บทที่ 615.2 ไยจึงพูดมาก

กระบี่จงมา! Sword of Coming

“แค่นี้ก็ลงมือแล้ว? คู่ต่อสู้ไม่ใช่ข้าหรือ?”

หลังจากที่ปีศาจใหญ่ซึ่งเฝ้าพิทักษ์อยู่บนหอหยกเรือนอัญมณีนับร้อยนับพันแห่งตนนั้นพลิ้วกายลงบนพื้นก็ไม่ได้เก็บจวนตระกูลเซียนบรรพกาลที่ค้นหาแล้วรวบรวมมาอย่างยากลำบากพวกนั้นลงไป เรือนน้อยใหญ่จึงล้อมวนอยู่รอบกายเขา หมุนวนไปช้าๆ ประหนึ่งดวงดาวที่โคจรอยู่ข้างกายเซียน ปีศาจใหญ่ยกมือขึ้นช้าๆ ตำหนักโบราณขนาดเท่าฝ่ามือที่ตลอดทั้งหลังล้วนเป็นหยกขาวหิมะก็พุ่งไปยังกลางอากาศเหนือหัวคนทั้งสองที่อยู่บนสนามรบ แล้วพลันขยายใหญ่ มืดฟ้ามัวดิน ก่อนจะกระแทกเข้าใส่ทั้งลูกศิษย์ของบรรพบุรุษและคนหนุ่มชุดเขียว ไม่แบ่งแยกว่าเป็นคนกันเองหรือศัตรู

จั่วโย่วชักกระบี่ออกจากฝัก ปณิธานกระบี่บนร่างอยู่ไกลเกินกว่าจะเรียกได้ว่ามากมายมหาศาล แทบจะเรียกว่าเปลี่ยวเหงานิ่งสงบด้วยซ้ำ และเขาก็เพียงยกกระบี่ฟันฉับลงไปง่ายๆ

ตำหนักหยกขาวที่ใหญ่ราวขุนเขาแห่งนั้นถูกแบ่งผ่าออกเป็นสองท่อน ไม่เพียงเท่านี้ ปราณกระบี่ยังกระเซ็นไปรอบด้าน ตัวตำหนักแหลกสลายกลายเป็นผุยผง หินก้อนใหญ่ปริแตก เศษหยกร่วงกราวราวกับสายฝนตกกระหน่ำ

ปีศาจใหญ่ที่ลักษณะคล้ายเซียนตนนั้นไม่เสียดายแม้แต่น้อย กลับกันยังลูบหนวดพูดกลั้วหัวเราะเสียงดัง “เวทกระบี่ดี น้ำหนักมากพอ”

ปีศาจใหญ่หันหน้าไปมองชายฉกรรจ์เคราดกที่พกดาบสะพายกระบี่ “เป็นอย่างไร? ผู้ฝึกกระบี่ที่ยืนอยู่ข้างกายเฉินชิงตูคนนี้ ยกให้เจ้าจัดการดีไหม?”

ชายฉกรรจ์เคราดกกล่าวอย่างเฉยเมยว่า “อยู่บนสนามรบ ให้จั่วโย่วสังหารเจ้าก่อน แล้วข้าค่อยช่วยแก้แค้นให้เจ้า หากจะขอบคุณข้าก็หุบปากไปซะ ไม่อย่างนั้นคงถึงคราวที่กำแพงเมืองปราณกระบี่ต้องขอบคุณข้าบ้างแล้ว”

ปีศาจใหญ่ทอดถอนใจ “ต่อให้ข้าสังหารจั่วโย่วได้ก็ยังเป็นการค้าที่ขาดทุนอยู่ดี เพราะถึงอย่างไรต่อให้ซุ้มป้ายของสกุลเฉินผู้รอบรู้ในทักษินาตยทวีปจะดีแค่ไหน แต่ก็ยังถือว่าเป็นของใหม่เอี่ยม ตอนนี้ข้าทะนุถนอมเห็นค่าพวกของเก่าแก่ที่เก็บรักษามานานหลายปีมากกว่า แต่ละชิ้นล้วนเป็นของรักของข้า เหลืออยู่เพียงชิ้นเดียวบนโลก หากไม่มีก็คือไม่มีแล้วจริงๆ จะไปหาที่ไหนได้อีก ยังคงเป็นผู้ฝึกกระบี่อย่างพวกเจ้าที่ผึ่งผายมากกว่า ยามเข่นฆ่ากันขึ้นมาก็ไม่เคยสนใจผลได้ผลเสียพวกนี้”

บนหัวกำแพง ผังหยวนจี้เริ่มเดือดดาล เขาพูดเสียงทุ้มหนักว่า “ปีศาจใหญ่พวกนี้ลงมือเพราะจงใจช่วยสร้างบรรยากาศให้แก่เจ้าเดรัจฉานน้อยตนนั้น หมายจะข่มกำราบสภาพจิตใจของเฉินผิงอัน!”

เฉินซานชิวสีหน้าเคร่งเครียด

นี่ก็คือสนามรบของกำแพงเมืองปราณกระบี่ พาตัวไปตกอยู่ในวงล้อมสังหารเพราะหวังเอาชนะ ส่วนใหญ่มักจะไม่ค่อยมีจุดจบที่ดี เผ่าปีศาจของใต้หล้าเปลี่ยวร้างชอบผู้ฝึกกระบี่ที่ใช้อารมณ์เหนือเหตุผลเป็นที่สุด

ในเรื่องของการทำสงคราม ต่อให้เจ้าจะเป็นเซียนกระบี่ห้าขอบเขตบน หากรู้สึกว่าไม่ว่าใครก็สามารถใช้หนึ่งกระบี่ทิ่มให้ฟ้าเทลาดลงมาได้ นั่นก็ยากที่จะสมใจหวังแล้ว เพราะมีแต่จะทำให้เผ่าปีศาจสมปรารถนา มอบคุณความชอบครั้งหนึ่งหรืออาจเป็นชุดให้อีกฝ่ายไปเสียเปล่าๆ

ปีศาจใหญ่หลายตนชอบจงใจสร้างสถานการณ์ กุมผู้ฝึกกระบี่ที่บาดเจ็บสาหัสเอาไว้ในมือ ก่อนจะค่อยๆ ฉีกแขนทึ้งขาของเขาอย่างเนิบช้าแล้วยัดใส่ปากเคี้ยว หรือไม่ก็ค่อยๆ ถลกหนังดึงเส้นเอ็นของผู้ฝึกกระบี่ที่อยู่ในมือออกทีละนิด แต่ละวิธีอำมหิตทารุณ โหดร้ายจนมิอาจทนมอง ผู้ฝึกกระบี่ที่ตกอยู่ในสภาพเช่นนี้มีแต่จะอยู่ไม่สู้ตาย ส่วนผู้ฝึกกระบี่ที่ถูกพันธนาการวิญญาณ แม้แต่จะฆ่าตัวตายก็ยังเป็นความเพ้อฝัน สิ่งที่ปีศาจใหญ่ต้องการก็คือหลอกล่อให้ผู้ฝึกกระบี่จำนวนมากกว่าเดิมออกมาจากกำแพงเมืองปราณกระบี่ เข้าไปเข่นฆ่าใจกลางถิ่นของพวกมัน หากเซียนกระบี่คนใดลงมือก็จะมีปีศาจใหญ่เข้ามาล้อมไว้ในชั่วพริบตา หลังจบเรื่องก็แบ่งคุณความชอบทางการศึกกัน และในประวัติศาสตร์ก็เคยมีบทเรียนที่อาบนองไปด้วยเลือดอยู่มากมาย

ผู้ฝึกกระบี่รุ่นเยาว์ที่เป็นลูกรักของสวรรค์ถูกจับตัวไป ผู้อาวุโสในตระกูลหรือผู้ฝึกกระบี่ที่ถ่ายทอดวิชาให้ไปช่วยเหลือ ต้องตาย หากมีเซียนกระบี่ไปช่วยอีก ก็ตายอีก เซียนกระบี่ที่เป็นสหายสนิทไปช่วย ก็ยังต้องตายอยู่ดี

สุดท้ายกลับกลายเป็นผู้ฝึกกระบี่รุ่นเยาว์คนนั้นที่ตายช้าที่สุด เคยมีผู้ฝึกกระบี่รุ่นเยาว์ที่ต้องเผชิญกับเหตุการณ์เช่นนี้ ถึงขั้นที่ว่าท้ายที่สุดแล้วก็ยังไม่ถูกปีศาจใหญ่สังหาร คนหนุ่มที่มือเท้าไม่เหลือ กระบี่บินแตกสลายถูกปีศาจใหญ่ตนนั้นโยนทิ้งไว้บนพื้น ขณะที่เผ่าปีศาจถอนกำลังออกไป ยังออกคำสั่งให้เผ่าปีศาจทุกตนเดินอ้อมเขาไป ทิ้งลูกรักแห่งสวรรค์ผู้นั้นไว้ให้แก่กำแพงเมืองปราณกระบี่ คนหนุ่มสาวหลายคนที่กระบี่บินแห่งชะตาชีวิตถูกทำลายจนพังภินท์ สะพานแห่งอมตะถูกสะบั้นไม่เหลือชิ้นดี ส่วนใหญ่ก็มักมีจุดจบที่ว่า หากไม่รวบรวมเรี่ยวแรงที่เหลืออยู่ฆ่าตัวตายบนสนามรบ ก็จะถูกยกออกไปจากสนามรบ แล้วค่อยฆ่าตัวตายตอนที่กลับเข้ามาในนคร

ใต้หล้าเปลี่ยวร้างมองแค่แพ้ชนะและเป็นตาย ไม่เคยสนใจว่าขั้นตอนเป็นอย่างไร

หนิงเหยาเอ่ย “ถ้าอย่างนั้นพวกมันก็ต้องเสียใจภายหลัง”

จั่วโย่วกุมกระบี่ในมือที่ชักออกจากฝักเบาๆ ปลายกระบี่ชี้ตรงไปยังปีศาจใหญ่ที่เรียกตำหนักหยกขาวออกมาเมื่อครู่นี้

เบื้องหน้าเส้นที่ผู้เฒ่าชุดเทาและปีศาจใหญ่ขอบเขตสูงสุดสิบสี่ตนยืนอยู่พลันมีน้ำวนลูกใหญ่ยักษ์ปรากฏขึ้นมา ก่อนที่ปลายกระบี่หลายต่อหลายเล่มจะแหวกอากาศผุดออกมาช้าๆ

ราวกับว่าระหว่างใต้หล้าไพศาลและกำแพงเมืองปราณกระบี่มีฟ้าดินขนาดเล็กเพิ่มขึ้นมาอีกสิบห้าแห่ง

นี่เท่ากับว่าผู้ฝึกกระบี่จั่วโย่วแห่งใต้หล้าไพศาลถามกระบี่ต่อปีศาจใหญ่ทุกตนในเวลาเดียวกัน

อันที่จริงทั้งสองฝ่ายของใต้หล้าเปลี่ยวร้างและกำแพงเมืองปราณกระบี่ที่ไม่ว่าจะมีขอบเขตอะไร ทุกคนต่างรู้กันดีว่า บนสนามรบในวันนี้ ฝั่งของกำแพงเมืองปราณกระบี่ ยิ่งเป็นคนที่โดดเด่นสะดุดตามากเท่าไร ศึกใหญ่ในครั้งถัดไปก็ยิ่งมีโอกาสตายมากเท่านั้น คนที่ไม่ต้องตายก็จะกลายเป็นคนที่รนหาที่ตาย คนที่เดิมทีตายช้าหน่อยก็ได้ กลับจะตายเร็วยิ่งกว่าเดิม

อันดับแรกก็คือเฉินผิงอัน

ตามมาด้วยจั่วโย่ว

สายเหวินเซิ่งของใต้หล้าไพศาลไม่เคยใช้เหตุผลจริงๆ เสียด้วย

ชายฉกรรจ์ร่างกำยำสวมชุดเกราะสีทองพลันเผยร่างจริงที่ใหญ่โตมโหฬาร เกราะทองที่สวมอยู่บนร่างขยายใหญ่ไปตามกัน ยังคงกักขังปีศาจใหญ่ตนนี้ไว้อย่างแน่นหนา ชายฉกรรจ์เกราะทองยื่นมือมาดันปลายกระบี่เล่มนั้นเอาไว้แล้วผลักกระบี่ยาวออกไปด้านหลังพร้อมกับน้ำวน สุดท้ายทั้งกระบี่ยาวและน้ำวนก็แตกกระจาย เสื้อเกราะสีทองบนร่างถูกปราณกระบี่เหล่านั้นกระเซ็นมาโดน ชายฉกรรจ์ไม่แม้แต่จะชายตามอง เพียงก้มหน้าลงมองรูโหว่เล็กๆ ที่ปรากฎอยู่บนฝ่ามือสีทองของตน น่าเสียดายที่เพียงไม่นานก็ถูกแสงสีทองเข้มข้นที่อยู่จุดอื่นบนนิ้วแผ่มากลบทับเติมเติมรูโหว่นี้ ชายฉกรรจ์ร่างกำยำเดือดดาลไม่น้อย หวนกลับสู่ร่างมนุษย์อีกครั้ง เพียงแต่ว่าพอมาคิดดูอีกครั้งก็ตัดสินใจแล้วว่าศึกใหญ่ครั้งถัดไป จั่วโย่วที่วิชากระบี่ไม่ต่ำผู้นี้ต้องให้ตนเป็นคนรับมือเสียแล้ว

บนเส้นแนวหน้าเส้นนั้น ปีศาจใหญ่ที่มีบัลลังก์อยู่ในบ่อโบราณต่างก็พากันร่ายวิชาอภินิหาร บางคนก็ออกหมัดต่อยกระบี่บินและน้ำวนให้สลายไปพร้อมกัน

บางส่วนที่มีความเคลื่อนไหวครึกโครมหน่อยก็ถึงกับแผ่นดินสะเทือน ยกตัวอย่างเช่นเซียนกระบี่ที่ยืนอยู่ข้างฝ่าเท้าของปีศาจใหญ่โครงกระดูกหยกขาวที่ใช้กระบี่ปะทะกระบี่ ปลายกระบี่สองเล่มที่ขนาดเล็กใหญ่แตกต่างกันอย่างชัดเจนกระแทกดันกัน ก่อให้เกิดสะเก็ดไฟจำนวนนับไม่ถ้วนประหนึ่งฝนไฟที่พร่างพราวตกกระหน่ำลงสู่พื้นดิน

ปีศาจใหญ่บางตนที่มีวิชาอภินิหารลี้ลับก็ยกมือสร้างฟ้าดินขนาดเล็กแห่งหนึ่งขึ้นมารับมือ

ชายฉกรรจ์เคราดกไม่ได้ลงมือด้วยตัวเอง เพียงแค่ให้ลูกศิษย์ขี่กระบี่ทะยานขึ้นกลางอากาศ ออกกระบี่มาต้านทานไว้เท่านั้น

ชายฉกรรจ์ที่สวมชุดลัทธิขงจื๊อรับมือได้อย่างผ่อนคลายที่สุด เขาปล่อยให้กระบี่บินขนาดยักษ์พุ่งออกมาจากน้ำวน ระหว่างที่มันพุ่งเข้าใส่ ปราณกระบี่ของกระบี่บินก็หดเล็กลงด้วยตัวเองอยู่กลางอากาศ ขนาดของกระบี่บินก็ยิ่งเปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็ว สุดท้ายกลายเป็นกระบี่บินขนาดจิ๋วที่หยุดลอยอยู่เบื้องหน้าบุรุษสวมชุดลัทธิขงจื๊อ เขาประกบสองนิ้ว ยิ้มบางๆ บิดหมุนข้อมือง่ายๆ กระบี่บินก็หันปลายแหลมเข้าหากำแพงเมืองปราณกระบี่แล้วพุ่งไปยังจุดที่ห่างไปไกลแสนไกล หายวับไปอย่างไร้ร่องรอย

อริยะลัทธิขงจื๊อที่นั่งอยู่ปลายสุดฝั่งหนึ่งของหัวกำแพงเมืองใช้สองนิ้วคีบรับ แล้วเหวี่ยงกระบี่บินเล่มนั้นเข้าไปในเมฆหมอกสีขาวกลิ้งหลุนๆ ที่เป็นภาพมายาจำแลงของแม่น้ำแห่งกาลเวลา นาทีถัดมาอยู่ดีๆ กระบี่บินเล่มนั้นก็ทิ้งตัวดิ่งในแนวตรงหล่นใส่ศีรษะบุรุษชุดลัทธิขงจื๊อที่นั่งอยู่ทางทิศใต้ บุรุษผู้นั้นคลี่ยิ้ม ยกชายแขนเสื้อขึ้นโบก กระบี่บินพลันหายไป กระบี่บินแหลมคมที่มีกลิ่นอายของแม่น้ำแห่งกาลเวลาติดอยู่เล็กน้อยจึงหวนกลับคืนสู่ฟ้าดินอีกครั้ง

บนสนามรบ เด็กคนนั้นไม่สนใจแสงกระบี่ที่แหวกอากาศมาถึงด้านหลังตัวเอง รวมไปถึงตำหนักหยกขาวเหนือศีรษะที่ถูกกระบี่จากหัวกำแพงเมืองฟันให้แตกกระจุยกระจายเลยแม้แต่น้อย

เพียงแต่ว่าเศษแสงกระบี่ที่ออกมาจากน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่และเศษซากของตำหนักหยกขาวทำให้ปราณกระบี่รอบสนามรบของทั้งสองฝ่ายวุ่นวาย การมองเห็นของเด็กชายจึงเกิดความพร่าเลือนเสี้ยวเล็กๆ

เด็กชายกระตุกมุมปาก หยิบศีรษะของปีศาจใหญ่ที่เดิมทีอยู่ใต้ฝีเท้าขึ้นมาแล้วเตะโด่งลอยไปไกล มันจะได้ไม่เกะกะขวางทางตน ลูกศิษย์ผู้สืบทอดของภูเขาทัวเยว่ที่ตายไปอย่างสิ้นซากแล้วจะยังนับเป็นศิษย์พี่อะไรอยู่อีก

เด็กน้อยดึงเท้ากลับมา จากนั้นก็ทำเพียงแค่ยืนอยู่ที่เดิม ไม่หลบไม่เลี่ยง

ในที่สุดอีกฝ่ายก็ยินดีจะลงมือแล้ว ช่างเป็นคนดีที่นิสัยอ่อนโยนเสียจริง

ต่อให้จะระวังตัวแจขนาดนี้ก็ยังไม่มีความหมายอะไร ออกจากหัวกำแพงเมืองมาคุมเชิงกับตน คิดจะมีชีวิตรอดอยู่นั้นยาก แต่หากอยากตายกลับง่ายที่สุด

เพียงแต่พอคิดว่าควรจะจัดการกับศพและวิญญาณของอีกฝ่ายอย่างไรถึงจะล่อให้หนิงเหยาที่อยู่บนหัวกำแพงยอมลงมาเปิดศึกกับตน แล้วตายตามอีกฝ่ายไป เด็กชายกลับรู้สึกลำบากใจเล็กน้อย

วิธีประเภทที่กัดมือกัดเท้าแทะหน้าคนนั่น เขาทำไม่ลงจริงๆ เขาไม่ใช่เผ่าปีศาจสักหน่อย ไม่มีร่างจริงที่ใหญ่โตร้อยจั้งพันจั้ง ต่อให้ตนอ้าปากกว้างที่สุดก็ต้องกัดต้องแทะอยู่นานเท่าไรถึงจะทำให้อีกฝ่ายสะอิดสะเอียนได้ กลัวก็แต่ว่าคนอื่นยังไม่ทันสะอิดสะเอียน ตนอาจต้องอาเจียนซะก่อน

นอกจากนี้ตนก็ยังเป็นแค่ผู้ฝึกกระบี่ครึ่งตัวที่จิตวิญญาณไม่มั่นคง ลำพังเพียงแค่ฝึกกระบี่ก็เหนื่อยยากเปลืองแรงมากอยู่แล้ว วิชาตระกูลเซียนอย่างการใช้จิตวิญญาณมาจุดแทนไส้ตะเกียงอะไรนั่น ตนจึงไม่เคยเรียนมาก่อนเลย

เด็กชายที่ตั้งชื่อให้ตัวเองว่า ‘หลีเจิน’ รู้สึกเพียงว่าหากต้องสู้ก็คือสู้ ผลคือพอมาอยู่บนสนามรบจริงๆ กลับค้นพบว่าพอตนคิดเรื่องที่ไม่สำคัญพวกนี้ขึ้นมาก็นึกเสียใจภายหลังแล้วที่เมื่อก่อนไม่ยอมตั้งใจฝึกกระบี่ให้มากกว่านี้ และนี่คงจะทำให้พวกศิษย์พี่ชายหญิงบางคนที่แอบซ่อนความเคียดแค้นริษยาไว้ในใจดีใจกันแทบตายแล้ว

หลีเจินกวาดตามองไปรอบด้าน จิตใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัว

อีกฝ่ายนับว่าพอมีฝีมือ คือผู้ฝึกกระบี่ที่มีกระบี่บินแห่งชะตาชีวิตสองเล่ม

กระบี่บินเล่มหนึ่งเล็กบางคมกริบ ประหนึ่งด้ายเส้นหนึ่ง มีปณิธานความเก่าแก่อบอวล แฝงไว้ด้วยกลิ่นอายยามลมพัดต้นไม้ส่งเสียงดังคลื่นกระทบฝั่ง ค่อนข้างคล้ายคลึงกับกระบี่บินของเซียนกระบี่หลายคนที่พลังพิฆาตไม่มาก แต่กลับฆ่าคนได้อย่างรวดเร็ว

วัตถุแห่งชะตาชีวิตอีกเล่มหนึ่งมีพลังอำนาจดุจสายฟ้าถักทอ ไม่มีปิดบังอำพราง ไม่คิดจะหลบซ่อนตัวแม้แต่น้อย นี่คล้ายคลึงกับเซียนกระบี่ที่โดดเด่นเหนือผู้อื่นเพราะมีพลังพิฆาตสูงมากกว่า

มิน่าเล่าถึงสามารถทำให้เซียนกระบี่ใหญ่ผู้อาวุโสให้ความสำคัญได้ ยังถือว่าพอจะมีฝีมือเล็กๆ น้อยๆ อยู่บ้าง

เพียงแต่ว่ามีความประหลาดอยู่นิดๆ ทั้งๆ ที่เรียกกระบี่บินแห่งชะตาชีวิตออกมาพร้อมกันถึงสองเล่ม แต่กลับไม่ใช้สังหารศัตรู อีกฝ่ายยังคงพุ่งเข้ามาประชิดตัว อีกทั้งยังเคลื่อนไหวรวดเร็วไม่น้อย

เด็กชายกลัดกลุ้มเล็กน้อย วัตถุนอกกายของตนมีมากเกินไปแล้ว หลังออกมาจากภูเขาทัวเยว่กับอาจารย์ วันๆ ก็ยุ่งอยู่แต่กับการรับของขวัญ อันดับแรกก็เป็นพวกศิษย์พี่ชายหญิงที่ยืนกรานจะมอบให้ ภายหลังก็เป็นพวกปีศาจใหญ่ที่จำชื่อไม่ได้ยัดเยียดให้ คิดว่าตนเป็นคนที่รับของของคนอื่นส่งเดชจริงๆ หรือ? นี่มันถ่วงเวลาการฝึกตนกันชัดๆ แต่คิดไม่ถึงว่าวันนี้พอจะเอามาใช้ประโยชน์ได้แล้ว ไม่อย่างนั้นหากขอบเขตสูงขึ้น ทุกๆ ระยะเวลาช่วงหนึ่งจะต้องคอยจัดการกับของผุพังพวกนี้ จะยกให้คนอื่นก็ไม่เต็มใจ จะทิ้งไปก็เสียดายอีก เพราะฉะนั้นอาจารย์จึงกล่าวได้ถูกต้องแล้ว อย่าขี้เกียจฝึกตนมากเกินไป เลื่อนเป็นห้าขอบเขตบนให้ได้โดยเร็วแล้วค่อยขี้เกียจก็ยังไม่สาย จะดีจะชั่วก็เรียนรู้วิชาอภินิหารจักรวาลในแขนเสื้อให้เป็นเสียก่อน เพราะจะช่วยลดทอนเรื่องยุ่งยากได้มากมาย ต่อให้มีสมบัติอาคมกองกันเป็นภูเขาก็ไม่ต้องกลัว ศิษย์พี่หญิงคนนั้นที่ตอนนี้ปิดด่านไปแล้วเคยเอ่ยว่า ใต้หล้าไพศาลร่ำรวยเกินไป รวยจนพวกเขาไม่อาจจินตนาการได้ถึง สำนักตระกูลเซียนมีมากมายดุจขนวัว พวกผู้ฝึกตนน้อยใหญ่ ขอบเขตสูงต่ำพวกนั้นต่างก็ฉลาดกันมาก ยิ่งกลัวตายอย่างมาก เพื่อไม่ให้ตัวเองตาย ไม่ว่าเรื่องอะไรก็ไม่สนใจทั้งนั้น พอไปถึงที่นั่นก็ลองเล่นกับใจคนดู จะต้องสนุกมากแน่ๆ

เด็กชายลังเลอยู่ครู่เดียวก็ตัดสินใจได้ กินกระบวนท่านี้ของเขาสักครั้งแล้วกัน หากแน่จริงก็เรียกกระบี่บินออกมาอีกเล่ม แล้วเขาก็จะกินอีกเล่ม หรือถ้ามีสมบัติหนักตระกูลเซียนก็ขว้างใส่หัวเขาได้เลย

แม้จะยอมถอยก้าวนี้ให้อีกฝ่าย แต่ก็ไม่ถ่วงเวลาสำหรับการปูพื้นกระบวนท่าถัดไปของเขาแม้แต่น้อย บอกแล้วว่าจะให้อีกฝ่ายตายเร็วๆ นั่นไม่ใช่แค่คำคุยโวเสียหน่อย