ลมเหมันต์หนาวเข้ากระดูก หิมะแผ่วเบาโปรยปราย
อู๋เต้าจื่อเต็มไปด้วยความโกรธแค้น โลหิตท่วมกาย นั่งเหยียดขาอยู่บนพื้นอันเย็นเฉียบ พลางตะโกนก่นด่าคำหยาบคายกับท้องฟ้าไม่หยุด
แต่เขาไม่กล้าเคลื่อนไหวใด ๆ ไม่กล้าแม้แต่จะก้มหน้า เนื่องจากความรู้สึกหนาวเหน็บที่ต้นคอเริ่มรุนแรงขึ้นเรื่อย ๆ
มิใช่เพราะหิมะที่ตกลงไปในปกเสื้อ
แต่เพราะอันหวาเอาแต่จดจ้องไปยังต้นคอเขาจากด้านหลัง ทั้งในมือยังถือมีดสั้นที่แหลมคมไว้อีกด้วย
……
……
หวังจือเช่อจ้องไปที่ดวงตาของเฉินฉางเซิง เลิกคิ้วเล็กน้อย สายตาพลันเปลี่ยนเป็นคมกริบอย่างหาใดเทียบได้
เมื่อเห็นเฉินฉางเซิงปรากฏตัวที่สุสานเทียนซู เขาก็ทราบได้ทันทีว่าอู๋เต้าจื่อพลาดท่าแล้ว
เขาไม่ได้สนใจ ในใจคิดว่าด้วยฐานะของอู๋เต้าจื่อและชื่อเสียงของพระราชวังหลีแล้ว อาจจะกักขังอู๋เต้าจื่อไว้ได้ แต่ไม่น่าจะถูกดูแคลนอะไรอีก
อย่างไรก็ตาม เขาคิดไม่ถึงว่าเฉินฉางเซิงจะใช้ชีวิตของอู๋เต้าจื่อมาคุกคามตน
เห็นได้ชัดว่าสถานการณ์ของอู๋เต้าจื่อในตอนนี้ย่ำแย่ยิ่งนัก
หวังจือเช่อรู้สึกไม่คุ้นชินกับความรู้สึกแบบนี้เลย
หลายปีมาแล้วที่ไม่มีผู้ใดอาจหาญท้าทายความคิดเขา
ไม่ว่าจะเป็นความคิดด้านดีหรือแม้แต่ความคิดด้านร้ายก็ตาม
ในปีนั้นเมื่อซางสิงโจวเข้าออกจวนของขุนนางมีชื่อของหอหลิงเยียน แต่เขาไม่เคยมีความคิดอื่นใดต่อซางซิงโจวเลย
ไม่เช่นนั้นประวัติศาสตร์อาจเปลี่ยนหน้าไปอย่างสิ้นเชิงเลยก็ได้
การข่มขู่เขานั้นยิ่งไม่ต้องพูดถึงเลย
เขามองไปยังเฉินฉางเซิงเงียบ ๆ ไม่ได้เอ่ยคำใด
เขาคือนักเรียนที่มีชื่อเสียงที่สุดในรอบหลายพันปีมานี้ แน่นอนว่าเขามิใช่นักเรียนที่ไม่มีแม้แรงมัดไก่สักตัว ยิ่งไม่เกี่ยวข้องกับคำว่าวิชาบุ๋นอ่อนแอเลยด้วยซ้ำ
ในปีนั้นเขานำพาเผ่าพันธุ์มนุษย์และกองทัพพันธมิตรของเผ่ามาร บุกสังหารตั้งแต่เทียนจิงไปจนถึงเมืองเสวี่ยเหล่า โลหิตหลั่งไหลตลอดทาง ซากศพเกลื่อนพื้นปฐพี
เมื่อเอ่ยถึงเรื่องสังหารผู้คน หากนับจำนวนคนทั้งหมดด้านในสุสานเทียนซูในวันนี้ ก็ยังเยอะไม่เท่าจำนวนคนที่เขาสังหารเลย
แววตาของเขาลึกล้ำราวกับเหว ทั้งยังมีเปลวเพลิงลุกโชน
เฉินฉางเซิงกลับไม่หวั่นเกรงใด ๆ ทั้งยังมองสบตาเขาอย่างสงบ และไม่ได้มีท่าทีว่าจะถอนคำพูดนั้นเลย
เกิดเสียงขึ้นเบา ๆ หิมะที่ยังละลายไม่หมดเริงระบำ
มือขวาของสวีโหย่วหรงกดลงบนด้ามกระบี่สถานศึกษาหนานซี ปีกนกสีขาวบริสุทธิ์ปลิวไสว
โก่วหานสือและคนอื่น ๆ รวมถึงผู้อาวุโสทั้งสามจากหอกระบี่เขาหลีซานไม่ได้เอ่ยคำใด ทุกคนชักกระบี่ออกมาทันที เตรียมพร้อมที่จะโจมตีสังหาร
หวังผ้อไม่ได้กอดอกอีกต่อไป มือซ้ายกุมฝักกระบี่แน่น พร้อมที่จะชักกระบี่ตลอดเวลา
กระบี่เหล็กที่เคยสะบั้นแม่น้ำลั่วนั้น เมื่อออกจากฝักอีกครั้งแม่น้ำด้านนอกสุสานเทียนซูสายนั้นจะยังสามารถไหลต่อไปได้อีกหรือไม่
หลังจากที่ต่อสู้ดิ้นรนอยู่ครู่ใหญ่ วัดฉือเจี้ยน อารามซานหยาง รวมถึงเหล่าผู้อาวุโสจากพรรคทางตอนใต้ ท้ายที่สุดก็ยกอาวุธในมือขึ้น
สีหน้าของทางฝั่งราชสำนักนั้นดูย่ำแย่เหลือเกิน
นี่แสดงให้เห็นว่าเจรจาไม่ได้ผล และจะชักกระบี่เผชิญหน้ากันเช่นนั้นหรือ
ฝ่ายตรงข้ามนั้นเป็นถึงหวังจือเช่อ!
นี่คือวิถีกระบี่ของหวังผ้อ
วิถีกระบี่ของหลีซาน
และก็คือวิถีการบำเพ็ญพรตของเฉินฉางเซิงเช่นกัน
หากเอ่ยกันตามตรง
ถ้าหวังจือเช่อไม่เห็นด้วยในข้อเสนอของเฉินฉางเซิง อู๋เต้าจื่อก็จะต้องตาย
มันง่ายดายเช่นนี้และก็แข็งกร้าวนัก
เหล่าอ๋องตระกูลเฉินหลายท่านมองไปยังเซี่ยงอ๋องอย่างไม่รู้เนื้อรู้ตัว
ในฐานะที่เป็นผู้แข็งแกร่งที่สุดในราชนิกุล ท่าทีของเขาสำคัญยิ่งนัก มันเพียงพอที่จะส่งผลกระทบต่อราชสำนักและทิศทางของกองทัพ
ในตอนนี้เฉินหลิวอ๋องได้ตกอยู่ในกำมือของพระราชวังหลีแล้ว
หากว่าความสัมพันธ์ของทั้งสองฝ่ายแตกร้าวจริง เช่นนั้นเฉินหลิวอ๋องจะยังสามารถมีชีวิตต่อไปได้อีกหรือ
แต่ทว่าเมื่อผู้คนมองไปนั้น จึงได้พบว่าเซี่ยงอ๋องปิดตาลงอีกครั้งตั้งแต่เมื่อไหร่ก็ไม่รู้
มองไม่เห็นใจสงบน่ะหรือ หรือกำลังคิดว่าหากพระราชวังหลีใช้ชีวิตของบุตรชายตนมาข่มขู่ตนเองอีก จะตัดสินใจอย่างไร
……
……
“หลายร้อยปีนับจากนี้ เมื่อเจ้ามองกลับมายังเรื่องนี้ เจ้าก็จะพบว่าในวันนี้เจ้าได้กลายเป็นคนประเภทที่ตนเองก็เคยเกลียดชังที่สุดนั่นเอง ……”
แววตาหวังจือเช่อกลับคืนสู่ความสงบแล้ว เขาเอ่ยต่อเฉินฉางเซิงว่า “เจ้าอาจจะเกิดความรู้สึกเสียใจอย่างที่ยากจะจินตนาการได้”
เฉินฉางเซิงนึกถึงบทสนทนาระหว่างเขาและถังซานสือลิ่วขึ้นมา
บทสนทนาเหล่านั้นเกิดขึ้นบนต้นมะเดื่อ ริมทะเลสาบ และริมแม่น้ำเวิ่นสุ่ย
แสงอาทิตย์สาดส่องลงบนใบหน้า และยังตกกระทบใบไม้สีทองนับหมื่นพันใบ อุดมสมบูรณ์ทั้งยังให้ความรู้สึกเลี่ยนเอียน
ปลาหลีฮื้อตัวอ้วนค่อย ๆ จมลงสู่ก้นแม่น้ำ เนื่องจากกินมากเกินไป
“ข้าไม่มีทางกลายเป็นคนอย่างพวกท่านแน่”
เขาเอ่ยกับหวังจือเช่อว่า
หวังจือเช่อเอ่ยว่า “เพราะเหตุใดเล่า”
เฉินฉางเซิงเอ่ยว่า “เพราะข้าไม่อยากกลายเป็นคนอย่างพวกท่าน”
เนื่องจากเหตุนี้หรือ นี่มันไม่มีความเชื่อมโยงในเชิงตรรกะใด ๆ แน่นอนว่าไม่มีเหตุผล
หวังจือเช่อส่ายหน้าก่อนเอ่ยว่า “นี่เป็นการพูดที่ไร้เหตุผลเสียจริง”
เฉินฉางเซิงมองไปที่เขาก่อน เอ่ยถามอย่างจริงจังว่า “พวกท่านเคยมีเหตุผลกับข้าด้วยหรือ”
……
……
ต้นหญ้าที่ริมทะเลสาบแห้งเหลือง ยังไม่ได้ผลิใบเขียวออกมาเลย
เศษกระดาษที่ตกลงมาจากด้านบนนั้นถูกลมพัดปลิวลอยไปในอากาศ
บรรดาอาจารย์และลูกศิษย์จากไปอย่างรีบร้อน ช่างยุ่งเหยิงไร้ระเบียบสิ้นดี
สำนักฝึกหลวงในเวลานี้เงียบเหงานัก เช่นเดียวกับพระราชวังหลี
เหมือนดั่งได้กลับไปยังสองทศวรรษก่อนในอดีต ราวกับสุสานเสียอย่างนั้น
ช่างเหมาะสมกับการต่อสู้ที่กำลังจะมาถึงยิ่งนัก
เชื่อว่าท้ายที่สุดแล้วไม่ว่าผู้ใดจะเป็นผู้เสียชีวิตก็คงไม่รังเกียจที่จะถูกฝังไว้ ณ ที่แห่งนี้
ไม่ว่าจะเป็นอาจารย์หรือลูกศิษย์ ล้วนเคยเป็นเจ้าสำนักที่นี่มาก่อน ย่อมต้องทิ้งร่องรอยที่ไม่อาจลบทิ้งไปได้ไว้ในหน้าประวัติศาสตร์ของสำนักฝึกหลวงเป็นแน่
ถังซานสือลิ่วยืนอยู่ริมทะเลสาบพลางคิดถึงเรื่องราวต่าง ๆ มากมาย
ในช่วงต้นฤดูใบไม้ผลิน้ำในทะเลสาบได้ละลายแล้ว แต่เนื่องจากอุณหภูมิในวันนี้ลดลง ผิวทะเลสาบจึงได้เกิดแผ่นน้ำแข็งจับตัวขึ้นอีกครั้ง
เหล่ามัจฉาได้จมลงสู่พื้นน้ำที่ลึกที่สุด แม้ว่าทั่วทุกหนแห่งจะเต็มไปด้วยโคลนตมแต่ก็ยังอบอุ่นอยู่บ้าง
ซูม่ออวี๋มั่นใจว่าเหล่าอาจารย์และลูกศิษย์ทั้งหมดได้ถอยร่นไปแล้ว และมาถึงยังริมทะเลสาบ
เขาเอ่ยถามด้วยความกังวลว่า “ท่านแน่ใจหรือว่าเขาจะทำสำเร็จ”
“ข้าไม่ทราบ”
ถังซานสือลิ่วมิงไปยังผิวทะเลสาบก่อนเอ่ยว่า “แต่ข้าแน่ใจว่าเขาต้องไม่ดีใจแน่”
……
……
หวังจือเช่อไม่ได้เอ่ยอะไรต่อ
เนื่องจากเขาไม่สามารถตอบคำถามของเฉินฉางเซิงได้
เช่นนั้นก็อาจจะเข้าใจได้ว่า เขาพูดจาเอาชนะเฉินฉางเซิงไม่ได้
เขาเชี่ยวชาญคัมภีร์ลัทธิเต๋า ความรู้ลึกล้ำ สติปัญญาไม่เป็นรองใคร ความสามารถทางวาทศิลป์ก็ไร้ที่ติ การเผชิญหน้ากับเฉินฉางเซิงในวันนี้กลับมีสองสามหนที่เขาไร้คำจะมาต่อกร
เนื่องจากเฉินฉางเซิงมิได้กำลังอภิปรายกับเขา มิได้กำลังถกเถียงถึงเหตุผลกับเขา
ที่เฉินฉางเซิงพูดคือเรื่องจริงทั้งสิ้น
เรื่องจริงก็คือเหตุผลนั้นเขาก็มี
หากใช้คำกล่าวของถังซานสือลิ่วมาประเมินล่ะก็ เขาก็คือคนที่มีชีวิตอยู่อย่างบริสุทธิ์มากคนหนึ่ง
วิธีการเอ่ยของสวีโหย่วหรงง่ายดายมาก และก็ถูกต้องมาก
…เฉินฉางเซิงเป็นคนจริงคนหนึ่ง
และนี่ก็คือสาเหตุที่นางชอบเขา
หลังจากที่หวังจือเช่อเงียบลง นางก็ยกมือขวาของตนขึ้น
กระบี่ชะงักเล็กน้อย เจตนาทะมึนดำ กลับคืนสู่ป่าเขา
ค่ายกลกระบี่สถานศึกษานั้นกระจายตัวออกไป
ซางสิงโจวปรากฏตัวต่อหน้าผู้คน
เบื้องหน้าเฉินฉางเซิง