเป็นเป้ามากที่สุดกลับเป็นเจ้าศักดิ์สิทธิ์ของสำนักศักดิ์สิทธิ์เสวียนเหมิน

เจ้าแดนศักดิ์สิทธิ์เสวียนเหมิน เฟิ่งหวูซิน พูดได้เลยว่าเขาเป็นเจ้านภาที่อายุน้อยที่สุดในโลกเสวียนเทียน

เขากับช่าจื่อเยียน ซุ๋นซินเหลียนและซุ๋นหวู่หยาเป็นคนรุ่นเดียวกัน สมัยวัยเยาว์พวกเขาจะฝึกฝนเก็บเกี่ยวประสบการณ์ด้วยกัน ความสัมพันธ์ของทั้งสี่ดีมาก ๆ

พูดได้เลยว่าเฟิ่งหวูซินเป็นอัจฉริยะที่เจิดจ้าที่สุดในคนรุ่นใหม่นับตั้งแต่หมื่นกว่าปีที่ผ่านมา กลายเป็นเทพมารไม่ถึงหมื่นปี ก็ฝึกตนจนบรรลุเป็นเทพฟ้า จากนั้นผ่านไปแค่สามหมื่นกว่าปีเท่านั้น เขาก็บรรลุถึงเทพฟ้าขั้นสูง ขึ้นครองตำแหน่งเจ้าศักดิ์สิทธิ์ ถูกเคารพยกย่องเป็นเจ้านภา!

ไม่มีผู้ใดสามารถเทียบเคียงกับความปราดเปรื่องของเขาได้ แม้จะมีการบังเกิดของเทียนหวูเชว แต่เทียนหวูเชวก็แค่สามารถเคียงบ่าเคียงไหล่เขาได้เท่านั้น

เมื่ออยู่ภายในโลกเซียนเสวียนเทียน ผลการฝึกตนของทุกคนล้วนถูกกดอัดลงไปที่แดนมหาจักรพรรดิยุทธ์ ศึกการต่อสู้ในแดนเดียวกันนั้น สิ่งที่วัดคือพรสวรรค์และศักยภาพของบุคคล พลังศักยภาพของชายหนุ่มชุดคลุมดาวนั่นอยู่เหนือผู้แข็งแกร่งทั้งหมด เฟิ่งหวูซินจึงตกเป็นผู้ต้องสงสัยไปโดยปริยาย

“ศิษย์พี่ ไม่ใช่ท่านจริง ๆ หรือ?”

ภายในสำนักเจ้าศักดิ์สิทธิ์ พี่น้องตระกูลซุ๋นรวมไปถึงผู้อาวุโสทุกคนล้วนอยู่ในนี้ ซุ๋นซินเหลียนเอ่ยปากถาม

“หากใช่ข้าจริง แล้วเหตุใดเล่าข้าถึงต้องปิดบังตัวตน?”เฟิ่งหวูซินส่ายหน้าไปมา เขาคือเจ้านภาในดินแดนหนึ่ง ไม่ว่าจะกระทำเรื่องอันใด เขาก็เป็นผู้ที่เปิดเผยตรงไปตรงมา ต่อให้จะช่วงชิงสำนักเต๋าเสวียนเทียน เขาก็รังเกียจที่ต้องปลอมตัวปิดบังตัวตนที่แท้จริง

เมื่อได้ยินเขาปฏิเสธ สีหน้าของผู้อาวุโสทุกคนที่อยู่ในที่เกิดเหตุก็เปลี่ยนไป มีบางคนถึงกับดูผิดหวังเล็กน้อย

สำนักเต๋าเสวียนเทียนเป็นสมบัติที่ไม่ใช่เล่น ๆ เลย มันเป็นทรัพย์สมบัติที่สำคัญ ที่ทรงพลังและยอดเยี่ยมมาก ๆ ชิ้นหนึ่งอย่างแน่นอน หากเฟิ่งหวูซินได้ครอบครองมันจริง ๆ จากผลการฝึกตนระดับเจ้านภาของเขา บวกกับมีสำนักเต๋าเสวียนเทียน เช่นนี้เขาก็เพียงพอที่จะเป็นผู้มีอิทธิพลมากที่สุดในหมู่เจ้านภา เป็นผู้ไร้เทียมทานแน่นอน

ซึ่งเรื่องนี้ถือเป็นเรื่องดีสำหรับสำนักเต๋าเสวียนเทียน!

แต่ถ้าหากเฟิ่งหวูซินไม่ได้ครอบครองสำนักเต๋าเสวียนเทียน เช่นนั้นก็จะเป็นเรื่องแย่แล้วล่ะ หากเจ้านภาจากแดนศักดิ์สิทธิ์อื่น ๆ ได้ครอบครองมัน ไม่แน่นี่อาจจะเป็นภัยคุกคามต่อการคงอยู่ของสำนักศักดิ์สิทธิ์เสวียนเหมินก็เป็นได้

“หลิงเฟิงดับสลายสูญสิ้นแล้ว……”

หลังจากซุ๋นหวู่หยากลับมาจากสำนักเจ้าศักดิ์สิทธิ์แล้ว เขาก็เรียกหลัวซิวและศิษย์อีกสองคนมารวมตัวกัน

การเปิดโลกเซียนเสวียนเทียนในครั้งนี้ ศิษย์ใจกลางส่วนมากในสำนักศักดิ์สิทธิ์เสวียนเหมินต่างเข้าไปฝึกฝนเก็บเกี่ยวประสบการณ์ภายใน ศิษย์และอาจารย์ในเขาสุดหล้าก็เดินทางไปด้านในเช่นกัน แต่สุดท้ายแล้วกลับมีเพียงหลิงเฟิงผู้เดียวเท่านั้นที่ไม่กลับออกมา

สำนักศักดิ์สิทธิ์เสวียนเหมินต้องมีวิธีคาดการณ์อยู่แล้วว่าศิษย์ในสำนักยังมีชีวิตอยู่หรือไม่ ในเมื่อซุ๋นหวู่หยายืนยันแล้วว่าหลิงเฟิงตายแล้ว เช่นนั้นเรื่องนี้ก็คือเรื่องจริง

เมื่อซุ๋นหวู่หยาประกาศข่าวคราวเรื่องนี้ สีหน้าของฮู๋เยว่เซิงและชูเหยียนชิวก็เปลี่ยนไปในทันที ก่อนจะใช้หางตาเหล่มองไปทางหลัวซิวที่อยู่ข้าง ๆ

อย่างไรก็ตามสีหน้าของหลัวซิวกลับไม่มีการเปลี่ยนแปลงใด ๆ เลยแม้แต่น้อย ราวกับได้ยินเรื่องที่ไม่เกี่ยวข้องอะไรกับตนยังไงอย่างนั้น

“พรสวรรค์ของหลิงเฟิงไม่ธรรมดา อย่างน้อยผลสำเร็จในอนาคตก็สามารถเป็นผู้อาวุโสคนหนึ่งในสำนักศักดิ์สิทธิ์เสวียนเหมินของเราได้ แต่น่าเสียดายที่เขาหยิ่งผยองถือดีมากเกินไป โชคชะตาของเขาจึงถูกลิขิตไว้แล้วว่าต้องเต็มไปด้วยความไม่ราบรื่น”

ซุ๋นหวู่หยาถอนหายใจทีหนึ่ง เขาคือเทพมารที่มีชีวิตมานานหลายหมื่นปี และมองความเป็นความตายเป็นเรื่องธรรมชาติไปแล้ว