“อาจารย์ ท่านเคยบอกให้ข้าไปดูบันทึกของท่านหวังที่หอหลิงเยียน ท่านบอกว่าในนั้นมีความลับที่พลิกชะตาฟ้าดิน แต่ข้าหาไม่เจอ”
หลังจากที่เฉินฉางเซิงเอ่ยคำนั้นกับซางสิงโจวไป บรรยากาสในสุสานเทียนซูก็เปลี่ยนไป
นี่เป็นความลับที่น้อยคนนักจะทราบ
แม้ว่าหลังจากนั้นทั้งลูกศิษย์และอาจารย์จะหันหลังให้กัน ความลับนี้ก็ยังไม่ได้ถูกเปิดเผยออกไป
คำพูดนี้เดิมทีน่าจะปรากฏขึ้นตั้งแต่เมื่อสามปีก่อน เพียงแต่เฉินฉางเซิงคิดว่าในเมื่อบทสนทนาทั้งหมดวัดเก่าในเมืองซีหนิงรวมถึงวันคืนเหล่านั้นเป็นเพียงกลวิธีเท่านั้น หากมีคำถามที่เจ็บปวดต่อเรื่องในอดีต จะมีความหมายใดเล่า และเขาเองยังได้รับแผ่นป้ายอนุสรณ์คัมภีร์สวรรค์ที่มีความสำคัญเป็นอย่างยิ่งจากในหอหลิงเยียน ได้เห็นความลับมากมายบนบันทึกของหวังจือเช่อ ก่อนจะบรรลุได้มากมาย มันเป็นตัวช่วยที่สำคัญมากในด้านการฝึกบำเพ็ญพรตทั้งชีวิตของเขา นำมาซึ่งการเตือนสติมากมายในชีวิตเขา ซึ่งนั่นก็เพียงพอแล้ว
เขาเอ่ยต่อว่า “ข้าเห็นเพียงคำว่ากินมนุษย์ในสมุดบันทึกเล่มนั้นเท่านั้น”
สีหน้าของเขาปรากฏร่องรอยความคิดย้อนรำลึกออกมา มีความทอดถอนใจ หรืออาจจะเป็นความเจ็บปวดเลยก็ว่าได้
ในบันทึกเล่มนั้นเขียนถึงสิ่งที่เขาได้พบเห็นในปีนั้น ซึ่งเป็นประวัติศาสตร์ที่จริงแท้ที่สุดในช่วงนั้น ก่อนและหลังการเริ่มรัชสมัยของราชวงศ์ต้าโจวนั่นเอง
ประวัติศาสตร์ที่จริงแท้ที่สุด และก็มักจะเป็นสิ่งที่มืดมนที่สุด
เสียงอ่านหนังสือในตรอกแคบที่ดูเหมือนเงียบสงบ มิรู้ว่าปกปิดความน่าสะพรึงกลัวของเรือบนแม่น้ำลั่วไว้เท่าใด
ในชีวิตบนบัลลังก์ที่ดูน่าเบื่อ มิรู้ว่ามีกระบี่และเงาซ่อนอยู่มากเพียงใด
หวังจือเช่อไม่ได้เอ่ยถึงการเปลี่ยนแปลงของสวนร้อยหญ้า แต่ก็มีบางคำปรากฏขึ้นมาเป็นครั้งคราว มันได้เปิดเผยถึงความเหี้ยมโหดในคืนนั้นแล้ว
ยุคที่เจริญรุ่งเรืองสุดท้ายแล้วก็เพียงทำให้คนผู้หนึ่งสมประสงค์เท่านั้น บนบันไดที่มุ่งสู่จุดสูงสุดนั้นมักจะเต็มไปด้วยร่างไร้วิญญาณที่อาบไปด้วยโลหิตนอนขวางอยู่ วันคืนเหล่านั้นรวมถึงวันคืนกว่าหลายร้อยปีที่ติดตามมาเต็มไปด้วยบิดาและบุตรชายสังหารกันเอง พี่น้องสังหารกันเอง สามีภรรยาสังหารกันเอง ขุนนางและประชาราษฎร์สังหารกันเอง และแน่นอนว่าไม่ถือเป็นเรื่องน่าแปลกแต่อย่างใด
เฉินฉางเซิงเงียบไปนานก่อนเอ่ยว่า “ข้าเพียงแต่ยังคงไม่เข้าใจ เหตุใดท่านไม่ลงมือเองเล่า”
ภายในค่ำคืนที่หิมะตกในสำนักฝึกหลวงเมื่อสามปีก่อน เขาและซางสิงโจวเคยพูดคุยถึงคำถามนี้แล้ว
ในตอนนั้นเขาเองก็ได้รับคำตอบแล้ว แต่ในเวลานี้เขาเอ่ยถึงมันขึ้นมาอีกครั้ง เพียงเพราะต้องการระบายอารมณ์เท่านั้น
วิถีจิตใจและวิถีพรตของซางสิงโจวเรียกได้ว่าสมบูรณ์แบบ จุดอ่อนเพียงข้อเดียวของเขาก็คือ เฉินฉางเซิง นั่นเอง
เนื่องจากเขาทำเรื่องใดก็ตาม ต่อให้สังหารไพร่ฟ้าทั่วทั้งเมืองหลวง ก็ล้วนสามารถโน้มน้าวตนได้ว่ามีเหตุผลในการกระทำเยี่ยงนี้
แต่ในเรื่องของเฉินฉางเซิง เขาไม่มีทางโน้มน้าวตนเองได้
ยิ่งเป็นเยี่ยงนี้ เขาก็ยิ่งไม่ชอบเฉินฉางเซิง
เริ่มตั้งแต่เมืองซีหนิง เริ่มตั้งแต่วัดเก่าวัดนั้น เริ่มต้นหลายปีก่อนก็เป็นเยี่ยงนี้แล้ว
กาลเวลาผันผ่านไป อารมณ์นี้หนักหนาขึ้นเรื่อย ๆ เขายิ่งเกลียดตนเองที่นับวันยิ่งไม่ชอบเฉินฉางเซิงเข้าไปทุกที
เขาไม่อยากพบเจอเฉินฉางเซิง
จนกระทั่งท้ายที่สุด เขาหวังแม้กระทั่งว่าเฉินฉางเซิงจะไม่เคยถือกำเนิดบนโลกนี้มาก่อนเลย
เขาไม่อยากลงมือเอง เนื่องจากหากเป็นเช่นนั้นจะทำให้เส้นทางแห่งจิตยากที่จะสงบลงได้
เขาหวังใจให้เฉินฉางเซิงตายลงในเงื้อมมือผู้อื่น
สามปีก่อนที่สำนักฝึกหลวง เขาเคยเอ่ยว่า ตราบใดที่เฉินฉางเซิงไม่กลับเมืองหลวง เขาก็จะไม่ลงมือ
แต่แล้วเขาก็ไม่สามารถที่จะอดทนต่อการยั่วยุนี้ได้
ดังนั้นโจงทงจึงสิ้นชีวิตลง อีกทั้งฉูซู และยังมีมู่ที่มาจากต้าซีโจวอีก
เฉินฉางเซิงไม่ได้ตายในเทือกเขาหิมะ ทั้งบนเทือกเขาเทพธิดาศักดิ์สิทธิ์ก็ยังพบเจอเรื่องอันตรายอีก
“สิ่งที่พวกเราฝึกปฏิบัติคือ เจตนาใจ สรรพสิ่งทั่วโลก มีเจตนาใจแน่วแน่ก็ไม่มีทางจะรังแกตนเองได้”
เฉินฉางเซิงเอ่ยถามอย่างไม่เข้าใจ “หากข้าตายลงในเงื้อมมือคนอื่น ท่านก็สามารถโน้มน้าวตนได้ว่าเรื่องนี้ไม่เกี่ยวข้องกับท่านหรือ”
ซางสิงโจวจ้องไปที่เขาโดยไม่ได้เอ่ยคำใด
เฉินฉางเซิงเอ่ยออกไปในที่สุด “โปรดลงมือด้วยตัวเองเถิด ในเวลาสุดท้ายนั้น บางทีอาจจะแจ้งใจในจุดประสงค์ของตนเองก็ได้ ท่านไม่อยากจะลองดูหรอกหรือ”
……
……
ข้าอยากลองดู
เมื่อเผชิญหน้ากับจูลั่วท่ามกลางพายุหิมะในเมืองสวินหยาง หวังผ้อเคยเอ่ยคำนั้น เมื่อต้องเผชิญหน้ากับคู่ต่อสู้ที่ไม่อาจเอาชนะได้ในเมืองจักรพรรดินั้น เสวียนหยวนผ้อเคยเอ่ยคำนั้น สวีโหย่วหรงเคยเอ่ย เฉินฉางเซิงเองก็เคยเอ่ยคำนั้น
เมื่อเปรียบเทียบกับซางสิงโจวแล้ว พวกเขายังเยาว์นัก มีเวลามากเพียงพอที่จะได้ลอง มีพื้นที่เหลือมากเพียงพอที่จะทำผิด หรืออาจจะเพราะสาเหตุนี้ เมื่อต้องอยู่ในสถานการณ์หัวเลี้ยวหัวต่อที่ต้องเลือกบางอย่างนั้น พวกเขาจึงแสดงออกได้อย่างกล้าหาญและตรงไปตรงมายิ่งกว่า
อย่างนั้นท่านไม่อยากลองดูหรือ
ซางสิงโจวมองไปที่เฉินฉางเซิงนิ่ง ๆ
วันนี้เฉินฉางเซิงและสวีโหย่วหรงแสดงออกมาได้อย่างโดดเด่นจริง ๆ ซึ่งทำให้เขาเลื่อมใส ทั้งยังมีเด็ก ๆ เหล่านั้นในวังที่เงียบ พวกเขาก็ยอดเยี่ยม
แต่เหล่าคนรุ่นหลังเหล่านี้ยังคงดูแคลนความละเอียดรอบคอบและพลังที่น่ากลัวราวกับลาวาที่ข้นหนืด ที่เขาซ่อนอยู่ในใจและความเงียบ
แม้ว่าหวังจือเช่อจะถูกโน้มน้าวแล้ว แต่เขายังมองตนอยู่เหนือเรื่องนี้ เขายังคงเชื่อมั่นว่าจะสามารถควบคุมสถานการณ์ในเมืองหลวงนี้ไว้ได้
เขาไม่มีเหตุผลใดที่ต้องรับปากคำขอร้องของเฉินฉางเซิง แต่ในเวลานี้เขาได้ยินคำพูดประโยคหนึ่ง
นี่คือหยดน้ำหวานหยดนั้นที่ห้อยอยู่บนลำต้นบนกำแพงศิลา งดงามทั้งยังบริสุทธิ์ ทั้งดึงดูดให้ผู้คนซาบซึ้งใจได้อย่างง่ายดาย
สิ่งนี้ทำให้เขานึกถึงเมื่อหลายปีก่อนขึ้นมา ยามที่เขายังคงเป็นนักพรตวัยรุ่นอยู่
ในเมืองลั่วหยางนั้นมีอารามฉางชุน ในอารามฉางชุนมีนักพรตน้อยอยู่สองคน ชื่อซางและอิ่น
ในตอนนั้นพวกเขายังไม่ได้แยกย้ายกันไปสำนักจวนพระราชวังหลี และร้องขอสมัครเรียนวิถีพรตที่สำนักฝึกหลวง
แน่นอนว่าอาจารย์ของพวกเขาต้องเป็นบุคคลที่ไม่ธรรมดา แต่สุดท้ายแล้วก็ตายไปอย่างไร้ร่องรอย
นั่นคือช่วงกลียุคอย่างแท้จริง เมืองลั่วหยางถูกโอบล้อมไว้เป็นเวลานาน เผ่ามารนั้นอยู่นอกเมืองที่เต็มไปด้วยภูเขาและที่ราบ ระหว่างสวรรค์และโลกมนุษย์ล้วนเต็มไปด้วยกลิ่นเหม็นคาวคละคลุ้ง
พวกเขาได้จากเมืองลั่วหยางไปแล้ว และผู้ที่ร่วมเดินทางไปด้วยนั้นยังมีคนหนุ่มแซ่ถังผู้หนึ่ง
ระหว่างการเดินทางช่วงนั้น พวกเขามองเห็นภาพที่น่าเวทนามากมายซึ่งส่งผลกระทบที่ยิ่งใหญ่ต่อพวกเขาทุกคน
สุดท้ายแล้วบนพื้นที่แห่งหนึ่งเขาหยุดก้าวเดินพร้อมทั้งเอ่ยต่อเทือกเขารอบด้านในเพลาพลบค่ำว่า “ข้ายังอยากจะลองดู”
เขาเข้าสวามิภักดิ์กับจักรพรรดิไท่จงโดยการปกปิดตัวตน และได้รู้จักผู้คนที่เก่งกาจมากมาย
ผู้คนเหล่านั้นล้วนมีอาภรณ์งดงาม มีอาชากำยำ แต่เขากลับเอาแต่ยืนอยู่ในมุมที่มืดมิด เงียบขรึมทั้งยังถ่อมตน
ไม่ว่าจะมีความรุ่งโรจน์เท่าใด เขาก็ยังคงเป็นเช่นนี้
ราชามารยังมิได้ดับสูญ พวกเขาจึงไม่สามารถผ่อนคลายได้แม้อี๋เค้อเดียว
สุดท้ายแล้วเขาก็เคยชินเสียแล้วกับชีวิตเยี่ยงนั้น หรือแม้แต่ชื่นชอบชีวิตเช่นนั้นเสียแล้ว
ฝ่าบาทต้องการคนเยี่ยงเขานี้ในการช่วยเหลือในที่ลับ ฝ่าบาทจึงจะเป็นฝ่าบาทได้
นอกจากคนเพียงไม่กี่คนเท่านั้น ก็ไม่มีผู้ใดทราบว่าเขานั้นเป็นผู้สืบทอดที่แท้จริงของสำนักฝึกหลวง ซางสิงโจวเข้าใจว่าเขานั้นเป็นแค่คนที่สามารถรักษาโรคให้นักพรตจี้ได้
หลังจากที่เขาล้มล้างการปกครองของจักรพรรดินีเทียนไห่ เขามิได้สนใจในคลื่นใต้น้ำใดใด แต่เขาให้ความสำคัญกับโจวทง นอกจากคำสัญญาก่อนหน้าแล้วก็เนื่องด้วยเขาไม่รู้สึกว่าสิ่งที่โจวทงทำนั้นมีปัญหาอะไร หลายร้อยปีมานี้เขาก็คิดเช่นนี้มาตลอด
เพียงแต่บางครั้งยังมีความรู้สึกเสียใจอยู่บ้าง
มิได้เยาว์อีกต่อไป
ซางสิงโจวมองไปที่เฉินฉางเซิง มองไปยังแววตาที่สงบนิ่งทั้งยังแน่วแน่ของเขา มองไปยังหน้าตาที่ชัดเจนของเขา พลางคิดในใจว่า——ก็เป็นเด็กหนุ่มอย่างนี้
หลายร้อยปีผ่านไป ตอนนี้เมืองลั่วหยางมิได้ถูกโอบล้อมไว้แล้ว บรรยากาศเฉลิมฉลองปีใหม่ที่ผู้คนต่างก็กินอาหารกัน ไม่ว่าผลลัพธ์ในวันนี้จะเป็นอย่างไร ไม่ว่าจะมีเรื่องจลาจลภายในหรือไม่ เผ่าพันธุ์มนุษย์ก็ไม่ต้องกังวลว่าจะกลับคืนสู่คืนวันที่น่ากลัวเช่นนั้นอีกต่อไป ผู้คนต่างก็ไม่ต้องใช้ชีวิตอย่างลำบากเช่นกัน
นั่นไม่ได้หมายความว่าเขาไม่ต้องใช้ชีวิตแร้นแค้นอีกต่อไปแล้วหรือ
นับจากนี้ต่อไป เขาจะสามารถใช้ชีวิตได้อย่างอิสระและไม่ต้องเกรงใจใครอีกแล้วหรือ
เขามองไปที่เฉินฉางเซิงเงียบ ๆ ทันใดนั้นก็เอ่ยว่า “เอาเถอะ พวกเรามาลองดูเถิดว่าจะสามารถจบเรื่องนี้ได้หรือไม่”
จักรพรรดิองค์ก่อนป่วยหนัก และเทียนไห่ก็ไม่เจตนาจะคืนบัลลังก์ เขาจึงเริ่มเขียนเรื่องนี้
จุดเริ่มต้นของเรื่องนี้ก็คือ ผืนแผ่นดินที่เต็มไปด้วยทรายขาว ภายใต้ความช่วยเหลือของการมีอยู่ของท่านนั้นที่อยู่ตรงข้ามของทะเลดวงดาว เกิดออกผลไม้ขึ้น
แน่นอนว่าเรื่องราวหลังจากนั้นต้องจบลงที่การสิ้นชีวิตลงของผลไม้นั้น