ส่วนที่ 7 ภาคกล้าให้อาทิตย์ดวงจันทร์ผันเปลี่ยน ตอนที่ 55 ท่ามกลางคืนเดือนมืด ปลาหลี่อวี๋ดำดิ่งไปในแม่น้ำฮวงโฮอย่างเงียบเชียบ

ท้าลิขิตพลิกโชคชะตา

ลมเหมันต์หนาวเข้ากระดูก หิมะแผ่วเบาโปรยปราย

อู๋เต้าจื่อเต็มไปด้วยความโกรธแค้น โลหิตท่วมกาย นั่งเหยียดขาอยู่บนพื้นอันเย็นเฉียบ พลางตะโกนก่นด่าคำหยาบคายกับท้องฟ้าไม่หยุด

แต่เขาไม่กล้าเคลื่อนไหวใด ๆ ไม่กล้าแม้แต่จะก้มหน้า เนื่องจากความรู้สึกหนาวเหน็บที่ต้นคอเริ่มรุนแรงขึ้นเรื่อย ๆ

มิใช่เพราะหิมะที่ตกลงไปในปกเสื้อ

แต่เพราะอันหวาเอาแต่จดจ้องไปยังต้นคอเขาจากด้านหลัง ทั้งในมือยังถือมีดสั้นที่แหลมคมไว้อีกด้วย

……

……

หวังจือเช่อจ้องไปที่ดวงตาของเฉินฉางเซิง เลิกคิ้วเล็กน้อย สายตาพลันเปลี่ยนเป็นคมกริบอย่างหาใดเทียบได้

เมื่อเห็นเฉินฉางเซิงปรากฏตัวที่สุสานเทียนซู เขาก็ทราบได้ทันทีว่าอู๋เต้าจื่อพลาดท่าแล้ว

เขาไม่ได้สนใจ ในใจคิดว่าด้วยฐานะของอู๋เต้าจื่อและชื่อเสียงของพระราชวังหลีแล้ว อาจจะกักขังอู๋เต้าจื่อไว้ได้ แต่ไม่น่าจะถูกดูแคลนอะไรอีก

อย่างไรก็ตาม เขาคิดไม่ถึงว่าเฉินฉางเซิงจะใช้ชีวิตของอู๋เต้าจื่อมาคุกคามตน

เห็นได้ชัดว่าสถานการณ์ของอู๋เต้าจื่อในตอนนี้ย่ำแย่ยิ่งนัก

หวังจือเช่อรู้สึกไม่คุ้นชินกับความรู้สึกแบบนี้เลย

หลายปีมาแล้วที่ไม่มีผู้ใดอาจหาญท้าทายความคิดเขา

ไม่ว่าจะเป็นความคิดด้านดีหรือแม้แต่ความคิดด้านร้ายก็ตาม

ในปีนั้นเมื่อซางสิงโจวเข้าออกจวนของขุนนางมีชื่อของหอหลิงเยียน แต่เขาไม่เคยมีความคิดอื่นใดต่อซางซิงโจวเลย

ไม่เช่นนั้นประวัติศาสตร์อาจเปลี่ยนหน้าไปอย่างสิ้นเชิงเลยก็ได้

การข่มขู่เขานั้นยิ่งไม่ต้องพูดถึงเลย

เขามองไปยังเฉินฉางเซิงเงียบ ๆ ไม่ได้เอ่ยคำใด

เขาคือนักเรียนที่มีชื่อเสียงที่สุดในรอบหลายพันปีมานี้ แน่นอนว่าเขามิใช่นักเรียนที่ไม่มีแม้แรงมัดไก่สักตัว ยิ่งไม่เกี่ยวข้องกับคำว่าวิชาบุ๋นอ่อนแอเลยด้วยซ้ำ

ในปีนั้นเขานำพาเผ่าพันธุ์มนุษย์และกองทัพพันธมิตรของเผ่ามาร บุกสังหารตั้งแต่เทียนจิงไปจนถึงเมืองเสวี่ยเหล่า โลหิตหลั่งไหลตลอดทาง ซากศพเกลื่อนพื้นปฐพี

เมื่อเอ่ยถึงเรื่องสังหารผู้คน หากนับจำนวนคนทั้งหมดด้านในสุสานเทียนซูในวันนี้ ก็ยังเยอะไม่เท่าจำนวนคนที่เขาสังหารเลย

แววตาของเขาลึกล้ำราวกับเหว ทั้งยังมีเปลวเพลิงลุกโชน

เฉินฉางเซิงกลับไม่หวั่นเกรงใด ๆ ทั้งยังมองสบตาเขาอย่างสงบ และไม่ได้มีท่าทีว่าจะถอนคำพูดนั้นเลย

เกิดเสียงขึ้นเบา ๆ หิมะที่ยังละลายไม่หมดเริงระบำ

มือขวาของสวีโหย่วหรงกดลงบนด้ามกระบี่สถานศึกษาหนานซี ปีกนกสีขาวบริสุทธิ์ปลิวไสว

โก่วหานสือและคนอื่น ๆ รวมถึงผู้อาวุโสทั้งสามจากหอกระบี่เขาหลีซานไม่ได้เอ่ยคำใด ทุกคนชักกระบี่ออกมาทันที เตรียมพร้อมที่จะโจมตีสังหาร

หวังผ้อไม่ได้กอดอกอีกต่อไป มือซ้ายกุมฝักกระบี่แน่น พร้อมที่จะชักกระบี่ตลอดเวลา

กระบี่เหล็กที่เคยสะบั้นแม่น้ำลั่วนั้น เมื่อออกจากฝักอีกครั้งแม่น้ำด้านนอกสุสานเทียนซูสายนั้นจะยังสามารถไหลต่อไปได้อีกหรือไม่

หลังจากที่ต่อสู้ดิ้นรนอยู่ครู่ใหญ่ วัดฉือเจี้ยน อารามซานหยาง รวมถึงเหล่าผู้อาวุโสจากพรรคทางตอนใต้ ท้ายที่สุดก็ยกอาวุธในมือขึ้น

สีหน้าของทางฝั่งราชสำนักนั้นดูย่ำแย่เหลือเกิน

นี่แสดงให้เห็นว่าเจรจาไม่ได้ผล และจะชักกระบี่เผชิญหน้ากันเช่นนั้นหรือ

ฝ่ายตรงข้ามนั้นเป็นถึงหวังจือเช่อ!

นี่คือวิถีกระบี่ของหวังผ้อ

วิถีกระบี่ของหลีซาน

และก็คือวิถีการบำเพ็ญพรตของเฉินฉางเซิงเช่นกัน

หากเอ่ยกันตามตรง

ถ้าหวังจือเช่อไม่เห็นด้วยในข้อเสนอของเฉินฉางเซิง อู๋เต้าจื่อก็จะต้องตาย

มันง่ายดายเช่นนี้และก็แข็งกร้าวนัก

เหล่าอ๋องตระกูลเฉินหลายท่านมองไปยังเซี่ยงอ๋องอย่างไม่รู้เนื้อรู้ตัว

ในฐานะที่เป็นผู้แข็งแกร่งที่สุดในราชนิกุล ท่าทีของเขาสำคัญยิ่งนัก มันเพียงพอที่จะส่งผลกระทบต่อราชสำนักและทิศทางของกองทัพ

ในตอนนี้เฉินหลิวอ๋องได้ตกอยู่ในกำมือของพระราชวังหลีแล้ว

หากว่าความสัมพันธ์ของทั้งสองฝ่ายแตกร้าวจริง เช่นนั้นเฉินหลิวอ๋องจะยังสามารถมีชีวิตต่อไปได้อีกหรือ

แต่ทว่าเมื่อผู้คนมองไปนั้น จึงได้พบว่าเซี่ยงอ๋องปิดตาลงอีกครั้งตั้งแต่เมื่อไหร่ก็ไม่รู้

มองไม่เห็นใจสงบน่ะหรือ หรือกำลังคิดว่าหากพระราชวังหลีใช้ชีวิตของบุตรชายตนมาข่มขู่ตนเองอีก จะตัดสินใจอย่างไร

……

……

“หลายร้อยปีนับจากนี้ เมื่อเจ้ามองกลับมายังเรื่องนี้ เจ้าก็จะพบว่าในวันนี้เจ้าได้กลายเป็นคนประเภทที่ตนเองก็เคยเกลียดชังที่สุดนั่นเอง ……”

แววตาหวังจือเช่อกลับคืนสู่ความสงบแล้ว เขาเอ่ยต่อเฉินฉางเซิงว่า “เจ้าอาจจะเกิดความรู้สึกเสียใจอย่างที่ยากจะจินตนาการได้”

เฉินฉางเซิงนึกถึงบทสนทนาระหว่างเขาและถังซานสือลิ่วขึ้นมา

บทสนทนาเหล่านั้นเกิดขึ้นบนต้นมะเดื่อ ริมทะเลสาบ และริมแม่น้ำเวิ่นสุ่ย

แสงอาทิตย์สาดส่องลงบนใบหน้า และยังตกกระทบใบไม้สีทองนับหมื่นพันใบ อุดมสมบูรณ์ทั้งยังให้ความรู้สึกเลี่ยนเอียน

ปลาหลีฮื้อตัวอ้วนค่อย ๆ จมลงสู่ก้นแม่น้ำ เนื่องจากกินมากเกินไป

“ข้าไม่มีทางกลายเป็นคนอย่างพวกท่านแน่”

เขาเอ่ยกับหวังจือเช่อว่า

หวังจือเช่อเอ่ยว่า “เพราะเหตุใดเล่า”

เฉินฉางเซิงเอ่ยว่า “เพราะข้าไม่อยากกลายเป็นคนอย่างพวกท่าน”

เนื่องจากเหตุนี้หรือ นี่มันไม่มีความเชื่อมโยงในเชิงตรรกะใด ๆ แน่นอนว่าไม่มีเหตุผล

หวังจือเช่อส่ายหน้าก่อนเอ่ยว่า “นี่เป็นการพูดที่ไร้เหตุผลเสียจริง”

เฉินฉางเซิงมองไปที่เขาก่อน เอ่ยถามอย่างจริงจังว่า “พวกท่านเคยมีเหตุผลกับข้าด้วยหรือ”

……

……

ต้นหญ้าที่ริมทะเลสาบแห้งเหลือง ยังไม่ได้ผลิใบเขียวออกมาเลย

เศษกระดาษที่ตกลงมาจากด้านบนนั้นถูกลมพัดปลิวลอยไปในอากาศ

บรรดาอาจารย์และลูกศิษย์จากไปอย่างรีบร้อน ช่างยุ่งเหยิงไร้ระเบียบสิ้นดี

สำนักฝึกหลวงในเวลานี้เงียบเหงานัก เช่นเดียวกับพระราชวังหลี

เหมือนดั่งได้กลับไปยังสองทศวรรษก่อนในอดีต ราวกับสุสานเสียอย่างนั้น

ช่างเหมาะสมกับการต่อสู้ที่กำลังจะมาถึงยิ่งนัก

เชื่อว่าท้ายที่สุดแล้วไม่ว่าผู้ใดจะเป็นผู้เสียชีวิตก็คงไม่รังเกียจที่จะถูกฝังไว้ ณ ที่แห่งนี้

ไม่ว่าจะเป็นอาจารย์หรือลูกศิษย์ ล้วนเคยเป็นเจ้าสำนักที่นี่มาก่อน ย่อมต้องทิ้งร่องรอยที่ไม่อาจลบทิ้งไปได้ไว้ในหน้าประวัติศาสตร์ของสำนักฝึกหลวงเป็นแน่

ถังซานสือลิ่วยืนอยู่ริมทะเลสาบพลางคิดถึงเรื่องราวต่าง ๆ มากมาย

ในช่วงต้นฤดูใบไม้ผลิน้ำในทะเลสาบได้ละลายแล้ว แต่เนื่องจากอุณหภูมิในวันนี้ลดลง ผิวทะเลสาบจึงได้เกิดแผ่นน้ำแข็งจับตัวขึ้นอีกครั้ง

เหล่ามัจฉาได้จมลงสู่พื้นน้ำที่ลึกที่สุด แม้ว่าทั่วทุกหนแห่งจะเต็มไปด้วยโคลนตมแต่ก็ยังอบอุ่นอยู่บ้าง

ซูม่ออวี๋มั่นใจว่าเหล่าอาจารย์และลูกศิษย์ทั้งหมดได้ถอยร่นไปแล้ว และมาถึงยังริมทะเลสาบ

เขาเอ่ยถามด้วยความกังวลว่า “ท่านแน่ใจหรือว่าเขาจะทำสำเร็จ”

“ข้าไม่ทราบ”

ถังซานสือลิ่วมิงไปยังผิวทะเลสาบก่อนเอ่ยว่า “แต่ข้าแน่ใจว่าเขาต้องไม่ดีใจแน่”

……

……

หวังจือเช่อไม่ได้เอ่ยอะไรต่อ

เนื่องจากเขาไม่สามารถตอบคำถามของเฉินฉางเซิงได้

เช่นนั้นก็อาจจะเข้าใจได้ว่า เขาพูดจาเอาชนะเฉินฉางเซิงไม่ได้

เขาเชี่ยวชาญคัมภีร์ลัทธิเต๋า ความรู้ลึกล้ำ สติปัญญาไม่เป็นรองใคร ความสามารถทางวาทศิลป์ก็ไร้ที่ติ การเผชิญหน้ากับเฉินฉางเซิงในวันนี้กลับมีสองสามหนที่เขาไร้คำจะมาต่อกร

เนื่องจากเฉินฉางเซิงมิได้กำลังอภิปรายกับเขา มิได้กำลังถกเถียงถึงเหตุผลกับเขา

ที่เฉินฉางเซิงพูดคือเรื่องจริงทั้งสิ้น

เรื่องจริงก็คือเหตุผลนั้นเขาก็มี

หากใช้คำกล่าวของถังซานสือลิ่วมาประเมินล่ะก็ เขาก็คือคนที่มีชีวิตอยู่อย่างบริสุทธิ์มากคนหนึ่ง

วิธีการเอ่ยของสวีโหย่วหรงง่ายดายมาก และก็ถูกต้องมาก

…เฉินฉางเซิงเป็นคนจริงคนหนึ่ง

และนี่ก็คือสาเหตุที่นางชอบเขา

หลังจากที่หวังจือเช่อเงียบลง นางก็ยกมือขวาของตนขึ้น

กระบี่ชะงักเล็กน้อย เจตนาทะมึนดำ กลับคืนสู่ป่าเขา

ค่ายกลกระบี่สถานศึกษานั้นกระจายตัวออกไป

ซางสิงโจวปรากฏตัวต่อหน้าผู้คน

เบื้องหน้าเฉินฉางเซิง