บทที่ 615.1 ไยจึงพูดมาก

กระบี่จงมา! Sword of Coming

ผู้ฝึกตนที่บรรลุมหามรรคาอย่างแท้จริง มีดีอยู่ข้อหนึ่ง นั่นคือดูเหมือนว่าจะไม่มีการจากเป็นจากตายอะไร ขอแค่โชควาสนามาถึงก็สามารถกลับมาพบกันใหม่ได้อีกครั้ง

หนึ่งหมื่นปีแล้วอย่างไร ตนก็ยังได้พบกับเฉินชิงตู ส่วนเฉินชิงตูก็ยังได้พบกับตนอยู่ดีไม่ใช่หรือ?

อย่างเดียวที่ต่างออกไปก็หนีไม่พ้นเป็นตนที่ยืนอยู่ตรงท่าข้ามของแม่น้ำแห่งกาลเวลาฝั่งนี้ ส่วนเฉินชิงตูยืนอยู่ฝั่งตรงข้าม

เด็กชายไม่คิดจะมองคนหนุ่มที่เขาไม่รู้ชื่อแซ่คนนั้นเลยสักนิด เพียงแค่แหงนหน้ามองไปยังตาเฒ่าที่เอาสองมือไพล่หลัง เฉินชิงตูที่มีฉายาว่าเซียนกระบี่ใหญ่ผู้อาวุโส

นับตั้งแต่ที่สติปัญญาเปิดโล่ง อาจารย์กับศิษย์พี่ต่างก็ไม่เคยปิดบังอะไรตน ดังนั้นเฉินชิงตูจึงไม่เพียงแต่เป็นคนรู้จักของอาจารย์เท่านั้น ยังเป็นคนรู้จักของเขาด้วย

ปีนั้นผู้ฝึกกระบี่ที่เป็นนักโทษอาญาสามคนซึ่งมีวัยวุฒิสูงที่สุด วิชากระบี่สูงที่สุด และพลังพิฆาตรุนแรงที่สุดจับมือกันออกเดินทางไกล ฉวยโอกาสที่รากฐานมหามรรคาของใต้หล้าเปลี่ยวร้างยังไม่มั่นคง ดวงตะวันจันทราหมุนเวียนเปลี่ยนผัน สี่ฤดูกาลสลับผันแปร ยังไม่มีการกำหนดกฎเกณฑ์ที่แน่นอน แต่ไม่ว่าจะอย่างไร ในเวลานั้นอาจารย์ของเขาก็คือเจ้าของใต้หล้าเปลี่ยวร้างที่ทุกคนให้การยอมรับแล้ว เฉินชิงตูกับผู้นำนักโทษอาญาอีกสองคนอย่างกวนจ้าว หลงจวิน ยอมจ่ายค่าตอบแทนเป็นการที่ต้องถูกฟ้าอำนวยดินอวยพรสยบเวทกระบี่ แต่ก็ยังจะพกกระบี่รุดไปภูเขาทัวเยว่ให้ได้ นี่ก็ถือว่าเป็นการถามกระบี่ต่อตลอดทั้งใต้หล้าเปลี่ยวร้างแล้ว

การต่อสู้ครั้งนั้นไม่ว่าจะเป็นระหว่างการต่อสู้หรือผลลัพธ์ ใต้หล้าเปลี่ยวร้างก็ไม่เคยมีบันทึกไว้ในประวัติศาสตร์ คนที่รู้เรื่องวงในก็ยิ่งมีน้อยจนนับนิ้วได้ เด็กชายได้ฟังศิษย์พี่ที่เป็นผู้สืบทอดคนหนึ่งของภูเขาทัวเยว่เล่าให้ฟังว่า ตอนนั้นภายในรัศมีหนึ่งหมื่นจั้ง นั่นก็เรียกได้ว่าฟ้าพลิกแผ่นดินคว่ำอย่างแท้จริง ลำพังเพียงแค่ภูเขาทัวเยว่ก็หดเตี้ยลงไปถึงครึ่งหนึ่ง นั่นคือผลลัพธ์จากการที่เจ้าของชุดคลุมขาดวิ่นตัวนั้นปล่อยกระบี่ออกไปตอนที่ยังมีชีวิตอยู่ ส่วนเค้าโครงช่วงแรกเริ่มสุดของแม่น้ำเย่ลั่วในทุกวันนี้ ว่ากันว่าก็เกิดจากตนที่ปล่อยกระบี่ฟันไป ถึงได้ก่อให้เกิดทัศนียภาพอันยิ่งใหญ่งดงามในภายหลัง

เพียงแต่ตนนั้นมีสภาพอเนจอนาถมากที่สุด จิตวิญญาณไม่ครบถ้วน กระจัดกระจายไปสี่ทิศ คนที่เฝ้าพิทักษ์ภูเขาทัวเยว่แต่ละรุ่นจึงมีหน้าที่อย่างหนึ่งที่ไม่แพร่งพรายให้คนนอกรู้ นั่นคือช่วยตนรวบรวมจิตวิญญาณ จนกระทั่งถึงวันนี้ก็ยังทำได้แค่รวบรวมหนึ่งจิตหนึ่งวิญญาณที่มีมาแต่เดิม จากนั้นก็เอาจิตวิญญาณอื่นๆ มาประกอบชดเชย ส่วนโครงกระดูกเนื้อหนังมังสาล้วนดับสูญอย่างสิ้นเชิงไปนานแล้ว ไร้ความหวังที่จะสร้างขึ้นมาใหม่ สำหรับข้อนี้ก็ต้องบอกว่าเขาไม่ได้โชคดีเหมือนหลงจวินผู้นั้น จะดีจะชั่วฝ่ายหลังก็ยังมีศีรษะที่เป็นของตัวเองเหลือเอาไว้ น่าเสียดายก็แต่ถูกปีศาจใหญ่โครงกระดูกที่ตนตั้งชื่อให้ว่าหยกขาวตนนั้นเหยียบเล่นไว้ใต้ฝ่าเท้า หากอารมณ์ดีก็รินเหล้าที่อยู่ในจอกใส่ ร่ายเวทคาถานอกรีตอีกเล็กน้อย ก็สามารถเรียกหุ่นเชิดที่มีพลังการต่อสู้เทียบเท่ากับเซียนกระบี่ใหญ่คนหนึ่งออกมาได้ น่าเสียดายที่ตนไม่อาจเรียนรู้เวทคาถานี้ได้ ไม่อย่างนั้นขอแค่เมื่อใดที่กำแพงเมืองปราณกระบี่ถูกตีแตก เรื่องสนุกจะมีน้อยได้หรือ?

เพียงแต่ว่าไม่รู้เหตุใด หลงจวินที่แค่สูญเสียหนึ่งจิตสองวิญญาณ ทั้งๆ ที่เก็บรักษาสติปัญญาเอาไว้ได้เกินครึ่ง ในฐานะคนบนเส้นทางเดียวกันที่ในอดีตติดตามเฉินชิงตูออกกรีฑาทัพไปทั่วทิศ คือเซียนกระบี่ยุคแรกเริ่มสุดของเผ่ามนุษย์ เขากลับไม่เพียงแต่ไม่เคยปรากฎตัวบนโลกมนุษย์ด้วยโฉมหน้าที่แท้จริง แม้แต่ศีรษะที่เดิมที่เป็นของเขาก็ยังไม่เก็บเอาไป ปล่อยให้หยกขาวที่พลังพิฆาตสูสีกับตนเหยียบหัวกะโหลกนั้นไว้ ส่วนตัวเองกลับแสร้งทำเป็นมองไม่เห็น แต่กลับกลายเป็นว่าดันเคียดแค้นเฉินชิงตูที่ในอดีตเคยเป็นเพื่อนรักเข้ากระดูกดำเสียได้

เด็กชายยกมือขึ้นปิดปากที่หาวหวอด รอคอยอีกฝ่ายลงมืออย่างสงบ จุดจบถูกกำหนดมาไว้นานแล้ว น่าเบื่อจริงๆ

มองเฉินชิงตูไปแล้ว จึงไล่สายตามองไปยังหญิงสาวที่ยืนอยู่ริมหัวกำแพงผู้นั้นบ้าง

หนิงเหยา

คือผู้ฝึกกระบี่รุ่นเยาว์ที่มีชื่อเสียงเลื่องลืออยู่ในใต้หล้าเปลี่ยวร้างมานาน นี่ไม่ได้เกี่ยวข้องกับว่าขอบเขตของนางในเวลานี้สูงหรือต่ำ แต่เป็นเพราะความสูงต่ำของขอบเขตนางในอนาคตได้ถูกกำหนดแล้วว่านางจะมีตำแหน่งอยู่ในใจของปีศาจใหญ่มากมายในใต้หล้าเปลี่ยวร้าง

อะไรที่เรียกว่าผู้มีพรสวรรค์?

นั่นคือผู้ที่ดูเหมือนว่าขอแค่ไม่สนใจพวกเขาแค่ไม่กี่วันไม่กี่ปี ‘อนาคต’ นั้นก็จะมาถึงในชั่วพริบตา ระหว่างนี้จะไม่มีเรื่องไม่คาดฝันใดๆ ไม่มีหมื่นหนึ่งใดๆ ทั้งสิ้น

ตนเป็นเช่นนี้ เจ้าลูกผสมที่แบก ‘ชั้นวางกระบี่’ กลไกของสำนักโม่ผู้นั้นก็น่าจะถือว่าใช่ครึ่งหนึ่งกระมัง อีกฝ่ายมีชื่อที่ประหลาดอย่างมาก ชื่อว่าเป้ยเชี่ย (สะพายหีบ)

อาจารย์ของเป้ยเชี่ยนั่นต่างหากถึงจะร้ายกาจอย่างแท้จริง

แม้แต่อาจารย์ตนก็ยังเอ่ยประโยคว่า ‘น่าเสียดายที่นิสัยไม่เหี้ยมมากพอ เป็นเหตุให้เวทกระบี่ไปไม่ถึงจุดสูงสุด ไม่อย่างนั้นตัวเลือกที่เหมาะสมที่จะให้มาสยบกำแพงเมืองปราณกระบี่มากที่สุด ก็คือคนผู้นี้แล้ว’

ได้ยินมาว่าทวีปแดนเทพแผ่นดินกลางของใต้หล้าไพศาลยังมีคนหนุ่มที่เรียนวิชาหมัดอีกคนหนึ่ง มีนามว่าเฉาสือ เขาเองก็เป็นคนประเภทเดียวกับตนเหมือนกัน

ศีรษะของปีศาจใหญ่ขอบเขตบินทะยานที่เด็กชายเหยียบไว้ใต้ฝ่าเท้าถือว่าเป็นศิษย์พี่ผู้สืบทอดสายของภูเขาทัวเยว่ในนามเหมือนกัน เพียงแต่ว่ายามที่อยู่ในคุกของกำแพงเมืองปราณกระบี่น่าจะได้รับบาดเจ็บทางกายสาหัสเกินไป ตบะจึงถูกลดทอนไปมหาศาล เฉินชิงตูถึงได้กระชากหัวของเขาออกมาได้อย่างง่ายดาย ทว่าต่อให้ขอบเขตบินทะยานไม่มั่นคง ร่างกายก็ยังคงเป็นร่างกายของปีศาจใหญ่แห่งใต้หล้าเปลี่ยวร้าง หากเปลี่ยนมาเป็นตนในเวลานี้ ต่อให้เหวี่ยงอาวุธเซียนหลายชิ้นฟันลงไปหลายปีก็ยังทำได้ไม่สำเร็จ นี่ก็แสดงว่าเฉินชิงตูร้ายกาจมากจริงๆ ครั้งนี้ติดตามอาจารย์ออกจากภูเขา มาเยี่ยมเยือนกำแพงเมืองปราณกระบี่ ได้เห็นคนที่กำลังจะตายมากมายขนาดนั้น อีกทั้งบนหัวกำแพงยังมีแต่เซียนกระบี่ห้าขอบเขตบนตัวจริงเสียงจริง ก็นับว่ามาไม่เสียเที่ยวแล้ว

ความคิดส่วนใหญ่ของเด็กชายที่อายุสิบสองปีแต่กลับยังมีรูปโฉมเป็นเด็กน้อยคนนี้ล้วนอยู่บนสนามรบ ทว่าเวลาเพียงแค่ไม่กี่ชั่วพริบตา เขาก็ตีปากตัวเองพลางเอ่ยว่า “หากข้าจงใจไม่สังหารเจ้า เหลือชีวิตไว้ให้เจ้าครึ่งหนึ่งด้วยความหวังดี หนิงเหยาจะลงมาต่อสู้แทนเจ้าหรือไม่? หากเป็นไปได้ ถ้าอย่างนั้นก็ถือว่าเจ้าโชคดีไม่น้อยเลย วันหน้าสองใต้หล้า หรือแม้กระทั่งสี่ใต้หล้าก็ล้วนต้องจดจำเจ้าได้ ได้กลายเป็นคนแรกที่ข้าเลือกต่อสู้ด้วยหลังออกจากภูเขา แล้วยังไม่ตายอีกด้วย”

ผู้เฒ่าขี่กระบี่ที่บนบ่าแบกกระบองยาวซึ่งก่อนหน้านี้ใช้วิชาอภินิหาร ‘จำศีลหน้าหนาวตายไปครึ่งตัว’ ฮุบกลืนกึ่งกลางภูเขาสูงตระหง่านหลายสิบลูกของใต้หล้าเปลี่ยวร้างไปในรวดเดียว แล้วก็นอนหลับมายาวนานหลายพันปี เวลานี้ยิ้มถามสตรีที่สวมชุดคลุมมังกรเบาๆ ว่า “เด็กคนนี้คิดได้เองกะทันหัน หรือได้รับคำสั่งจากท่านบรรพบุรุษ?”

สตรีส่ายหน้า “ในสายตาของท่านบรรพบุรุษมีเพียงเฉินชิงตูและตลอดทั้งกำแพงเมืองปราณกระบี่เท่านั้น ไม่มีอารมณ์มาสนใจเรื่องขี้หมูราขี้หมาแห้งพวกนี้หรอก”

ในฐานะเจ้าของแม่น้ำเย่ลั่วและสายน้ำหมื่นลี้อีกสามสิบหกเส้น นางจึงไม่เคยเข้าสู่การจำศีลอันยาวนาน หรือควรจะพูดว่าเป็นเพราะมีงูยาวสีแดงสดตัวนั้นคอยช่วงชิงบนมหามรรคาอยู่กับนาง นางจึงไม่อาจฝึกตนอย่างสงบได้ ทั้งสองฝ่ายต่อสู้เอาเป็นเอาตายกันมาสามพันปี ศิษย์ลูกศิษย์หลานบาดเจ็บล้มตายไปนับไม่ถ้วน ก็มีแค่ตบะของสองฝ่ายที่ไม่ได้รับความเสียหายใดๆ กลับกันยังเดินขึ้นสู่ที่สูงได้อย่างมั่นคง กองกำลังใต้บังคับบัญชาที่ตายไปก็ล้วนถือเป็นอาหารเสริมบำรุงกำลังชิ้นใหญ่ของพวกนาง เมื่อเทียบกับการแอบกินปีศาจใหญ่ตัวหนึ่งทุกๆ สามวันห้าวันให้ต้องเสียชื่อตัวเองเปล่าๆ แล้ว ถือว่าคุ้มค่ากว่ามาก นี่ก็หนีไม่พ้นว่าทุกๆ ระยะเวลาแปดร้อยหรือหนึ่งพันปี ทั้งสองฝ่ายต้องนัดทำสงครามกันสักครั้ง แม้จะบอกว่าทำสงคราม แต่แท้จริงแล้วก็แค่สองฝ่ายร่วมกันสร้างฟ้าดินแห่งหนึ่งขึ้นมาตัดขาดกับฟ้าดินภายนอก แล้วเผยร่างจริง สร้างความอึกทึกครึกโครมฟ้าดินสั่นสะเทือนที่อย่างมากก็แค่เจ้าตีข้าทีหนึ่ง ข้าตีเจ้าทีครั้ง ระหว่างนี้ก็แค่ต่างฝ่ายต่างทำลายอาวุธกึ่งเซียนชิ้นสองชิ้นกับสมบัติอาคมกองใหญ่ที่มีคนมาประเคนให้ให้เละเทะ สุดท้ายเมื่อเล่นสนุกพอแล้วก็ค่อยทุบตีฟ้าดินขนาดเล็กให้พังทลาย จงใจทำให้ร่างจริงของตนมีสภาพน่าสังเวชเลือดท่วมตัวสักหน่อย แค่นี้ก็ถือว่ามีคำอธิบายให้ทุกฝ่ายได้แล้ว เพราะถึงอย่างไรทั้งสองฝ่ายต่างก็รู้ดีว่าพลังการต่อสู้แท้จริงไม่ได้ต่างกันมากนัก หากคิดจะเข่นฆ่ากันเอาจริงเอาจังขึ้นมาจริงๆ คนรุ่นเดียวกันจำนวนไม่น้อยที่มีบัลลังก์อยู่ในบ่อโบราณก็ไม่ถือสาที่จะร่วมมือกันกลืนกินพวกนาง โดยเฉพาะอย่างยิ่งเจ้าโครงกระดูกผู้นั้นที่ชอบทำอะไรลับๆ ล่อๆ ขุดดินลึกสามฉื่อเพื่อควานหา เป็นเหตุให้ปีศาจใหญ่หลายตัวในประวัติศาสตร์ที่แอบรักษาบาดแผลอยู่เงียบๆ รักษาไปรักษามากลับตายไปอย่างเงียบเชียบ แต่แท้จริงแล้วกลับถูกจับไปหลอมเป็นหุ่นเชิด นี่จึงเป็นเหตุให้มองภายนอกพลังการต่อสู้ของปีศาจใหญ่หยกขาวไม่สูงนัก แต่แท้จริงแล้วทรัพย์สมบัติกลับหนาลึกล้ำ ลึกจนมองไม่เห็นก้นบึ้ง

ผู้เฒ่าขี่กระบี่ใช้สองมือตบกระบองยาวเบาๆ “ถ้าอย่างนั้นก็น่าสนใจแล้ว ข้าชอบเจ้าเด็กคนนี้ พอไปถึงใต้หล้าไพศาล ข้าจะต้องมอบของขวัญพบหน้าให้เขาสักชิ้น”

สตรีสวมชุดคลุมมังกรถือเป็นคู่บำเพ็ญเพียรครึ่งตัวของผู้เฒ่าขี่กระบี่ นางเอ่ยสัพยอกว่า “ลูกศิษย์คนสุดท้ายของท่านบรรพบุรุษ เจ้าก็มีคุณสมบัติจะมอบของขวัญให้เขาด้วยหรือ?”

ผู้เฒ่ายิ้มกล่าว “จะรับไว้หรือไม่ก็เป็นเรื่องของเด็กคนนั้น แต่จะมอบให้หรือไม่กลับเป็นเรื่องของข้า ไม่รับ หนึ่งกระบองฟาดลงไป จิตวิญญาณแหลกสลาย แล้วค่อยกลับคืนมาใหม่ ใต้หล้าไพศาลขึ้นชื่อว่ามีสมบัติวิเศษแห่งฟ้าดินมากมาย แค่เอาเส้นเอ็นกระดูกและจิตวิญญาณมาประกอบกันจะมีอะไรยาก ไม่แน่ว่ายามที่เด็กคนนี้เผยตัวอีกครั้ง อาจมีพรสวรรค์ดีกว่าตอนนี้ก็ได้ ท่านบรรพบุรุษยังต้องขอบคุณที่ข้าช่วยเหลือด้วยซ้ำ เพราะหากอาจารย์ลงมือสังหารลูกศิษย์ด้วยตัวเอง ถึงอย่างไรก็จะทำลายความสัมพันธ์เอาได้”

เด็กชายที่ชื่อเดิมว่า ‘กวนจ้าว’ พลันยิ้มกว้าง ศึกหลังออกจากภูเขาของตนครั้งนี้ เปลี่ยนคู่ต่อสู้ที่แท้จริงเป็นหนิงเหยาน่าจะดีกว่า

แล้วก็จริงดังคาด เมื่อได้รับการบอกเป็นนัยจากตน

ปีศาจใหญ่หน้าตาหล่อเหลาที่ตรงเอวห้อยน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่งดงามก็ชำเลืองมองหนิงเหยาที่อยู่บนหัวกำแพงเมืองอีกครั้ง แล้วก็คงรู้สึกเหมือนกันว่าหากหนิงเหยาลงสนามรบ ตัวเองน่าจะได้ผลเก็บเกี่ยวมากกว่า ดังนั้นปีศาจใหญ่ท่านนี้จึงตบน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่หนึ่งครั้ง แสงกระบี่เส้นหนึ่งก็พุ่งออกมาจากน้ำเต้า ตรงดิ่งไปยังคนหนุ่มที่มาถ่วงธุระสำคัญของพวกเขา ขอแค่หนิงเหยาตายอยู่ใต้หัวกำแพงเมือง เขาถึงจะมีโอกาสถลกหนังหน้าของนังเด็กนั่นมากขึ้น ใบหน้าของหนิงเหยานี้เป็นวัตถุงดงามชิ้นใหญ่ที่เขาหวังว่าจะได้ครอบครองพอๆ กับหนังหน้าของฮูหยินแห่งภูเขาชิงซานและเทพีแห่งการต่อสู้เผยเปย

หลังจากที่แสงกระบี่เส้นนั้นพุ่งออกมาจากน้ำเต้าก็ตรงดิ่งออกไปเป็นเส้นตรง แม้จะบอกว่าเป็นแสงกระบี่หนึ่งเส้น แต่แท้จริงแล้วกลับหนาใหญ่ราวกับปากบ่อน้ำ พลังอำนาจของงปราณกระบี่เปี่ยมล้นจนทำให้ปณิธานกระบี่และปราณกระบี่ที่เดิมทีไหลรินไม่หยุดนิ่งอยู่ระหว่างฟ้าดินถูกปั่นคว้านจนเละไปนับไม่ถ้วน แสงกระบี่พุ่งไปอย่างรวดเร็วจนเป็นเหตุให้แสงกระบี่ไปกระแทกโดนตัวคนหนุ่มชุดเขียวแล้ว ทว่าบนพื้นดินกลับเพิ่งจะเกิดร่องหนากว้างลึกหลายจั้งเพราะถูกปราณกระบี่ฉีกออก

สนใจกฎกติกาในสนามรบบ้างหรือไม่ สนใจสถานะปีศาจใหญ่ขั้นสูงสุดบ้างหรือไม่?

ใต้หล้าเปลี่ยวร้างไม่มีความพิถีพิถันในเรื่องพวกนี้จริงๆ

ศึกสิบสามครั้งนั้นใต้หล้าเปลี่ยวร้างแพ้แล้ว แต่ปีศาจใหญ่ที่รวมถึงฉงกวงเป็นหนึ่งในนั้น มีใครบ้างที่คิดเป็นจริงเป็นจัง?

พวกที่คิดเป็นจริงเป็นจังก็มีแค่พวกเซียนกระบี่และใต้หล้าไพศาลเท่านั้น

หลังจากละเมิดสัญญา ปีศาจใหญ่สองตนที่เป็นตัวแทนใต้หล้าเปลี่ยวร้างเอ่ยคำสาบานต้องตายคาที่ในทันที

ใต้หล้าเปลี่ยวร้างเสียเปรียบมากนักหรือ?

สามารถแลกชีวิตกับเซียนกระบี่ของกำแพงเมืองปราณกระบี่ได้ ฝ่ายตัวเองมีปีศาจใหญ่หลายตนตายไป จะนับเป็นอะไรได้ ใต้หล้าเปลี่ยวร้างมีคนให้ตายมากพอก็แล้วกัน แต่สิ่งที่ทำให้ใต้หล้าเปลี่ยวร้างปวดหัวมาโดยตลอดอย่างแท้จริงก็คืออีกฝ่ายอาศัยกำแพงเมืองปราณกระบี่ที่แข็งแกร่งมิอาจทำลายมาช่วยให้พวกเซียนกระบี่ระดับสูงสุดสามารถรุกและถอยได้ตามใจปรารถนา เซียนกระบี่ทุกท่านที่แค่บาดเจ็บไม่ถึงกับตาย คราวหน้าก็ลงสนามต่อสู้ได้ใหม่ นั่นต่างหากจึงจะเป็นปัญหายุ่งยากอย่างแท้จริง! เรื่องขอบเขตถดถอยคือหายนะที่ใหญ่ที่สุดบนเส้นการฝึกตนที่ทั้งใต้หล้าเปลี่ยวร้างและใต้หล้าไพศาลเห็นพ้องร่วมกัน แต่กลับมีเพียงผู้ฝึกกระบี่ของกำแพงเมืองปราณกระบี่เท่านั้นที่ขอบเขตถดถอยทว่ากลับแทบจะเรียกไม่ได้ว่าถดถอยอย่างแท้จริง!

หลังจากปีศาจใหญ่ตบน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่ปล่อยกระบี่ออกไปทีหนึ่งก็เริ่มรอคอยผลลัพธ์ที่อยู่แค่ว่าจะชนะมากหรือชนะน้อยอย่างสงบ

ขอแค่คนหนุ่มผู้นั้นตาย ลูกศิษย์ของท่านบรรพบุรุษก็แค่รับช่วงต่อ เพราะยังมีหนิงเหยาอีกคนไม่ใช่หรือ? คนของกำแพงเมืองปราณกระบี่รักศักดิ์ศรีกันนักนี่ แถมศักดิ์ศรีที่ว่านั้นต่อให้ตายก็ยังจะต้องรักษาไว้เสียด้วย

หากทำให้เฉิงชิงตูไม่สบอารมณ์จึงเลือกจะลงมือกับตน ท่านบรรพบุรุษก็ไม่มีทางเลอะเลือนแน่นอน เขาจะต้องเปิดศึกโกลาหลขึ้นมาทันที ทั้งฝ่ายศัตรูและฝ่ายตัวเองต่างก็ประหยัดแรงกายแรงใจ แค่เปิดฉากสงครามอย่างแท้จริงเสียตั้งแต่ตอนนี้ จะเป็นไรไป?

ทางฝั่งของหัวกำแพงเมือง เฉินชิงตูไม่ได้แสดงท่าทีดีใจหรือไม่สบอารมณ์ใดๆ เพราะก่อนที่ปีศาจใหญ่ตนนั้นจะยื่นมือตบไปน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่ เขาก็ยิ้มเอ่ยขึ้นมาก่อนแล้วว่า “จั่วโย่ว ในฐานะศิษย์พี่ใหญ่ ช่วยเก็บกวาดสนามรบที่ศิษย์น้องทำเละให้สะอาดสะอ้านก็คงไม่ยากกระมัง? หากอีกฝ่ายทำเกินขอบเขตจริงๆ เจ้าก็ออกจากหัวกำแพงไปได้เลย ข้าจะช่วยคุมหลังให้เอง”

จั่วโย่วพยักหน้ารับ

ดังนั้นบนพื้นดินเบื้องหน้าคนหนุ่มชุดเขียว จุดที่แสงกระบี่พุ่งไปจึงมีปราณกระบี่นับสิบล้านกลุ่มพวยพุ่งขึ้นมาอย่างฉับพลัน ปั่นทำลายแสงกระบี่ที่บุกมาอย่างดุดันเส้นนั้นจนแตกกระจุยกระจาย