บทที่ 1997 เคล็ดวิชาวิญญาณหยินเชื่อมหยาง

พิชิตสวรรค์ ทะยานฟ้า

ลำแสงหลายสิบสายยิงเข้ามาเร็วมากกว่าลำแสงจำนวนมากที่อยู่ข้างหลัง คนที่มีประสบการณ์มองปราดเดียวก็ดูออกแล้วว่าเป็นธนูฝ่าอิทธิฤทธิ์ขั้นหก

ท่ามกลางเมฆหมอกที่ปรากฏวับแวม คนนับพันซ่อนตัวอยู่ในนั้น ทั้งหมดสวมชุดดำโพกผ้าดำ คนที่บัญชาการอยู่ตรงกลางก็ไม่ใช่ใครที่ไหน เป็นเหยียนซิวนั่นเอง

คนที่ล้อมรอบบ้านพักภูเขาพบว่ามีคนไม่น้อยที่ดักซุ่มอยู่เป็นยอดฝีมือระดับสำแดงฤทธิ์ กอปรกับในบรรดาคนที่หนีไปก็มียอดฝีมือระดับสำแดงฤทธิ์อยู่ด้วยเช่นกัน เพื่อลดการบาดเจ็บล้มตาย เหยียนซิวสั่งให้ยิงธนูฝ่าอิทธิฤทธิ์อย่างไม่ลังเล

พวกสงฉีเลี้ยวหนีทันที สงฉีโบกมือโยนโล่ไปด้านหลัง มันหมุนวนและขยายใหญ่ขึ้น ต้านทานด้านบนของทั้งสาม

บึ้ม! ลำแสงหนาแน่นยิงโดน โล่โดนยิงจนลำแสงหายไป แล้วระเบิดกลายเป็นฝุ่นผงสีชมพู

สงฉีกับเทียนหยวนตกลงพื้นแล้ว ผลก็คือพบว่าข้างกายหายไปคนหนึ่ง พอเงยหน้าก็เห็นแขนเสื้อใหญ่โคร่งของหู่หลินปลิวสะบัด ปรากฏตัวลำพังอยู่ท่ามกลางเมฆหมอกสีชมพูที่ปลิวว่อน ท่าทางไม่หวาดกลัว!

สงฉีตกใจมาก เขาย่อมรู้หู่หลินก็คือพระปีศาจหนานโป แต่ตอนนี้พระปีศาจหนานโปไม่เหมือนในปีนั้น พลังอิทธิฤทธิ์ของหู่หลินแข็งแกร่งขนาดนั้น ก็เท่ากับว่าพลังอิทธิฤทธิ์ของพระปีศาจหนานโปแข็งแกร่งเท่านั้น อาศัยหู่หลินคนเดียวต้านทานการโจมตีจากธนูฝ่าอิทธิฤทธิ์จำนวนมากขนาดนั้นไหว

หู่หลินโบกแขนเสื้อ พลังอิทธิฤทธิ์โหวซัดสาด หมอกชมพูที่ระเบิดออกกระจายออกมาเป็นรูวงกลม สามารถเห็นฟ้าครามเมฆขาวได้

หู่หลินที่ลอยอยู่คนเดียวท่ามกลางหมอกแดงมีโพรงเงยหน้ามองบนฟ้า สีหน้าเรียบเฉย มองท้องฟ้าอย่างโอหัง!

บนท้องฟ้าเงียบแล้ว พอโจมตีก็ไม่มีความเคลื่อนไหวอะไร ทำให้สงฉีเข้าใจกระจ่างในฉับพลัน ทำไมลืมไปได้ว่าพระปีศาจมีพลังอภินิหารนี้

สงฉีเด้งขึ้นฟ้าไปคนแรก กลับไปข้างกายหู่หลิน เทียนหยวนที่งุนงงก็รีบเหาะกลับไปเช่นกัน

“ผู้อาวุโส ไม่ควรจะอยู่ที่นี่แล้ว รีบไปเถอะ” สงฉีกล่าวเตือน

หู่หลินพยักหน้าเบาๆ สายตาจ้องตรงไปที่เหยียนซิว

เมฆขาวสะเทือนสลายไป พันคนที่ซ่อนตัวอยู่ฟ้าปรากฏตัวแล้ว พันคนนั้นเคลื่อนไหวอย่างเชื่องช้า

เหยียนซิวหัวสมองว่างเปล่าไปพักหนึ่ง หลังจากร่ายอิทธิฤทธิ์ต้านทานจนได้สติกลับมาแล้ว เขาก็มองไปรอบๆ พบว่ากำลังพลรอบข้างที่ถือธนูฝ่าอิทธิฤทธิ์ไม่เคลื่อนไหวแล้ว ไม่น่าเชื่อว่าจะไม่ฟังคำบัญชาการของเขา จึงตะโกนทันทีว่า “ลงมือ!”

คนที่อยู่รอบๆ ยังไม่มีปฏิกิริยาอะไร หู่หลินแววตาวูบไหว พบว่าท่ามกลางหนึ่งพันคนบนฟ้า มีอยู่คนหนึ่งที่ไม่ถูกเขาควบคุม

หู่หลินขยับริมฝีปากเล็กน้อย คนพันคนตั้งลูกธนูบนสายตามคำสั่งของเหยียนซิว แต่ใครจะคิดว่าทั้งหมดกลับหันตัวมา ลูกธนูดาวตกทั้งหมดเล็งไปหาเหยียนซิวที่อยู่ตรงกลาง

“เอ่อ…” เทียนหยวนงงเป็นไก่ตาแตก นี่มันสถานการณ์อะไรกัน?

สงฉีกลับมีสีหน้าผ่อนคลาย ชำเลืองหู่หลินแวบหนึ่ง แล้วพึมพำในใจว่า พระปีศาจน่ากลัวเกินไปแล้ว ถ้ามีคนแบบนี้อยู่ในโลก ใครจะสงบใจได้ล่ะ?

เหยียนซิวตกใจมาก จากสายตาเลื่อนลอยของคนรอบข้าง เขาตระหนักได้ถึงความไม่ชอบมาพากล พลันนึกเชื่อมโยงกับความผิดปกติในสมองตัวเองเมื่อครู่นี้ ในหัวนึกถึงสิ่งที่เหมียวอี้เคยบอกอีกครั้ง คนน่ากลัวที่เพิ่งหลุดรอดออกมาจะมาหาเหมียวอี้เป็นคนแรก พอนึกได้แบบนี้ก็ขนลุกทันที

เขาไม่รู้ว่าตัวเองคิดมากไปหรือเปล่า แต่กลับไม่มีเวลาให้เขาได้คิดอะไรมาก

กำลังพลที่พามาด้วยยิงธนูโดยใส่เขาอย่างไม่เกรงใจเลยสักนิด ท่ามกลางเสียงดังปั้งๆ ลำแสงนับไม่ถ้วนยิงไปที่เหยียนซิวแล้ว

ภายใต้ระยะใกล้ขนาดนี้ เหยียนซิวไม่อาจหลบได้เลย แต่เขาก็เหมือนไม่มีท่าทีว่าจะหลบหลีก กลับกางแขนสองข้าง ทำท่าเหมือนให้ฆ่าได้ตามสบาย รอบกายมีปราณผีเย็นยะเยือกลอยขึ้นมา แต่ชั่วพริบตาเดียวก็ถูกถล่มโจมตีจนหายไปแล้ว

ท่ามกลางเสียงดังสะเทือนเลือนลั่น เหยียนซิวถูกสะเทือนจนแจกกลายเป็นไอหมอกสีดำแดงแล้ว

ภายใต้สถานการณ์ที่ล้อมเป็นวงแบบนี้ การยิงโจมตีมาตรงกลางในระยะใกล้ก็ไม่ต่างอะไรกับการเข่นฆ่ากันเอง คนปกติไม่มีทางทำอย่างนี้แน่ สิ่งนี้ยิ่งพิสูจน์การคาดเดาของเหยียนซิวแล้ว กำลังพลรอบข้างส่งเสียงร้องครวญครางเป็นแถบ คนของตัวเองถูกคนฝ่ายตัวเองยิงจนร่วงระนาว มีคนไม่น้อยตกลงมาแล้ว

ไอหมอกสีดำแดงที่กระจายอยู่รอบๆ เจาะแทรกซึมผ่านช่องว่างการโจมตีออกไป กลายเป็นหมอกแดงและหมอกดำเจาะเข้าไปในกลุ่มคนที่วุ่นวาย แล้วฉวยโอกาสรวมร่างเป็นคนอีกครั้ง ยกมือที่เป็นรูปหมอกขึ้นมา ชั่วพริบตาที่กำไลเก็บสมบัติวงหนึ่งที่หมุนตกลงมาจากฟ้าสวมลงที่ข้อมือ เหยียนซิวก็ปรากฏร่างจริงอีกครั้ง

คนที่อยู่ข้างๆ สังเกตเห็นโบกแขนฟันเข้ามาทันที เหยียนซิวมีกรงเล็บแหลมสีเขียวคล้ำงอกออกมาหลายส่วน เขาโบกแขนกวาดหนึ่งที เล็บที่แหลมคมกว่าดาบวิเศษตัดสายธนูขาด คว้านทำลายตัวธนูพังอย่างง่ายดายราวกับเป็นโคลนเหลว จากนั้นมือก็แวบหายไป ปาดคอของอีกฝ่ายจนมีดอกเลือดสาดกระจายสายหนึ่ง

คนคนนั้นโยนธนูแล้วกุมคอของตัวเองเอาไว้

รอบข้างวุ่นวายพร้อมกัน ล้อมโจมตีเหยียนซิวพร้อมกัน แต่เห็นร่างของเหยียนซิวราวกับเงาผี เขาไม่สนใจหรอกว่าเป็นคนของตัวเองหรือไม่ โบกกรงเล็บผีกรีดอาวุธ ตัดฟันเกราะรบ เงากรงเล็บไปตรงไหน ตรงนั้นก็มีเลือดเนื้อสาดกระจาย

กลุ่มคนรวมตัวกันล้อมโจมตี แต่เห็นเขาคำรามเสียงต่ำ แล้วหมุนตัวอย่างรวดเร็ว อ้าปากพ่นไฟสีเขียวดุร้ายออกมา ไฟผีกวาดไปสี่ด้านแปดทิศ

รอบข้างมีเสียงกรีดร้องดังทันที คนที่ตกอยู่ท่ามกลางเพลิงสีเขียวดิ้นรนร้องโหยหวน

สงฉีกับเทียนหยวนที่ห่อหนีออกมาไกลตะลึงอีกครั้ง พบว่าหู่หลินที่อยู่ข้างกายหายไปอีกแล้ว พอหันกลับมาอีก ก็พบว่าหู่หลินหยุดอีก กำลังจ้องการต่อสู้บนฟ้าอย่างนิ่งเงียบ

ทั้งสองรีบเหาะกลับไป สงฉีพูดเร่งเร้า “ผู้อาวุโส ตรงนี้แสดงเบาะแสแล้ว ถ้ากำลังพลกลุ่มใหญ่ของตำหนักสวรรค์มาก็จะยุ่งยากแล้ว รีบหนีกันเถอะ!”

หู่หลินกลับทำเหมือนไม่ได้ยิน ไม่สะทกสะท้าน ดูการต่อสู้ต่อไปเรื่อยๆ

ทั้งสองอดไม่ได้ที่จะมองเขาให้ละเอียด เห็นกับตาว่าเหยียนซิวเปลี่ยนจากมายาเป็นความจริง สู้มือเปล่าอยู่ท่ามกลางทัพที่วุ่นวายอย่างไม่มีอะไรต้านไหว แล้วก็เห็นเหยียนซิวพ่นไฟผีอีก ทั้งสองตกใจไม่เบาเช่นกัน สงฉีอดไม่ได้ที่จะถามอย่างประหลาดใจ  “นี่มันวิชาอะไรกัน?”

“เคล็ดวิชาวิญญาณหยินเชื่อมหยาง!” หู่หลินตอบเสียงเรียบ

“เอ่อ…” สงฉีตะลึงงัน จากนั้นก็ส่ายหน้า “ไม่ถูก ข้าเคยเห็นประมุขปราชญ์ลัทธิผีใช้เคล็ดวิชาวิญญาณหยินเชื่อมหยาง เหมือนจะแตกต่างกันนะ”

หู่หลินอธิบายอย่างใจเย็น “นี่ต่างหากเคล็ดวิชาวิญญาณหยินเชื่อมหยางที่แท้จริง ศิษย์อกตัญญูของข้าฝึกได้แค่วิชาครึ่งหยิน ยังเหลือวิชาครึ่งหยางที่ฝึกไม่สำเร็จ เพราะไม่มีพรสวรรค์นั้น เคล็ดวิชาวิญญาณหยินเชื่อมหยางที่แท้จริงเหนือกว่ามหาเวทอเวจีกับเคล็ดวิชาฟ้าครามทั่วหล้าไกลมาก ความลี้ลับอัศจรรย์ที่อยู่ในนั้นไม่ใช่สิ่งที่คนปกติจะจินตนาการได้ แต่ก็ไม่ใช่ว่าใครก็ฝึกได้ ศิษย์ทรยศของข้าน่ะ ถ้าฝึกได้สำเร็จจริงๆ ก็คงพอให้ยิ้มเย้ยใต้หล้าแล้ว คงไม่แพ้ง่ายขนาดนั้น…แต่ก็นึกไม่ถึง ว่าจะมีคนฝึกวิชานี้สำเร็จ น่าสนใจ!”

แม้เขาจะไม่รู้ว่าเหยียนซิวคือใคร แต่ก็ไม่ได้รู้สึกเหนือความคาดหมายมากที่เหยียนซิวสามารถฝึกเคล็ดวิชาวิญญาณหยินเชื่อมหยางสำเร็จ สิ่งนี้ยิ่งพิสูจน์แล้วว่าหนิวโหย่วเต๋อคือคนของหกลัทธิ ไม่อย่างนั้นคนคนนี้จะได้เคล็ดวิชาวิญญาณหยินเชื่อมหยางมาได้อย่างไร?

ประมุขปราชญ์ลัทธิผีฝึกเคล็ดวิชาวิญญาณหยินเชื่อมหยางได้แค่ครึ่งเดียวเท่านั้นเหรอ? เทียนหยวนมองหู่หลินด้วยแววตาระแวงสงสัย แล้วศิษย์ทรยศที่เขาพูดถึงคือใครล่ะ? กำลังพูดถึงประมุขปราชญ์ลัทธิผีหรือเปล่า? เช่นนั้นคนคนนี้…เทียนหยวนนึกถึงฉากที่คนพวกนี้ถูกควบคุมให้เข่นฆ่ากันเอง อดไม่ได้ที่จะสูดหายใจลึกด้วยความตระหนก ในหัวมีเงาคนคนหนึ่งแวบผ่านเข้ามา พระปีศาจหนานโป!

สงฉีเข้าใจในทันที แทบจะลืมไปแล้ว ว่าคนคนนี้เป็นผู้สร้างเคล็ดวิชาวิญญาณหยินเชื่อมหยางขึ้นมา ถ้าพูดถึงเคล็ดวิชาวิญญาณหยินเชื่อมหยาง เกรงว่าจะไม่มีใครเข้าใจมากกว่าท่านนี้แล้ว

“ผู้อาวุโสไม่ควรอยู่ที่นี่นาน สิ่งสำคัญตอนนี้คือหนีออกจากที่นี่ก่อน” สงฉีเตือนอีกครั้ง

“ไม่ได้ จะเก็บคนนี้ไว้ไม่ได้ ต้องกำจัดเขาทิ้งให้ได้ ไม่อย่างนั้นอุบายที่วางไว้ก่อนหน้านี้ก็สูญเปล่าแล้ว ” หู่หลินจ้องเหยียนซิวอย่างเยียบเย็น

สงฉีจำต้องเตือนอีก “ผู้อาวุโส ดูจากวิธีการของคนนี้ เหมือนจะกำจัดทิ้งยากมาก ถ้าถ่วงเวลาต่อไปจนกำลังหนุนมาก็จะยุ่งยากแล้ว”

“เคล็ดวิชาวิญญาณหยินเชื่อมหยางของเขายังไม่ถือว่าฝึกสำเร็จมาก ข้าย่อมมีวิธีการกำจัดเขาโดยเร็วอยู่แล้ว!” หู่หลินพูดเหยียด ประนมมือสองข้างพึมพำคาถา

สงฉีกับเทียนหยวนต่างก็รู้สึกสมองว่างเปล่า แต่ก็ยังส่ายหน้าเรียกสติกลับมา ทว่ากลับได้ยินว่าเสียงต่อสู้อันดุเดือดที่อยู่ไกลๆ เงียบลงแล้ว

หู่หลินหยุดท่องมนต์แล้ว เขาลืมตาขึ้น แววตาดูหดหู่เล็กน้อย

ผ่านไปไม่นาน สีด้านแปดทิศก็มีคนเหาะเข้ามาหลายพัน มีคนสวมผ้าปิดหน้า มีคนที่ปลอมตัว คนสวมผ้าปิดหน้าย่อมเป็นคนที่เหยียนซิวพามา ส่วนคนที่ปลอมตัวก็เป็นคนที่สงฉีพามา

พอคนพวกนี้มาถึง ก็เลิกแบ่งฝักแบ่งฝ่ายกัน รวมกลุ่มกันตั้งกระบวนทัพอยู่บนฟ้า แต่กลับไม่ได้รวมกันเป็นกลุ่มก้อน พวกเขากระจายกันเป็นรูปดาวหกแฉก ล้อมขังเหยียนซิวที่กำลังเข่นฆ่าเอาไว้ตรงกลาง ดูจากท่าทางแล้ว พระปีศาจหนานโปเหมือนจะควบคุมแม้กระทั่งคนของตัวเองด้วยแล้ว

สงฉีทึ่งมาก อดไม่ได้ที่จะกล่าวชม “ผู้อาวุโสมีพลังอภินิหารไม่ธรรมดาจริงๆ ด้วย!”

เขากลับไม่รู้ว่าทุกครั้งที่พระปีศาจหนานโปใช้วิชานี้จะต้องใช้สมาธิมากขนาดไหน ถ้าใช้พร่ำเพื่อโดยไม่ควบคุม วิญญาณศักดิ์สิทธิ์ก็ทนรับไม่ไหวเหมือนกัน สาเหตุที่ตอนอยู่ตรงสถานที่ผนึกสามารถควบคุมคนได้อย่างง่ายดาย ก็เพราะคนที่รุกล้ำเข้ามาถูกค่ายกลดวงดาวควบคุมอยู่ ไม่สามารถต้านทานได้ เขาถึงควบคุมคนพวกนั้นได้ง่ายๆ ไม่อย่างนั้นก็ไม่มีทางควบคุมระยะไกลได้ง่ายขนาดนั้น ถ้าควบคุมได้ไร้ขีดจำกัดจริงๆ จะไม่แย่หรอกหรือ?

ตอนค่ายกลผนึกแตกแล้วควบคุมพวกเทียนเจี้ยนได้ ก็เพราะพวกเทียนเจี้ยนมารวมตัวกันอยู่ไม่ไกลจากวัดมาก บวกกับทำให้พวกเขาประมาทล่วงหน้า นึกว่าปิดกั้นประสาทสัมผัสการได้ยินแล้วจะไม่เป็นอะไร ผลปรากฏว่าตกหลุมพรางเขาอย่างง่ายดาย ถ้าคนนับสิบล้านพวกนั้นป้องกันตัวอย่างสูง ทั้งยังกระจายกันอยู่ในระยะไกล ถ้าเขาฝืนควบคุมก็กลับจะถูกพลังย้อนทำร้ายด้วยซ้ำ ต่อให้ควบคุมสำเร็จ แต่คนที่ถูกควบคุมก็ไม่อาจหนีเขาไปไกลเกินไป ถ้าอยู่ในระยะเหนือการควบคุมของเขาเมื่อไร แล้วผู้ถูกควบคุมปลดการควบคุมออกได้ไม่ทันเวลา โดยทั่วไปเขาก็จะไม่มีโอกาสได้ควบคุมอีก คนที่ควบคุมจะสมองเสียหาย อย่างไรเสียก็ใช่ว่าทุกคนจะได้สมุนไพรจิตวิญญาณมาฟื้นฟูร่างกายเหมือนจิ้งจอกสามหาง

เหมือนที่จัดการกับปี้เยว่ นอกจากจะเปลืองเวลาเปลืองแรงแล้ว ก็ไม่มีทางควบคุมคนมากขนาดนั้นได้ในรวดเดียวด้วย

ทว่า เขาไม่อาจบอกจุดที่อ่อนแอให้สงฉีรู้ได้

และในกระบวนทัพที่ล้อมตอนนี้ บรรดาคนที่ถูกควบคุมไว้เหมือนไม่กลัวตาย ต่อให้ไฟผียากต่อกร แต่กลับล้อมเหยียนซิวไว้อย่างไม่คิดชีวิต

เหยียนซิวก็ตระหนักได้ถึงความผิดปกติเช่นกัน คนที่ล้อมเขาอยู่มีบางคนร่ายอิทธิฤทธิ์หมุนทวนเข็ม มีบางคนร่ายอิทธิฤทธิ์หมุนตามเข็ม ตอนแรกยังไม่รู้สึกอะไร แต่เริ่มรู้สึกได้ทีละนิดว่ามีพลังลึกลับควบคุม ทำให้การใช้เคล็ดวิชาของเขาช้าลงเรื่อยๆ และความรู้สึกนี้ก็ยิ่งรุนแรงมากขึ้น รู้สึกรางๆ ว่าเขากำลังถูกบีบให้เปลี่ยนร่างนักพรตผีไปเป็นร่างหยาง

ค่ายกลนี้ระงับเคล็ดวิชาวิญญาณหยินเชื่อมหยางของเขาได้! เหยียนซิวตกใจ เจียดเวลามองไปทางกลุ่มคนที่อยู่ไกลๆ ก่อนหน้านี้เขายังแค่สงสัยเท่านั้น ตอนนี้พอจะแน่ใจได้แล้ว พระปีศาจหนานโปอยู่ที่นี่!

เดิมทีเขาไม่อยากใช้เคล็ดวิชาวิญญาณหยินเชื่อมหยางอย่างเปิดเผย แต่จู่ๆ เบื้องล่างก็ขบถจนเข้าไม่มีทางเลือก

เขาเองก็ไม่อยากใช้ตั๊กแตนทมิฬอย่างเปิดเผนเช่นกัน แต่เหตุการณ์ตรงหน้าก็ไม่ยอมให้เขาได้คำนึงถึงอะไรมากขนาดนั้น เขาเจียดเวลาโบกมือ ชั่วพริบตานั้น ตั๊กแตนทมิฬขนาดใหญ่สิบตัวพลันพุ่งเข้าไปในกลุ่มคนราวกับหินก้อนใหญ่

…………