บทที่ 615.3 ไยจึงพูดมาก

กระบี่จงมา! Sword of Coming

ดังนั้นแม้เด็กคนนั้นจะยืนนิ่งไม่ขยับก็จริง ทว่าพื้นดินในรัศมีสิบจั้งกลับลอยตัวขึ้นมาจั้งกว่าราวกับว่ามีแท่นดินสูงขนาดไม่เล็กไม่ใหญ่แห่งหนึ่งถูกดึงขึ้นมา จากนั้นเพียงเสี้ยววินาที สี่ด้านแปดทิศ ไม่เพียงแต่สนามรบที่คนทั้งสองอยู่ แม้แต่บริเวณใกล้เคียงกับหัวกำแพงเมืองซึ่งอยู่ห่างออกไป กลางอากาศสูงเหนือหัวกำแพงเมืองไปอีกร้อยจั้งพันจั้งก็มีปณิธานกระบี่บริสุทธิ์ประเภทหนึ่งที่มาจากต้นกำเนิดเดียวกันบนมหามรรคา แต่กลับไม่ใช่ปราณกระบี่ พวกมันมารวมตัวกันกลายเป็นของจริงที่จับต้องได้อย่างไม่มีลางบอกเหตุ ตัดสลับถักทอในอยู่แท่นสูงแห่งนี้ แต่ละเส้นร้อยรัดพัวพันเข้าด้วยกัน มากมายนับหมื่นเส้น ภายใต้แสงแดดสาดส่อง ปณิธานกระบี่สีขาวหิมะแต่ละเส้นส่องประกายแสงเรื่อเรือง ถักทอกันออกมาเป็นกรงขังปณิธานกระบี่แห่งหนึ่งที่คล้ายจะกักกันเด็กชายคนนั้นไว้ภายใน

คนชุดเขียวไม่ได้เลือกจะเข้าต่อสู้ประชิดตัว วินาทีก่อนที่กรงขังจะปรากฎขึ้นก็เหมือนเขาจะสัมผัสได้ถึงความผิดปกติของฟ้าดินจึงเปลี่ยนทิศทางการโคจร เพียงแต่ว่าไม่ได้หยุดยืนนิ่ง เพียงแค่ชะลอความเร็วให้ช้าลง ประหนึ่งผีเร่ร่อนในรูปลักษณ์ควันสีเขียวเส้นหนึ่งที่ล่องลอยอยู่นอกรัศมีสิบจั้งของเด็กชาย จะไม่ยอมเข้าใกล้กรงขังที่ปณิธานกระบี่เยียบเย็นอึมครึมแห่งนั้นเด็ดขาด มือทั้งคู่ของเขาถือยันต์ปึกใหญ่ไว้ฝั่งละปึก มองดูแล้วมากมายราวกับไม่มีที่สิ้นสุด เขาโยนมันออกไปง่ายๆ บ้างก็ปล่อยให้ยันต์ล่องลอยด้วยตัวเอง บ้างก็ฝังเลื่อมลงไปในพื้นดินโดยรอบ บางครั้งที่มียันต์กระดาษเหลืองขยับเข้าใกล้แท่นดินที่สูงจากพื้นชุ่นกว่าๆ นั้นก็จะถูกแสงกระบี่หยุดนิ่งที่เกิดจากการรวมตัวกันของปณิธานกระบี่คอยกรีดผ่าให้เป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อยอย่างเงียบเชียบ สุดท้ายเศษชิ้นส่วนของยันต์ก็ร่วงกระจายอยู่บนแท่นสูง

หลีเจินรู้สึกผิดหวังเล็กน้อย “ไม่กล้าแลกชีวิตกับข้าหรือ? เจ้าช่างเป็นผู้ฝึกกระบี่ที่น่าเบื่อเสียจริง อุตส่าห์ให้โอกาสเจ้ากระโจนเข้าหาความตายอย่างกล้าหาญ กลับไม่ยอมคว้าเอาไว้ ข้าไม่ใช่ญาติของเจ้าเสียหน่อย ที่นี่ของพวกเราไม่มีประเพณีเผากระดาษเหลืองในวันชิงหมิงหรอกนะ นี่เจ้ากำลังทำอะไร?”

หลีเจินเดินหน้าไปอย่างเนิบช้า กรงขังก็เคลื่อนตามเขาไปด้วย ปณิธานกระบี่ที่เดิมทีกระจายอยู่ระหว่างฟ้าดินยิ่งขยับเข้ามารวมตัวกันมากขึ้น กรงขังยิ่งขยายใหญ่มากขึ้นเรื่อยๆ ไม่รู้ว่าเหตุใด ปณิธานกระบี่บรรพกาลมากมายที่อยู่บนมรรคาเดียวกันแต่กลับไม่ได้มาจากต้นกำเนิดเดียวกันทั้งหมดนอกกำแพงเมืองปราณกระบี่ บัดนี้ถึงได้เลือกจะหยุดนิ่งอย่างหาได้ยากยิ่ง ทั้งไม่ได้ไล่ตามปณิธานกระบี่ประเภทนั้นไป ผสมปนเปเป็นพวกเดียวกัน แต่ก็ไม่ได้ขัดขวางอีกฝ่ายดั่งศัตรู

เซียนกระบี่ผู้เฒ่าสองท่านที่ต่างก็เคยแกะสลักตัวอักษรไว้บนหัวกำแพงอย่างเฉินซีและฉีถิงจี้ใช้เสียงในใจคุยกัน “คือปณิธานกระบี่ที่ผู้อาวุโสกวนจ้าวเคยทิ้งไว้ในอดีต หมื่นปีที่ผ่านมานี้ไม่เคยโปรดปรานเด็กรุ่นหลังคนใดของกำแพงเมืองปราณกระบี่ ก็ไม่แปลกแล้ว”

ฉีถิงจี้ขมวดคิ้วพูดเสียงหยัน “ผู้อาวุโส? คนทุเรศโสมมที่เพื่อให้เวทกระบี่ของตนเดินขึ้นสู่ที่สูงก็สามารถทรยศวิถีกระบี่เช่นนี้ คู่ควรให้เจ้าและข้าเรียกว่าผู้อาวุโสได้ด้วยหรือ?”

เฉินซีไม่อยากจะเถียงกับเขาเรื่องนี้ เพียงเอ่ยอย่างปลงปนิจจังว่า “โชคดีที่เฉินผิงอันหนีได้เร็ว ไม่อย่างหากติดอยู่ในนั้น ขนาดผู้ฝึกกระบี่ก่อกำเนิดก็ยังต้องสละเรือนกายทิ้งถึงจะมีโอกาสรอดชีวิตเสี้ยวหนึ่ง เพียงแต่ว่าเมื่อเป็นเช่นนี้จะยังต่อสู้กันอย่างไรได้ต่อ”

ฉีถิงจี้มองไปยังทิศไกล “ปณิธานหมัดของเฉินผิงอันจะขึ้นสู่ยอดเขาสูงสุดของตัวเองได้ก็ต้องมีขั้นตอนของการเก็บและปล่อย เจ้าลูกกระต่ายผู้นั้นก็ไม่ได้อยู่เฉยๆ เหมือนกัน ทั้งยังเป็นคนที่รู้จักสร้างโอกาสและคว้าโอกาสเอาไว้ในมือ ไม่อย่างนั้นหากมาถึงก็เล่นลูกไม้นี้ทันที ก็คงไม่ได้ผ่อนคลายเช่นนี้ ปณิธานกระบี่เกินครึ่งที่เหลืออยู่ย่อมต้องเข้าไปขัดขวาง ยังดีที่เฉินผิงอันเองก็ไม่ถือว่าเสียเปรียบสักเท่าไร โอกาสที่จะได้ยืมใช้มหามรรคาแห่งฟ้าดินมาขัดเกลาปณิธานที่แท้จริงของวิชาหมัด มีให้พบเห็นได้ไม่บ่อยนัก ถึงอย่างไรนี่ก็เป็นแค่ค่ายกลกระบี่ที่ถูกยืมใช้ได้แค่ชั่วคราว ประคับประคองตัวได้ไม่ค่อยนานนัก”

เฉินซีส่ายหน้า “อย่าลืมล่ะว่าสถานะของอีกฝ่ายตอนนี้คืออะไร ของดีที่มีอยู่ติดกายย่อมไม่น้อยแน่นอน”

หลีเจินสาวเท้าเดินอยู่บนสนามรบอย่างผ่อนคลาย เขายิ้มเอ่ยว่า “ผ่านไปหนึ่งกระบวนท่าแล้ว ปล่อยให้เจ้าเตร็ดเตร่ส่งเดชอยู่อย่างนี้ก็ไม่ใช่เรื่อง อย่าคิดว่าอยู่ห่างจากข้าแล้วจะสามารถจัดวางค่ายกลยันต์ได้ตามใจชอบ เจ้ารู้หรือไม่ว่า คนแบบเจ้าช่างน่ารำคาญนัก คิดว่าข้าจะแค่ยืนให้เจ้าเล่นงานอย่างเดียวจริงๆ งั้นหรือ?”

เด็กคนนั้นสะบัดชายแขนเสื้อก็มีตราประทับอาคมหยกใสแวววาวชิ้นหนึ่งหลุดร่วงออกมา แล้วเขาใช้ก็เท้าเหยียบมันให้ทะลุแท่นดินสูงลงไปสัมผัสกับพื้นดินด้านล่าง

จากนั้นก็โยนกระบี่ไร้ฝักที่หักเหลือแค่ครึ่งเดียวออกมา บนตัวกระบี่มีสนิมขึ้นเขรอะ แสงกระบี่ขุ่นมัว

เด็กชายสะบัดเจดีย์วิเศษทองสัมฤทธิ์เล็กจิ๋วชิ้นหนึ่งออกมาจากชายแขนเสื้ออีกครั้ง ราวกับว่าจำลองแบบมาจากป๋ายอวี้จิงของใต้หล้ามืดสลัว เพียงแต่ว่าเจดีย์วิเศษอยู่ในสภาพใกล้จะแตกพังเต็มที รอยแตกร้าวเห็นได้อย่างชัดเจน สภาพไม่น่าจะใช้งานได้สักเท่าไร มีความเป็นไปได้ว่าร่ายใช้ได้แค่ครั้งเดียวเท่านั้น เจดีย์วิเศษร่วงลงไปด้านล่าง เพียงแต่ว่าเพราะน้ำหนักมีมากเกินไปจึงจมดิ่งหายเข้าไปในแผ่นดินไม่เหลือร่องรอยอีก

หลีเจินก้าวเดินไม่หยุดนิ่ง แต่ละครั้งล้วนทำเช่นนี้ นั่นคือพอโยนสมบัติตระกูลเซียนชิ้นหนึ่งออกมาแล้วเขาก็จะเหยียบมันไว้ทิ้งที่เก่า เดินไปทิ้งไปพลางพูดไปด้วยว่า “ทุกครั้งที่ข้าเหยียบลงไปก็จะมีช่องโหว่เล็กๆ หนึ่งช่อง นั่นยิ่งเป็นการเตือนเจ้าด้วยความหวังดีว่ากระบี่บินของเจ้ามิอาจฝ่าค่ายกลกระบี่มาได้ อย่างน้อยที่สุดก็สามารถฉวยโอกาสนี้บังคับกระบี่บินให้มุดลงพื้น ดูสิว่าจะสามารถทะลุจากล่างขึ้นมาแทงข้าด้านบนได้หรือไม่ เจ้ากลับดีนัก ไม่รู้จักรับน้ำใจ ยืนกรานจะรอความตายให้จงได้ เอาเถิด ถ้าอย่างนั้นก็มาดูกันว่าสรุปแล้วเจ้าจะโยนยันต์กระดาษเหลืองชิงหมิงได้มาก หรือจะเป็นสมบัติของข้าที่ช่วยเจ้ากวาดสุสานได้เร็วยิ่งกว่า”

มีครั้งหนึ่งหลีเจินโยนม้วนภาพทิ้งไปจากชายแขนเสื้อ แต่กลับพบว่าพอร่วงลงพื้นแล้วมันไม่ได้คลี่ออก แต่อันที่จริงนั่นก็ไม่ได้ถ่วงรั้งการโคจรของสมบัติอาคม แต่กระนั้นเด็กชายก็ยังทรุดตัวลงนั่งยอง จับมันคลี่ออก จึงเห็นว่าเป็นภาพสิบแปดเซียนกระบี่ที่สภาพขาดวิ่นไม่เหลือชิ้นดีแล้ว

คลี่ภาพออกแล้วหลีเจินถึงได้ลุกขึ้นแล้วเดินต่ออีกครั้ง ฝีเท้าที่ก้าวเดินเนิบช้า ทว่าทุกก้าวกลับพุ่งตัวไปได้ไกลหลายสิบจั้ง

ทุกครั้งที่หลีเจินมีความเคลื่อนไหว เส้นยาวๆ ของค่ายกลกระบี่ที่อยู่ใกล้ที่สุดก็จะอ้อมผ่านเท้าของเด็กชายไปด้วยตัวเอง หลีเจินไม่จำเป็นต้องใช้จิตสื่อถึงพวกมันเลยด้วยซ้ำ

แล้วหลีเจินก็เดินเล่นอย่างผ่อนคลายอยู่เช่นนี้ ทุกๆ ระยะสามสี่ลี้ก็จะโยนสมบัติชิ้นหนึ่งทิ้งไป สุดท้ายเพราะคิดว่าหากระดับขั้นของสมบัตินั้นแย่เกินไปจึงไม่คิดจะหยิบออกมาให้ขายขี้หน้าผู้อื่นแล้ว ในที่สุดหลีเจินก็หยุดยืนนิ่ง ยื่นสองนิ้วออกมาคีบเส้นยาวของปณิธานกระบี่เส้นหนึ่งที่หยุดลอยอยู่ตรงหน้าในแนวเฉียงห่างไปหนึ่งจั้ง เขาคีบมันแล้วเขย่าเบาๆ ก็พลันเกิดเสียงดังอื้ออึง ก่อนจะยิ้มบางๆ เอ่ยว่า “สรุปแล้วเวทกระบี่ของกวนจ้าวนักโทษอาญาคนเก่าสูงส่งแค่ไหนกันแน่ ตอนนี้แม้แต่ข้าเองก็ยังยากจะจินตนาการได้ถึง ในอดีตเขาเคยเป็นบุคคลยิ่งใหญ่แบบใดที่พกกระบี่เดินขึ้นสู่ที่สูงพร้อมกับเฉินชิงตู ใช้กำลังคนเอาชนะสวรรค์ น่าเสียดายที่ข้าก็จำไม่ได้แล้ว”

คนชุดเขียวยืนอยู่ห่างไปเบื้องหน้ายี่สิบกว่าจั้ง ในที่สุดก็เลิกหนีสักที ก็ถูกนะ เพราะไม่มีความจำเป็นอีกแล้ว

หลีเจินไม่รู้จริงๆ ว่าควรจะบอกว่าคนผู้นี้โง่หรือปัญญาอ่อนกันแน่

ที่ไม่ยอมหนีเพราะเห็นว่าค่ายกลกระบี่ข้างกายตนกำลังจะสลายหายไปอย่างนั้นหรือ? อีกฝ่ายคิดจริงๆ หรือว่าค่ายกลกระบี่นี้แค่ปกป้องไม่ให้ตนโดนกระบี่บินหรือยันต์ลอบทำร้าย?

หลีเจินถาม “ใช่แล้ว เจ้าชื่อว่าอะไร?”

หลีเจินเห็นว่าเขาไม่มีท่าทีจะเปิดปากพูดก็เอ่ยอย่างเอือมระอาว่า “เจ้านี่เป็นคนอย่างไรกันแน่นะ ตำรามากมายของใต้หล้าไพศาลที่แพร่มาถึงใต้หล้าเปลี่ยวร้างต่างก็บอกไว้ว่า การช่วงชิงกันของยอดฝีมือล้วนเปิดเผยตรงไปตรงมา เจ้าเรียกขานด้วยวิชาหมัด ข้าเอ่ยทักทายด้วยกระบวนท่าวิชากระบี่ พวกมดตัวน้อยที่ดูอยู่ด้านข้างก็แค่รับผิดชอบไชโยโห่ร้อง จุ๊ปากชื่นชม แบบนั้นน่ะครึกครื้นจะตายไป จากนั้นก็เอาความสามารถก้นกรุออกมาใช้ ทำให้แต่ละคนปากอ้าตาค้างอึ้งงันเป็นไก่ไม้ สถานที่ไร้เสียงกลับเหนือกว่าสถานที่มีเสียง แต่เจ้าดูตัวเองสิ เจ้าไม่รู้สึกผิดต่อเซียนกระบี่มากมายที่ชมศึกอยู่บนหัวกำแพงบ้างหรือไร? เพราะเจ้าทำตัวเป็นคนใบ้ ข้าเลยหมดอารมณ์ไปด้วย”

ตั้งแต่ช่วงแรกที่หลีเจินเริ่มพูด ค่ายกลกระบี่ก็เริ่มสลายตัวแล้ว ปณิธานกระบี่บริสุทธิ์ที่ตัดสลับกันเริ่มหม่นหมองไร้ประกาย เพียงแต่ว่าไม่ได้หวนคืนกลับสู่ฟ้าดินทั้งอย่างนี้ แต่คล้ายกลายมาเป็นปราณวิญญาณหมอกควันที่พากันพุ่งเข้าไปในช่องโพรงต่างๆ ของเด็กชาย

หลีเจินส่งเสียงเรอดังเอิ้ก พ่นไอหมอกกลุ่มหนึ่งออกมา ล้วนเป็นปณิธานกระบี่กลุ่มเก่าที่ก่อนหน้านี้ค่อนข้างขุ่นมัว เมื่อเข้าไปในช่องโพรงของเขาแล้วก็ถูกขับออกมาจากฟ้าดินขนาดเล็กอย่างร่างกายมนุษย์

เซียนกระบี่ใหญ่บางคนเห็นภาพนี้เข้าก็หันหน้าไปมองเซียนกระบี่ใหญ่ผู้อาวุโส

เฉินชิงตูส่ายหน้า ยิ้มกล่าวว่า “อะไรที่ควรเป็นของเขาก็ต้องเป็นของเขา ใครที่รนหาที่ตายก็ยังต้องตายอยู่ดี”

หลีเจินยิ้มถามว่า “ขณะที่ค่ายกลกระบี่สลายหายไป มีช่องโหว่เล็กๆ ปรากฏขึ้นหกจุด ช่องโหว่ใหญ่สองจุด แต่เจ้าก็ยังอดทนข่มกลั้นไม่ลงมือได้อีกหรือ? เจ้าคงรู้สึกใช่ไหมว่าข้าพูดมากไปหน่อย ข้าคิดว่าเจ้าน่ารำคาญ แต่เจ้ายิ่งรำคาญข้ามากกว่า?”

หลีเจินหุบยิ้ม สายตาสงบนิ่ง แล้วพลันดีดนิ้ว “บังเอิญนัก ข้าเองก็จัดวางค่ายกลเสร็จพอดี ขนาดผู้ฝึกกระบี่ห้าขอบเขตบนยังแทบต้านรับไม่ไหว ดังนั้นตอนนี้เจ้าก็ไปตายได้แล้ว”

บนเส้นทางที่หลีเจินก้าวเดินผ่านไปก่อนหน้านี้ ระหว่างฟ้าดินพลันมีตัวอักษรสีทองอ่อนจางร้อยเรียงกันเป็นเส้นปรากฏขึ้นมา ระดับความสูงต่ำต่างกันเล็กน้อย บางจุดก็ตัวอักษรมาก บางจุดก็ตัวอักษรน้อย เดี๋ยวขาดเดี๋ยวประติดประต่อ แต่สุดท้ายก็เชื่อมโยงเข้าด้วยกันเป็นเส้น ตัวอักษรสีทองประหนึ่งถ้อยคำที่แท้จริงซึ่งเขียนไว้บนกระดาษยันต์สีทอง เนื้อหาด้านในล้วนเป็นถ้อยคำที่หลีเจินพร่ำพูดก่อนหน้านี้ บางส่วนเป็นถ้อยคำที่เอ่ยออกจากปาก แต่เมื่อมองผ่านภาพแสงที่เปล่งประกายวิบวับนั้นไป ก็เห็นได้ชัดว่ามีถ้อยคำมากมายที่เป็นความในใจซึ่งหลีเจินไม่ได้เอ่ยออกมา จุดที่โยนสมบัติมากมายลงไปซึ่งรวมถึงตราประทับห้าอสนี เจดีย์วิเศษทองสัมฤทธิ์ กระบี่หักขึ้นสนิมและม้วนภาพเซียน จะมีตัวอักษรอยู่รวมกันมากที่สุด

บนพื้นดิน สายฟ้าสีทองใหญ่มหึมาเส้นหนึ่งก่อตัวขึ้นเป็นวงกลมขนาดใหญ่ที่บิดเบี้ยว โอบล้อมสนามรบของทั้งสองฝ่ายกินรัศมีร้อยจั้ง

ในจุดที่สูงยิ่งกว่ากำแพงเมืองปราณกระบี่ ทะเลเมฆมารวมตัวอย่างพร้อมเพรียงกัน สายฟ้าส่งเสียงครืนครั่นขานรับกับบ่อสายฟ้าบนแผ่นดินอยู่ไกลๆ

เวลาเดียวกันนั้นตราประทับอาคมห้าอสนีก็ลอยขึ้นสูงช้าๆ ปลดปล่อยประกายแสงสว่างเจิดจ้า

เจดีย์วิเศษร้อยจั้งที่รอบด้านมีรัศมีแสงหลากสีล้อมวนพลันตั้งตระหง่าน

กระบี่หักพลันระเบิดออกเป็นเศษชิ้นส่วน ก่อนที่ชิ้นส่วนเหล่านั้นจะจัดเรียงขบวนตามริมขอบของบ่อสายฟ้า

มีเซียนกระบี่สิบแปดคนเดินออกมาจากในม้วนภาพวาดช้าๆ ต่อให้จะถูกปณิธานกระบี่และฟ้าดินสยบข่ม ทำให้เรือนกายแต่ละท่านเล็กเท่าเมล็ดงา ทว่าพวกเขาที่เกิดจาก ‘ปณิธานที่แท้จริงของเซียนกระบี่’ กลับยังมีปราณกระบี่เปี่ยมล้น แต่ละคนขี่กระบี่ลอยตัวระพื้นดิน ประหนึ่งการโคจรทางธรรมชาติของปราณกระบี่ สุดท้ายเซียนกระบี่ตัวเล็กเท่าเมล็ดงาสิบแปดท่านก็แยกย้ายกันไปเฝ้าพิทักษ์สมบัติแต่ละชิ้น

เพราะสมบัติมากมายที่มองดูคล้ายว่าหลีเจินโยนลงพื้นอย่างไม่ใส่ใจ ต่างก็มีภาพปรากฎการณ์ที่แตกต่างกัน

ไยจึงพูดมาก แน่นอนว่าเป็นเพราะมีสมบัติอยู่มากเกินไป

ตอนนี้ตบะยังไม่สูงมากพอ ก็ได้แต่ใช้สมบัติอาคม อาวุธกึ่งเซียนและอาวุธเซียนมาช่วยเหลือ

หลีเจินไม่อ้าปากหาว แล้วก็ไม่เปิดปากพูดอะไรอีกแล้ว เขามองคนหนุ่มที่เป็นศัตรูของตัวเองด้วยสีหน้าสงบนิ่ง

มือข้างหนึ่งกำเข้าหากันหลวมๆ ในมือคือเม็ดกระบี่ที่กลิ้งหมุน ไม่มีภาพปราฎการณ์ของแสงศักดิ์สิทธิ์ส่องสว่างเจิดจ้าแม้แต่น้อย แต่กลับเป็นอาวุธเซียนชิ้นหนึ่ง

อีกมือหนึ่งก็กำเป็นหมัดหลวมๆ เช่นเดียวกัน ทว่ากลับไม่มีเม็ดกระบี่ระดับของอาวุธเซียน แต่เป็นยันต์บรรพบุรุษของภาพห้าขุนเขาที่แท้จริงในโลกรุ่นหลัง

กำแพงเมืองปราณกระบี่ รวมไปถึงยุคสมัยที่ยาวนานยิ่งกว่าก่อนที่กำแพงเมืองปราณกระบี่จะถูกสร้างขึ้นมา แต่ไหนแต่ไรมาเซียนกระบี่ก็ชอบที่จะใช้กำลังของมนุษย์เอาชนะคะคานสวรรค์อยู่เสมอ

ถ้าอย่างนั้นก็รบกวนให้เจ้าแบกรับทัณฑ์สวรรค์เอาไว้ก่อน

ทัณฑ์สวรรค์ผ่านไปก็ตามมาด้วยทัณฑ์ปฐพี

หลังจากทัณฑ์ปฐพีผ่านไป หลีเจินยังมีของขวัญพบหน้าอีกชิ้นหนึ่ง นั่นก็คือใช้สถานะของผู้ฝึกกระบี่แห่งใต้หล้าเปลี่ยวร้างมาถามกระบี่จากผู้ฝึกกระบี่ของกำแพงเมืองปราณกระบี่

ดังนั้นด้านหลังของหลีเจินจึงมีเซียนชุดดำเรือนกายสูงหลายจั้งหลายคนปรากฏตัวขึ้น เรือนกายของพวกเขาพร่าเลือนไม่หยุดนิ่ง มีเพียงกระบี่ยาวในมือเท่านั้นที่เพราะปณิธานกระบี่หลอมรวมกันแสงกระบี่จึงสว่างจ้าพร่าตา

เซียนกระบี่คนหนึ่งในนั้นตัวสูงกว่าเซียนกระบี่ทุกท่าน ใบหน้าของเขาชัดเจน สีหน้าเฉยเมย เรือนกายมั่นคงมากที่สุด ก็คือเซียนกระบี่เผ่ามนุษย์ในยุคบรรพกาลอย่าง กวนจ้าว

หลีเจินขมวดคิ้ว

เห็นเพียงว่าคนชุดเขียวเอามือหนึ่งไพล่หลัง อีกมือหนึ่งกำเป็นหมัดวางไว้เบื้องหน้า สายตาฉายประกายเจิดจ้า คนชุดเขียวไม่ม้วนชายแขนเสื้ออีกต่อไป ท่ามกลางพายุลมกรดที่เกิดจากทัณฑ์ดินทัณฑ์ฟ้ามารวมตัวกัน ชายแขนเสื้อกว้างใหญ่ของเขาโบกสะบัด แขนเสื้อสองข้างพองโป่งประดุจบรรจุลมเย็นไว้เต็มเปี่ยม นั่นจึงยิ่งทำให้ชายแขนเสื้อนั้นกว้างขยายไปอีก มองดูคล้ายว่ามีดอกบัวสีเขียวเข้มดอกหนึ่งที่เพราะเข้มเกินไปสีจึงดำมืดจนใกล้เคียงกับสีหมึกกำลังผลิบาน เขายิ้มตาหยีถามว่า “มีแค่นี้หรือ?”