บทที่ 1996 เปิดโปงความลับ

พิชิตสวรรค์ ทะยานฟ้า

เพียงแต่สองสามีภรรยาต่างเชื่อมั่นว่าอีกฝ่ายไม่ทำร้ายตน คาดว่าคงมีสาเหตุอะไรบางอย่าง

“ไปคุยกันในบ้าน” เทียนหยวนเรียงหน้าบอกใบ้ พร้อมส่งสายตาให้ปี้เยว่

ส่วนปี้เยว่ก็หันไปหาผู้คุ้มกันสี่คนที่ตามมาด้วย “ข้าจะคุยกับสหายสักหน่อย ทุกท่านรออยู่ตรงนี้” แล้วนางก็รีบเดินตามเทียนหยวนออกจากตรงนั้นไป

หลังจากผู้คุ้มกันสี่คนแอบถ่ายทอดเสียงสื่อสารกัน ก็เหาะลงไปอยู่ตามมุมต่างๆ ของบ้านหลัง คอยเฝ้าระวังทั้งนอกและใน

สงฉีกับหู่หลินสบตากัน

สงฉีถ่ายทอดเสียงเตือนว่า “ผู้อาวุโส มีคนติดตามอยู่ ถ้าลงมืออีกเกรงว่าจะแหวกหญ้าให้งูตื่น”

“ไม่เป็นไร ข้าเตรียมการไว้แล้ว” หู่หลินกล่าวเสียงเรียบ

เทียนหยวนที่เข้ามาในห้องรีบปิดประตู แล้วหันตัวไปกอดจูบปี้เยว่อย่างเร่าร้อนพักหนึ่ง สองมมือออกแรงเลื้อยอยู่บนร่างงามของปี้เยว่

ปี้เยว่ถูกเขาจูบจนหายใจไม่ทัน บวกกับสถานการณ์ไม่ชอบมาพากล แม้จะถูกยั่วจนสติไม่อยู่กับเนื้อกับตัว แต่ตอนนี้ก็ยังไม่มีอารมณ์มาทำเรื่องแบบนี้กับเขา นางออกแรงผลักเขา จัดเสื้อผ้าอยู่ข้างๆ แล้วถ่ายทอดเสียงถาม “สองคนนั้นนี่ยังไง? บอกแล้วไม่ใช่หรอว่าจะมาเจอกันตามลำพัง?”

“เรื่องนี้อยู่นอกเหนือความคาดหมาย พวกเขาก็เพิ่งมาถึงได้ไม่นานเหมือนกัน” เทียนหยวนตอบ

“ถ้าจะไม่บอก แล้วพวกเขาจะรู้ได้ยังไงว่าเจ้าอยู่ที่นี่ พวกเขาเป็นใคร?” ปี้เยว่ถามอีก

เทียนหยวนลังเลนิดหน่อย ตอบนางว่า “คนหนึ่งคือสงฉี ส่วนอีกคนข้าไม่รู้ว่าเป็นใคร”

สงฉี? ปี้เยว่สูดหายใจอย่างตกตะลึง นางตกใจไม่ใช่น้อย

เทียนหยวนทำกลับบ้าง “เจ้าพาพวกเขาสี่คนมาหมายความว่ายังไง?”

ปี้เยว่อธิบายว่า “ก็เพราะเรื่องพระปีศาจหนานโปไง ตอนนี้ทั้งจวนผู้สำเร็จราชการแดนรัตติกาลควบคุมการเข้าออกเข้มงวดมาก ขนาดคนที่พักอยู่ไหนจวนผู้สำเร็จราชการ เวลาจะเข้าออกยังต้องมีหนังสืออนุญาต ข้าไม่สะดวกจะปิดบังอีกแล้ว ทำได้เพียงบอกหนิวโหย่วเต๋อว่าจะมาเจอเจ้า เขากลัวว่าจะเกิดเรื่องกับข้า ก็เลยส่งคนมาคุ้มกันข้า เจ้าไม่ต้องห่วง เจ้าสร้างภัยคุกคามต่อเขาไม่ได้หรอก เรื่องนี้เขาน่าจะรู้”

ประโยคที่บอกว่า ‘ เจ้าสร้างภัยคุกคามต่อเขาไม่ได้หรอก’ ทำให้เทียนหยวนแอบไม่พอใจเป็นอย่างมาก นึกถึงในปีนั้นที่หนิวโหย่วเต๋อไม่ได้นับเป็นอะไรในสายตาเขาเลย สรุปก็คือในใจรู้สึกไม่ปลื้ม  ขมวดคิ้วบอกว่า “จวนผู้สำเร็จราชการเป็นที่นอนของหนิวโหย่วเต๋อ ทำไมเจ้ายังอยู่ที่นั่นอีก? แล้วหลายคนที่มาคุ้มกันเจ้าก็วรยุทธ์ไม่ธรรมดา ไม่น่าเชื่อว่าจะส่งยอดฝีมือแบบนี้มาคุ้มกันเจ้าตั้งสี่คน หนิวโหย่วเต๋อช่างดีกับเจ้าจริงๆ! ข้าว่านะปี้เยว่ คงไม่ใช่ว่าเจ้าทนเหงาไม่ไหวส่วนไปนอนเตียงเดียวกับหนิวโหย่วเต๋อแล้วหรอกใช่ไหม?”

“เหลวไหล!” ปี้เยว่พูดคำหยาบออกมา นางโกรธจนตัวสั่น กัดฟันบอกว่า “ข้าอยู่ที่เดียวกับมู่หรงซิงหัวและสมาชิกครอบครัวที่เป็นผู้หญิงคนอื่น ไม่ได้สกปรกอย่างที่เจ้าคิด” ในใจพูดเสริมสิ่งที่ไม่กล้าพูดออกมาว่า เกรงว่าต่อให้หนิวโหย่วเต๋อกล้าหาญ แต่หนิวโหย่วเต๋อก็ไม่กล้าทำอยู่ดี

ในสายตาของนาง คิดมาตลอดว่าเหมียวอี้เป็นลูกน้องของไห่ยวนเค่อ เหมียวอี้ดูแลตนเป็นพิเศษก็เพราะไห่ยวนเค่อ

ถ้ามองจากบางระดับ ตอนนี้แนวโน้มการเติบโตของเหมียวอี้ไกลเกินจินตนาการของนางแล้ว ถ้าเกิดโตต่อไปอย่างนี้เรื่อยๆ การที่ผู้เหลือรอดของหกลัทธิจะโจมตีกลับตำหนักสวรรค์ ก็เป็นเรื่องที่นับวันรอได้เลย นี่เป็นทั้งความหวังที่นางจะได้อยู่กับลูกสาว แต่ก็รู้สึกกังวลนิดหน่อย ถ้าไห่ยวนเค่อกับเทียนหยวนเผชิญหน้ากัน นางจะทนความรู้สึกได้อย่างไร?

เทียนหยวนบอกว่า “ข้าก็แค่รู้สึกว่าหนิวโหย่วเต๋อดีกับเจ้าเกินไปหน่อย ถ้าไม่ใช่อย่างนั้นจะดีที่สุด ข้ากำลังเตือนเจ้า ถึงแม้เราจะไม่ได้อยู่ด้วยกัน แต่เจ้าก็คือผู้หญิงของข้า!”

นิ้วมือทั้งสิบที่อยู่ในกระบอกแขนเสื้อของปี้เยว่บีบแน่น ไม่อยากคุยเรื่องนี้แล้ว นางหยิบกำไลเก็บสมบัติวงหนึ่งยื่นให้ “ตอนนี้ข้ารวบรวมได้แค่เท่านี้” ข้ออ้างที่เทียนหยวนติดต่อมาขอพบหน้าก็คือ ขาดแคลนทรัพยากรฝึกตน

ใครจะคิดว่าเทียนหยวนจะผลักมือนางกลับมา “ไม่ต้องหรอก”

ปี้เยว่รู้สึกอับอายต่อหน้าเขา  ผลักกลับคืนไป “เอาไปเถอะ ยังจะมาเกรงใจข้าทำไม ค่าจ้างที่จวนผู้สำเร็จราชการแดนรัตติกาลให้ข้าเพียงพอให้ข้าใช้ ข้าให้แล้วก็คือให้ มิหนำซ้ำของในนี้ส่วนใหญ่ก็เป็นของที่เจ้าเคยให้ข้าในปีนั้น”

เทียนหยวนสีหน้าสับสนเล็กน้อย ส่ายหน้าปฏิเสธ “ไม่ต้องจริงๆ ถึงแม้สถานการณ์ของข้าตอนนี้จะไม่ดีเหมือนเมื่อก่อน แต่ก็ไม่ได้ใช้จ่ายอะไรมาก แค่ต้องดูแลตัวเองให้ดีก็พอ ทางตระกูลอิ๋งมีช่องทางรายได้อยู่บ้าง ทรัพยากรฝึกตนพื้นฐานยังพอแก้ขัดให้ข้าได้ ไม่อย่างนั้นใจคนก็กระจัดกระจายตั้งนานแล้ว”

เมื่อเห็นเขาดึงดันไม่รับไว้จริงๆ ปี้เยว่ก็เก็บของกลับมาด้วยความสงสัย “แล้วเจ้านัทข้ามาทำอะไร?” ใบหน้าร้อนผ่าวเล็กน้อย เจ้าผีน่าตายนี่นัดตนมาเพราะจะทำเรื่องอย่างว่าหรือ? แต่คิดไปคิดมาก็รู้สึกว่าไม่ถูก ตัวเองไม่ได้มีเสน่ห์ถึงขั้นนั้น ถ้าหวังให้เทียนหยวนสำรวจตัวเองไม่ให้แตะต้องผู้หญิง นั่นก็เป็นไปไม่ได้  ต่อให้เทียนหยวนจะชีวิตแย่สักแค่ไหน แต่การหาผู้หญิงสักสองสามคนก็ไม่ใช่ปัญหา คงไม่ถึงขั้นนั้น กลับเป็นนางต่างหากที่ว่างเปล่ามาก

เทียนหยวนถอนหายใจ ดึงมือนางเดินเข้าไปข้างใน “ก่อนหน้านี้ไม่สะดวกจะพูดกับเจ้าแบบเปิดเผย ตอนนี้จะบอกความจริงกับเจ้าแล้วกัน ครั้งนี้เบื้องบนบังคับให้ข้าติดต่อเจ้า หวังว่าข้าจะยุยงเจ้าได้…ตอนแรกข้าก็ไม่เต็มใจ แต่พอดูตอนนี้แล้ว เหมือนหนิวโหย่วเต๋อจะดีกับเจ้าเกินไปหน่อย เดาว่าคงคิดไม่ซื่อกับเจ้า ไม่สู้เจ้าตัดสินใจไปกับข้าดีกว่า แน่นอน ก่อนที่จะไปก็ทำตามใจพวกเขาหน่อย ยุยงก็ยุยงสิ สร้างผลงานสักหน่อยแล้วค่อยไปก็ดีเหมือนกัน”

“เจ้า…” ปี้เยว่ถลึงตา เพิ่งจะพูดเปิดประเด็น สองสามีภรรยาพลันหันไปมองตรงประตูพร้อมกัน พอได้ยินเสียงคนเดินเข้ามา

แกร๊ก ประตูถูกผลักออก สงฉีกับหู่หลินปรากฏตัวตรงประตู

สงฉีบอกว่า “เทียนหยวน เจ้าออกมานี่หน่อย ข้ามีเรื่องจะคุยด้วย”

เทียนหยวนขมวดคิ้ว แล้วพยักหน้าเบาๆให้ ปี้เยว่ บอกใบว่าให้รอสักครู่

ใครจะคิดว่าตอนที่เขาเพิ่งเดินออกไป หู่หลินก็เดินเข้ามาในห้องเสียเลย

ปี้เยว่ทำสีหน้าระวังตัวทันที ส่วนเทียนหยวนก็รีบหันกลับไปมองหู่หลิน แล้วถามเสียงต่ำ “เจ้าคิดจะทำอะไร?”

เพิ่งจะพูดจบ จู่ๆ ในหัวก็ว่างเปล่า ทั้งตัวตกอยู่ในสภาพเลื่อนลอย พอสงฉีดึงแขนเขาเดินไปไกลแล้ว ก็มองไปรอบๆ อย่างระวังตัว

“…” ปี้เยว่ยังไม่ทันพูดว่าระวังตัว สีหน้าก็เลื่อนลอยเหมือนกับเทียนหยวนแล้ว

หู่หลินที่เดินเข้ามาโบกแขนเสื้อ เกิดลมพัดและประตูปิดดังแกร๊ก

จากนั้นก็เดินมานั่งลงข้างๆ ยังไม่รีบร้อน หู่หลินจ้องปี้เยว่พร้อมถามด้วยน้ำเสียงปกติ “พวกเจ้ามากันกี่คน?”

ปี้เยว่ตอบอย่างเอื่อยเฉื่อย  “รวมข้าด้วยมีห้าคน”

พอรู้ว่ามีแค่คนที่ตัวเองเห็น หู่หลินก็แอบโล่งใจแล้วไม่น้อย เขาเอนตัวพิงเก้าอี้ แสงทองลอยออกจากร่างกาย วิญญาณศักดิ์สิทธิ์หลุดออกมาจากตัว เดินไปที่ปี้เยว่ จู่ๆก็แวบหายไป เข้าไปในร่างกายของปี้เยว่แล้ว

หลังจากผ่านไปพักใหญ่ วิญญาณศักดิ์สิทธิ์ก็หลุดออกมาอีก เข้ามาในร่างหู่หลินอีกครั้ง

หลังจากหู่หลินลืมตาและยืนขึ้น ก็มองปี้เยว่ด้วยแววตาหยอกเย้า นึกไม่ถึงว่าจะได้ข้อมูลเหนือความคาดหมาย

หลังจากอ่านความทรงจำของปี้เยว่ก็พบว่า หนิวโหย่วเต๋อคือคนของหกลัทธิ!

ภายใต้การควบคุมของเขา ปี้เยว่กำลังนั่งขัดสมาธิอยู่บนพื้น

หู่หลินเดินอ้อมนางสองสอง ยกแขนเสื้อข้างหนึ่งเบาๆ เผยแขนออกมา ยื่นฝ่ามือออกไปขยุ้มเหนือศีรษะนาง นิ้วทั้งห้าเลื้อยขยุกขยิก ปลายนิ้วทั้งห้าเริ่มมีเส้นแสงสีทองห้อยลงมา ราวกับมีหนอนตัวเล็กคลานไปที่ศีรษะของปี้เยว่

เส้นด้ายสีทองเส้นหนึ่งเลื้อยเข้าไปในหว่างคิ้วของปี้เยว่ สองเส้นเลื้อยเข้าไปที่ขมับ เส้นหนึ่งเจาะเข้าไปในหลังศีรษะ ส่วนอีกเส้นก็เจาะเข้าไปกลางกะโหลกบนศีรษะ

เส้นด้ายสีทองห้าเส้นเข้าประจำที่แล้ว หู่หลินก็หลับตาตั้งสมาธิ ใช้นิ้วทั้งห้าเขย่าศีรษะปี้เยว่เบาๆ เส้นสีทองห้าเส้นที่เขย่าเลื้อยออกมาจากห้านิ้วของเขาไม่หยุด เจาะเข้าไปในตำแหน่งทั้งห้าบนศีรษะของปี้เยว่ไม่หยุด ปี้เยว่ตั่วสั่นอยู่ท่ามกลางความสับสน

ครั้งนี้เสียเวลาค่อนข้างนาน ครั้งนี้ไม่ได้ควบคุมปี้เยว่เหมือนที่ควบคุมตามปกติ ใช้เวลาไปสิบห้านาทีเต็มๆ หู่หลินถึงได้เก็บมือกลับมา ร่างกายโซเซอย่างควบคุมไม่ได้ เดินถอยหลังหลายก้าวแล้วลืมตา พึมพำกับตัวเองว่า “ร่างกายนี้ไม่ค่อยเหมาะให้ข้าแสดงวิชา สิ้นเปลืองสมาธิข้ามาห” เขาประนมมือทกล่าวว่า “เส้อ!”

ปี้เยว่พลันลืมตา ลุกขึ้นยืน แล้วหันหน้าไปหาหู่หลินด้วยความเคารพ

หู่หลินหยิบระฆังดาราออกมาสองอัน ลงตราอิทธิฤทธิ์ไว้บนนั้น แล้วส่งให้ปี้เยว่อีก หลังจากปี้เยว่ลงตราอิทธิฤทธิ์ของตัวเองบนระฆังดาราสองอันนี้แล้ว ก็คืนอันหนึ่งให้หู่หลิน

หู่หลินเก็บระฆังดาราแล้วหันตัวเดินออกจากประตูไป หันมาพยักหน้าให้สงฉี ขมุบขมิบปากเล็กน้อยโดยไม่ได้ยินอะไร

เทียนหยวนกลับตื่นขึ้นมากะทันหัน เขาหันตัวมาอีกครั้ง พอเห็นหู่หลินก็ถามเสียงต่ำว่า “เจ้าทำอะไรกับข้า?”

“เทียนหยวน อย่าเสียมารยาท!” สงฉีพูดห้าม

หู่หลินถอนหายใจ “ก็แค่ใช้วิชาพรางตานิดหน่อย ข้าคุยกับฮูหยินของเจ้าแล้ว ในเมื่อนางไม่อยากเข้าไปเกี่ยวข้องเรื่องความขัดแย้งระหว่างพวกเรากับหนิวโหย่วเต๋อ เช่นนั้นก็ช่างเถอะ ไม่บังคับหรอก เพียงแต่หวังว่าเรื่องในวันนี้ ฮูหยินของเจ้าจะทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น”

มองไปที่สงฉีแวบหนึ่ง มีสงฉีอยู่ด้วย เทียนหยวนก็ไม่สะดวกจะอาละวาด เข้าไปข้างในทันที ถามปี้เยว่ว่า “เจ้าไม่เป็นอะไรใช่มั้ย?”

ปี้เยว่แสยะยิ้ม “เทียนหยวน ทีหลังมีอะไรก็พูดตรงๆ อย่าใช้วิธีการวางกับดักแบบนี้กับข้าอีก” พูดจบก็รีบเดินก้าวยาวออกมา เห็นได้ชัดว่าโมโหแล้ว

“ปี้เยว่!” เทียนหยวนตามออกมาเพราะอยากอธิบาย

“ไป!” ปี้เยว่ถลันตัวขึ้นไปบนท้องฟ้า พอร่ายอิทธิฤทธิ์ตะโกนสั่ง ผู้คุ้มกันสี่คนก็เหาะมาจากสี่ด้าน คุ้มครองนางเหาะขึ้นฟ้าไป

พอเดินทางออกไปแล้ว หนึ่งในผู้คุ้มกันสี่คนนี้ก็มองไปเบื้องล่างแวบหนึ่ง แล้วหยิบระฆังดาราในแขนเสื้ออย่างเงียบๆ ไม่รู้ว่ากำลังติดต่อไปที่ไหน

เทียนหยวนเงยหน้ามองบนฟ้าอย่างพูดไม่ออก

หู่หลินมองเทียนหยวนด้วยสายตาแปลกๆ หลังจากมองทะลุความลับของปี้เยว่แล้ว ถึงได้พบว่าปี้เยว่มีลุกกับคนอื่นแล้ว สวมหมวกเขียวใบใหญ่ให้เทียนหยวน เพียงแต่หมวกเขียวใบนี้สวมได้อย่างน่าสนใจทีเดียว

ความลับนี้ราวกับไม่จำเป็น เขาไม่ได้คิดจะบอกให้เทียนหยวนรู้

เทียนหยวนที่ได้สติกลับมาหันไปจ้องหู่หลินอีกครั้ง แล้วถามเสียงต่ำว่า “ผู้ตรวจการใหญ่ คนคนนี้เป็นใครกันแน่?”

“เทียนหยวน ไม่ต้องคิดมากแล้ว…” สงฉีชะงักไป พอหยิบระฆังดาราขึ้นมาก็สีหน้าเปลี่ยนทันที เขาหันหน้ามาไปที่หู่หลิน “ผู้อาวุโส สายลับพบว่ารอบๆ มีคนไม่น้อยกำลังประชิดเข้ามาตรงนี้ ข้าสั่งให้สกัดไว้แล้ว ผู้หญิงคนนั้นวางกับดักพวกเรา”

เทียนหยวนสีหน้าเปลี่ยนเช่นกัน ไม่เชื่อว่าปี้เยว่จะทำร้ายตนได้ หลุดปากว่า “เป็นไปไม่ได้”

หู่หลินส่ายหน้า แล้วยืนยันว่า “เขาพูดไม่ผิด ผู้หญิงคนนั้นไม่ได้มีความคิดแบบนี้ ไม่ใช่นาง! แต่หนิวโหย่วเต๋อรู้จุดประสงค์ที่นางมา มีความเป็นไปได้สูงว่าหนิวโหย่วเต๋อส่งคนมา น่าจะพุ่งเป้ามาที่เขา” สายตาจ้องไปที่เทียนหยวน

ทันใดนั้นรอบข้างก็มีเสียงต่อสู้ดังสะเทือนเลือนลั่น

“หนี!” สงฉีตะโกน

ทั้งสามทะยานขึ้นฟ้า ใครจะคิดว่าตอนที่เพิ่งจะขึ้นบนฟ้า จู่ๆ ในเมฆขาวก้อนหนึ่งที่ลอยอยู่บนฟ้าก็พลิกม้วนเปลี่ยนรูปร่าง มีเสียงดังปั้งๆๆ มีลำแสงยิงเข้ามาอย่างหนาแน่น

……………