บทที่ 616.1 หลีเจินตายแล้ว

กระบี่จงมา! Sword of Coming

หัวคิ้วของหลีเจินคลายออก เรื่องไม่คาดฝันเล็กๆ ไม่อาจส่งผลต่อทิศทางการดำเนินไปของสถานการณ์ใหญ่ได้

หลีเจินเดินนำออกมาจากบ่อสายฟ้าที่มีสมบัติบนภูเขาสิบแปดชิ้นเป็นจุดศูนย์กลางของค่ายกลก่อน กวนจ้าวที่จำแลงร่างมาจากปณิธานกระบี่ก็เดินตามมาติดๆ เซียนกระบี่ชุดดำคนอื่นๆ ก็ทยอยตามมาด้วย

หลีเจินหันหน้ามาเอ่ยว่า “ช่างเข้าใจใช้จิตหยางเดินทางไกลเป็นเวทอำพรางตาได้ดียิ่งนัก บ่อสายฟ้าแห่งนี้ ทัณฑ์ฟ้าดินสองครั้งนี้ ถือว่ามอบให้เจ้าแล้ว”

ค่าตอบแทนไม่น้อย สมบัติสิบแปดชิ้น ตาค่ายกลสิบแปดแห่ง หลังจากทัณฑ์สวรรค์ทัณฑ์ปฐพีผ่านพ้นไป วัตถุที่มีระดับขั้นเป็นสมบัติอาคมเหล่านี้จะต้องพังไปเกินครึ่ง อาวุธเซียนสองชิ้นในนั้นอย่างตราประทับอาคมห้าอสนีและเจดีย์วิเศษป๋ายอวี้จิงจำลองอาจจะไม่ถูกทำลายไปนับแต่นี้ แต่ก็จะต้อง ‘ขอบเขตถดถอย’ กลายไปเป็นระดับขั้นของสมบัติอาคมแทน

เพียงแต่ว่าเขาหลีเจินที่เป็นลูกศิษย์คนสุดท้ายของท่านบรรพบุรุษ สามารถยอมรับค่าตอบแทนน้อยนิดแค่นี้ได้สบายอยู่แล้ว

เพียงแต่เรื่องไม่คาดฝันเล็กๆ น้อยๆ ที่เกิดติดกันครั้งครั้งเล่า อันดับแรกคือคนผู้นี้ออกจากหัวกำแพงเมืองมาแทนหนิงเหยา จากนั้นก็ไม่ได้เข้ามาต่อสู้ประชิดตัวเขา ทำให้กรงขังปณิธานกระบี่ที่มีปราณสังหารเข้มข้นแห่งนั้นไม่ได้เอามาใช้ประโยชน์ ตอนนี้แม้แต่เขาก็ยังถูกหลอกไปด้วย อีกฝ่ายทิ้งไว้เพียงจิตหยินที่ออกจากช่องโพรงมาคอยแบกรับทัณฑ์สวรรค์จากบ่อสายฟ้าที่มากพอจะทำให้ผู้ฝึกกระบี่ขอบเขตหยกดิบบาดเจ็บสาหัสได้ นี่ทำให้หลีเจินไม่สบอารมณ์นัก

อายุเพียงสิบสองปี แต่วาจาและการกระทำกลับกำเริบเสิบสาน ไม่เห็นหัวใคร พร่ำพูดไม่หยุดปาก เหยียบศีรษะของปีศาจใหญ่ไว้ใต้ฝ่าเท้า ยืนนิ่งไม่ขยับรับการโจมตีจากเขาหนึ่งครั้ง

คนผู้นี้กลับไม่หลงกลเขาเลยสักเรื่อง

หากเปลี่ยนมาเป็นผู้ฝึกกระบี่รุ่นเยาว์คนอื่นของกำแพงเมืองปราณกระบี่ที่แต่ละคนไม่รู้จักฟ้าสูงแผ่นดินต่ำ คาดว่านอกจากหนิงเหยาแล้ว คนอื่นๆ คงจะตายจนตายไปมากกว่านี้ไม่ได้อีกแล้ว

หลีเจินอดไม่ไหวหันหน้าไปมองอีกครั้ง

หลังจากที่หลีเจินพูดเปิดโปงความลับ บุรุษชุดเขียวผู้นั้นก็ไม่อำพรางตัวตนอีกต่อไป สองเท้าลอยพ้นเหนือพื้น ชายแขนเสื้อพลิ้วไสว ขยับออกห่างจากอาณาเขตของทัณฑ์ปฐพีมาเล็กน้อย เห็นเพียงว่าพอเขาพลิกหมุนข้อมือหนึ่งครั้ง ในมือก็ถือพัดพับไม้ไผ่หยกอันหนึ่งที่หุบเข้าหากัน ใช้มันตีลงบนฝ่ามือเบาๆ บนเสื้อปรากฏริ้วกระเพื่อมระลอกหนึ่ง ก่อนที่เวทอำพรางตาของชุดสีเขียวบนร่างจะสลายหายไป กลายมาเป็นชุดคลุมยาวสีขาวหิมะ คนผู้นั้นสบตาหลีเจินพลางยิ้มบางๆ เอ่ยว่า “สร้างค่ายกลเอิกเกริกใหญ่โตขนาดนี้ แต่กลับทำได้แค่กักตัวจิตหยินเล็กๆ อย่างข้าเอาไว้ เสียดายไหมเล่า? จะจากไปแบบนี้น่ะหรือ? ไม่อยู่ในบ่อสายฟ้า จับตามองดูข้าสลายกลายเป็นฝุ่นควันหรืออย่างไร? ไม่กังวลว่าทัณฑ์สวรรค์จะฆ่าข้าไม่ตาย ทุกสิ่งที่ทำมาก็จะสูญเปล่าอย่างนั้นหรือ?”

คนผู้นั้นมือหนึ่งถือพัด จากนั้นก็ยกมืออีกข้างขึ้น กลางฝ่ามือยังมีร่องรอยของยันต์กระดาษสีเขียวแผ่นหนึ่งหลงเหลืออยู่ มองดูเหมือนมีดินโคลนสีเขียวเปื้อนเปรอะมือ

ก็แค่ยันต์แผ่นเดียวเท่านั้น แต่กลับทำให้อาวุธกึ่งเซียนและอาวุธเซียนหลายชิ้นของหลีเจินขอบเขตถดถอย หรือไม่ก็ถูกทำลายไปโดยตรง

ประเด็นสำคัญคือยังทำให้ร่างจริงออกไปพ้นจากพื้นที่แห่งความตายได้

เซียนกระบี่หลายคนบนหัวกำแพงต่างพากันถอนหายใจโล่งอก

ตายอย่างกล้าหาญ แต่อย่างไรก็ตายอยู่ดี

หลีเจินยิ้มกล่าว “จิตหยินก็คือจิตหยิน ไม่ใช่เวทอำพรางตาอะไร หากไม่มีอยู่แล้วก็คือไม่มีจริงๆ ดูเหมือนว่าขอบเขตผู้ฝึกตนของเจ้าจะไม่สูง แล้วนับประสาอะไรกับที่อายุยังต่ำกว่าสามสิบปี ต่อให้ขอบเขตสูงแค่ไหน แต่จะสูงกว่าหนิงเหยาและผังหยวนจี้ได้หรือ? ต่อให้มีสมบัติล้ำค่าติดกาย หรือหากมีหมื่นหนึ่งที่ทำให้เจ้าสามารถโคจรวิชาอภินิหารประหลาดต้านทานทัณฑ์ฟ้าทัณฑ์ดินได้ครู่หนึ่งจริงๆ แต่เจ้าก็ยังต้องตายอยู่ดีไม่ใช่หรือ ไม่แน่ว่าอาจมอบโชควาสนาอย่างหนึ่งให้ข้าเปล่าๆ ด้วย คนอื่นมอบให้ข้า ยังไม่แน่เสมอไปว่าข้าจะยินดีรับ แต่หากแย่งมาจากบนร่างของเจ้า ต่อให้เป็นสมบัติอาคมผุๆ ชิ้นหนึ่ง ข้าก็ยังรู้สึกว่ามีความหมายอย่างมาก”

หลีเจินค่อยๆ ออกห่างไปจากบ่อสายฟ้า เดินไปพลางหันหน้ามาเอ่ยด้วยว่า “แม้ข้าจะไม่รู้ว่าเจ้าเป็นเทพเจ้าจากฝ่ายใด และกำแพงเมืองปราณกระบี่มีคนที่น่าสนใจอย่างเจ้าตั้งแต่เมื่อไร แต่ข้ารู้ว่าหนิงเหยาแห่งกำแพงเมืองปราณกระบี่ได้ยินชื่อข้ามาจนหูแทบแฉะแล้ว เจ้าเป็นฝ่ายเสนอตัวมาส่งของขวัญกลับคืนแทนเฉินชิงตู หนิงเหยาไม่ห้ามปรามเจ้า เฉินชิงตูยังกล้าลงเดิมพันครั้งใหญ่ นับตั้งแต่นาทีนั้นมาข้าก็รู้แล้วว่าเจ้าต้องตายอย่างแน่นอน จ่ายค่าตอบแทนนิดหน่อยจะเป็นไรไป ไม่แน่ว่าฆ่าเจ้าอาจไม่แย่ไปกว่าสังหารหนิงเหยาเลยก็ได้”

หลีเจินชี้ไปยังจุดสูงของกำแพงเมืองปราณกระบี่ “ค่าตอบแทน? วันหน้าตลอดทั้งหัวกำแพงเมืองก็คือสถานที่ฝึกตนของข้าแล้ว”

หลีเจินมองไปยังคนหนุ่มที่ชุดขาวพลิ้วไสวแล้วโบกมือ “ไปดีล่ะ”

จิตหยินแหลกสลาย นับแต่นี้ไปจิตวิญญาณไม่ครบถ้วน สำหรับผู้ฝึกตนแล้วก็ถือว่าทิ้งโรคร้ายที่ต่อให้เป็นเทพเซียนก็ยากจะช่วยเหลือเอาไว้ พลังการต่อสู้ก็ยิ่งถูกหักลบไปเกินครึ่ง

จิตหยินตนนั้นยิ้มบางๆ ชายแขนเสื้อทั้งสองพลันสั่นสะเทือน แผ่นยันต์ประหนึ่งเมฆเคลื่อนคล้อยสายน้ำไหลที่กลบฟ้ากลบดิน ยันต์ที่ก่อนหน้านี้โยนออกไปล้วนถูกสมบัติอาคมของหลีเจินบดขยี้ให้แหลกยับไปแล้ว ไม่เป็นไร ยันต์ของข้ามีค่อนข้างมาก

ยันต์ห้าธาตุ ยันต์วิชาอสนี ยันต์รอยหิมะ ยันต์ปราณหยางส่องไฟใน ‘มหัศจรรย์ที่แท้จริงตำราสีชาด’ ยันต์ข้ามแดนที่ฉีจิ่งหลงถ่ายทอดให้ ยันต์ค้นภูเขาที่นักเรียนอย่างชุยตงซานเป็นผู้สอน รวมๆ กันแล้วไม่ต่ำกว่ายี่สิบชนิด

ก่อนหน้านี้ยันต์ทั้งหลายไม่อาจรวมตัวสร้างค่ายกลได้ แน่นอนว่าเป็นเรื่องน่าเสียดาย แต่ก็ยังสามารถอาศัยการโคจรของปราณวิญญาณในแก่นยันต์จำนวนมากที่หลงเหลืออยู่มาช่วยสำรวจดูการโคจรลมปราณในจุดที่เล็กละเอียดของทัณฑ์ฟ้าทัณฑ์ดิน

หลีเจินพลันหยุดเดิน ถามว่า “ก่อนหน้านี้เจ้าทำท่าพร้อมยอมรับความตาย เพราะจงใจล่อให้ข้ารีบทิ้งค่ายกลแห่งนี้?”

จิตหยินชุดขาวนั้นยิ้มบางๆ “เจ้าลองเดาดูสิ”

หลีเจินเอ่ยเตือนด้วยความหวังดี “ตั้งใจรับทัณฑ์สองอย่างนั้นให้ดีเถอะ อย่าลืมล่ะว่า รอให้ทัณฑ์ทั้งสองเริ่มต้นขึ้น หุ่นเชิดเซียนกระบี่เมล็ดงาที่เฝ้าพิทักษ์สมบัติทั้งสิบแปดชิ้นก็จะว่างงานแล้ว ทุกครั้งที่ออกกระบี่ล้วนเทียบเท่ากับการโจมตีอย่างเต็มกำลังของผู้ฝึกกระบี่เซียนดิน”

หลีเจินมองไปยังจุดหนึ่ง “เผยร่างจริงได้แล้วไหม?”

ก่อนหน้านี้หลีเจินแอบเล่นตุกติกบนศีรษะของเซียนกระบี่ตระกูลเยว่ หลังจากยันต์ประหลาดที่ช่วยอีกฝ่ายอำพรางลมปราณหายไปแล้ว ไม่ว่าจะไปซ่อนตัวอยู่ที่ไหนก็ไม่มีประโยชน์

จุดที่สายตาของหลีเจินมองไปมีริ้วคลื่นเหมือนลายน้ำแผ่ออกมา ก่อนที่บุรุษสวมชุดเขียวซึ่งชายแขนเสื้อสองข้างม้วนขึ้น ข้างกายมีกระบี่บินจำลองของเซียนกระบี่สองเล่มที่ภูเขาชังกระบี่อุตรกุรุทวีปเป็นผู้สร้างอย่างซ่งเจิน ไฮเหลยบินล้อมวนจะเดินออกมา

กระบี่บินสองเล่มพุ่งวูบหายไป

หลีเจินไม่เอ่ยอะไรอีก เซียนชุดดำสองท่านที่เกิดจากปณิธานกระบี่รวมตัวกันทะยานร่างออกไป แสงกระบี่ใหญ่ดุจสายรุ้ง

เท้าข้างหนึ่งของเฉินผิงอันเหยียบลงบนพื้น ร่างหายวับไปจากที่เดิม หลบพ้นแสงกระบี่ทั้งสองเส้นมาได้ เซียนกระบี่ชุดดำอีกสองท่านรุดหน้าออกมา คนหนึ่งที่ถือกระบี่ยืนอยู่เบื้องหน้าหลีเจิน ส่วนอีกคนหนึ่งร่างหายวับไปไม่เหลือเงา

มีเพียง ‘กวนจ้าว’ ร่างสูงใหญ่ที่ปณิธานกระบี่หลอมรวมกันได้เข้มข้นที่สุดจนเหมือนตัวจริงมากที่สุดที่ยังคงยืนอยู่ด้านหลังหลีเจินอยู่ตลอดเวลา

ผู้ฝึกกระบี่ที่ขอบเขตไม่สูง แต่ขณะเดียวกันก็เป็นผู้ฝึกยุทธที่ขอบเขตไม่ต่ำ?

คนผู้นี้เป็นอย่างไรกันแน่นะ?

ความไม่สบอารมณ์ในใจของหลีเจินลดหายไปหลายส่วน

ปีศาจใหญ่ฉงกวงก้มหน้าค้อมเอว ยืนอยู่ด้านหลังผู้เฒ่าชุดสีเทา ทำท่าจะพูด แต่ก็ไม่พูด

ผู้เฒ่าชุดเทายิ้มกล่าว “เมื่อใต้หล้าเปลี่ยวร้างปิดประตูลง ทุกคนก็ล้วนเป็นคนกันเอง คราวนี้หลีเจินเสียเปรียบเล็กๆ น้อยๆ ก็ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร จะบอกว่าใครแพ้ใครชนะตั้งแต่ตอนนี้ ยังเร็วเกินไปนัก”

มีเพียงเจอกับความยากลำบากมาก่อน ถึงจะรู้จักตั้งใจฝึกกระบี่ ส่วนลึกในใจจะได้ไม่มีอคติต่อตัวตนของ ‘กวนจ้าว’ อีก

ปีศาจใหญ่ฉงกวงคลี่ยิ้มประจบ แต่เพียงครู่เดียวก็พลันขนลุกขนชัน

ผลลัพธ์ไม่ใช่ว่าหลีเจินต้องชนะเท่านั้นหรอกหรือ?

ผู้เฒ่าชุดเทาเอ่ย “ก็แค่ไม่แพ้เท่านั้น”

ปีศาจใหญ่ฉงกวงรู้สึกถึงเหงื่อที่ไหลลงมาตามสันหลัง

ผู้เฒ่าชุดเทายิ้มกล่าว “อยู่ใกล้กันขนาดนี้ แล้วยังยืนมานานขนาดนั้น ลมปราณของมหามรรคาก็ถูกเจ้าแย่งไปไม่น้อย ถือเสียว่าเป็นของรางวัลจากการต่อยตีเล็กๆ น้อยๆ สองครั้งก่อนหน้านี้แล้วกัน”

ปีศาจใหญ่ฉงกวงค้อมเอวก้าวถอยหลัง จากไปอย่างเงียบเชียบ

บนหัวกำแพงเมือง จั่วโย่วไม่ได้ออกกระบี่ฟันไปยังทะเลเมฆทัณฑ์สวรรค์นั่น

ผู้ฝึกกระบี่รุ่นเยาว์ของกำแพงเมืองปราณกระบี่ที่อายุต่ำกว่าสามสิบปีล้วนเป็นผู้มีพรสวรรค์ในผู้มีพรสวรรค์กันทุกคน นี่ก็คือช่วงเวลาอันดีงามที่เพิ่งเคยเกิดขึ้นในช่วงระยะเวลาหลายพันปีของกำแพงเมืองปราณกระบี่

ช่วงเวลาแห่งความเจริญรุ่งเรืองที่เกิดขึ้นคราวก่อน ก็คือครั้งที่สงครามของกำแพงเมืองปราณกระบี่โหดเหี้ยมรุนแรงมากที่สุด เป็นเหตุให้บนหัวกำแพงเมืองเหลือเพียงเฉินชิงตูคนเดียวที่คอยเฝ้าพิทักษ์

แต่คราวนี้ ตลอดสามสิบสี่สิบปีที่ผ่านมา กำแพงเมืองปราณกระบี่ให้การปกป้องคุ้มครองเด็กกลุ่มนี้อย่างดีเยี่ยม แน่นอนว่าค่าตอบแทนก็คืออาจารย์กระบี่เซียนดินมากมายที่ต้องตายไปเพราะช่วยคุมท้ายให้พวกเด็กๆ

ผังหยวนจี้เอ่ย “หากเปลี่ยนมาเป็นข้า ห้าอสนีที่หล่นลงมาจากฟ้า ปราณสังหารที่ผุดมาจากดิน ย่อมไม่มีทางหลบพ้นแน่นอน ได้แต่ฝืนต้านรับเอาไว้ แล้วก็ต้องตายแน่ๆ”

เกาโย่วชิงน้องสาวของเกาเหย่โหวเอ่ยเสียงเบา “ข้ามีแต่จะตายเร็วยิ่งกว่า ตายตั้งแต่ตอนอยู่ในค่ายกลกระบี่แห่งนั้น”

ต่งฮว่าฝูกล่าว “เจ้าสัตว์เดรัจฉานน้อยผู้นั้นคือลูกศิษย์คนสุดท้ายของภูเขาทัวเยว่ นอกจากพี่หญิงหนิง พวกเราทุกคนล้วนต้องแพ้แน่นอน นี่เป็นเรื่องปกติ ไม่ต้องคิดมาก เจ้าลองดูพวกเราสิ มีใครที่สามารถเอาอาวุธกึ่งเซียนและสมบัติอาคมออกมาได้มากมายขนาดนั้นในรวดเดียว? ดังนั้นหากอิงตามคำกล่าวของเฉินผิงอัน รับมือกับกับพวกคนมีเงินมีอำนาจมีที่พึ่งประเภทนี้ ไม่ควรเป็น ‘ข้าตัวเดียววิ่งกระหืดกระหอบเอาหัวไปมอบให้คนอื่น’ ‘ต้องให้อีกฝ่ายมาหาเรื่องพวกเราทั้งกลุ่มเพียงลำพัง’ ถึงเวลานั้นเมื่อทุกคนแบ่งทรัพย์สินกันก็จะรวยกันเละ”

ผังหยวนจี้เอ่ย “หลักการเป็นอย่างนี้ก็จริง แต่พวกเราก็ต้องดูด้วยว่าเจ้าสัตว์เดรัจฉานน้อยตนนั้นสามารถควบคุมสมบัติอาคมได้มากมายขนาดนี้ในรวดเดียว นี่ไม่ใช่สิ่งที่คนทั่วไปสามารถทำได้ ครั้งนี้เฉินผิงอันจับคู่ต่อสู้กับเขา ก็ถือว่าโชคดีที่เป็นเฉินผิงอัน กลลวงน้อยใหญ่ของอีกฝ่ายถึงได้ไม่เห็นผลทันตา ศึกครั้งหน้าพวกเราจะต้องระมัดระวังคนประเภทนี้มากเป็นพิเศษ”

ผู้ฝึกกระบี่หนุ่มคนหนึ่งที่ไม่ค่อยสนิทกับหนิงเหยา เฉินซานชิวและเตี๋ยจ้างแห่งร้านเหล้าเท่าใดนักเอ่ยประโยคที่มีความเป็นธรรม “หากเปรียบกันที่ความอำมหิตแล้วล่ะก็ เจ้าสัตว์เดรัจฉานน้อยก็มาเจอคนผิดแล้ว”

หนิงเหยาเงยหน้ามองทัณฑ์สวรรค์ทะเลเมฆเงียบๆ

หากเปลี่ยนเป็นนาง คิดจะต้านรับไว้คงไม่ยาก แต่ผลกระทบจะลึกล้ำยาวไกล ปัญหาจะค่อนข้างมาก

เฉินชิงตูยิ้มกล่าว “แม่หนูหนิง ถ้าหากเป็นเจ้าที่ลงสนามรบ แน่นอนว่าไม่มีทางมีการเดิมพันนั้น อีกอย่างในเมื่อเฉินผิงอันถูกข้าลากขึ้นมาบนหัวกำแพงเมือง ก็ไม่มีทางมีคำว่า ‘ถ้าหาก’ นี้”

เฉินชิงตูพลันนึกถึงเรื่องในอดีตเรื่องหนึ่งขึ้นมาได้ซึ่งถือว่าเป็นเรื่องที่หาได้ยากสำหรับเขา จึงเอ่ยว่า “อู๋เฉิงเพ่ยเคยถามอาเหลียงว่า ใต้หล้านี้ใครกันแน่ที่ไม่อาจตาย สรุปแล้วเกี่ยวข้องกับแซ่สกุลและตระกูลหรือไม่”

“อาเหลียงเองก็จนปัญญาเหมือนกัน คำถามแบบนี้ตอบได้ยากนักล่ะ เพราะฉะนั้นภายหลังถึงได้แต่ไปเยือนภูเขาทัวเยว่และแม่น้ำเย่ลั่ว”

เฉินชิงตูหัวเราะ หันหน้ามามองหนิงเหยา “ข้าย่อมให้ความสำคัญในตัวเจ้าและเฉินผิงอัน แต่ก็แน่นอนว่าข้าไม่คิดว่าพวกเจ้าตายไม่ได้ หากจะให้อธิบายก็ออกจะซับซ้อนไปสักหน่อย แม่หนูหนิง เจ้าเข้าใจความหมายของข้าหรือไม่?”

หนิงเหยาพยักหน้ารับ “เข้าใจ แต่ข้าไม่พอใจอย่างยิ่ง ไม่ใช่เพื่อตัวเอง แต่เพื่อเฉินผิงอัน”

จั่วโย่วแค่นเสียงหยันเอ่ยว่า “คนที่ไม่พอใจ ยังต้องนับรวมข้าเข้าไปอีกคน”

ทว่ารอยยิ้มของเฉินชิงตูกลับยิ่งฉีกกว้าง พูดคุยกับแม่หนูหนิงมักจะไม่เปลืองแรงเสมอ และความตรงไปตรงมาของจั่วโย่วก็ดีมากเหมือนกัน “นี่แหละดีแล้ว ไม่ใช่ว่าไม่เอาใจใส่เรื่องใดเลย ไม่พอใจนั่นแหละถึงจะดี ไม่อย่างนั้นจั่วโย่วก็คือบทเรียนที่มีให้เห็น ฝึกกระบี่อะไร ทำไมถึงฝึกกระบี่ เป็นตายคืออย่างไร ล้วนเหมือนถูกผีบังตามาโดยตลอด กระทั่งวันนี้ถึงพอจะเหมือนผู้ฝึกกระบี่ที่แท้จริงคนหนึ่งขึ้นมาได้บ้าง”

จั่วโย่วแสร้งทำเป็นไม่ได้ยิน เพียงพึมพำกับตัวเองว่า “ผู้ฝึกกระบี่ที่แท้จริง”

ผู้ฝึกกระบี่ที่แท้จริงจะออกกระบี่เพื่อโลกมนุษย์ จะลืมความเป็นความตาย หลุดพ้นไปจากความเป็นความตาย

เรื่องใหญ่ที่ยิ่งคิดลึกซึ้งก็ยิ่งยากจะทำได้สำเร็จเรื่องนี้ก็คือเรื่องเล็กที่สามารถทำได้โดยบังเอิญ

แล้วก็เป็นเรื่องประหลาดที่ผู้ฝึกกระบี่ห้าขอบเขตกลางหลายคนสามารถทำได้ แต่กลับกลายเป็นเซียนกระบี่ห้าขอบเขตบนที่ยิ่งนานก็ยิ่งไม่อาจทำได้

ยิ่งโลกมนุษย์เสื่อมทรามเท่าไร ก็ยิ่งเกิดความหมดอาลัยตายอยากไม่ยินดีมากเท่านั้น แต่พอโลกมนุษย์ดีงามขึ้นเรื่อยๆ กลับกลายเป็นว่าตัดใจไม่ได้ หากเวทกระบี่ไม่สูง ต่อให้ตัดใจไม่ได้ก็ช่วยไม่ได้ ไม่สู้ตายเพื่อคนอื่นให้สิ้นเรื่องสิ้นราวกันไป แต่พอเวทกระบี่สูงมากพอ ก็จะมีความสามารถให้หาเหตุผลร้อยพันประการให้ตัวไม่ต้องตาย นี่ก็คือเรื่องปกติที่สมเหตุสมผลตามหลักฟ้าดิน มิอาจเรียกร้องเปลี่ยนแปลง

วัตถุอย่างใจคนนี้ ไม่เสียแรงที่ปีนั้นคือกรงขังที่น่าสนใจที่สุดที่สิ่งศักดิ์สิทธิ์สร้างขึ้นมา

ส่วนกรงขังอีกแห่งหนึ่งก็คือทัศนคติที่มนุษย์มีต่อการไหลหายไปของแม่น้ำแห่งกาลเวลา อริยะปราชญ์ยุคบรรพกาลแบ่งแยกฟ้าดิน ปวงประชาในรุ่นหลังได้รับการปกป้องอย่างที่มองไม่เห็น เพียงแค่ชมทัศนียภาพจากบนฝั่ง นี่จึงเป็นเหตุให้ขาดความหมายบางอย่างอยู่เสมอ ดังนั้นไม่ว่าใครก็ตาม ก่อนที่จะได้บรรลุมรรคาอย่างแท้จริง ต่อให้จะเป็นขอบเขตบินทะยานก็อดรู้สึกว่าชีวิตคนคือมายาเลื่อนลอยไร้แก่นสารไม่ได้ นี่คือปัญหายากใหญ่เทียมฟ้าที่ตลอดหมื่นปีที่ผ่านมาอริยะปราชญ์ของสามลัทธิและเมธีร้อยสำนักพยายามตามหาวิธีคลี่คลายอย่างไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย

การแสวงหาความจริงของผู้ฝึกตนขอบเขตเซียนเหริน การใช้ปราณแห่งความเที่ยงธรรมยิ่งใหญ่กำหนดใจคนของลัทธิขงจื๊อ การทำลายทิฐิในตัวเองของลัทธิพุทธ การหวนกลับคืนสู่จุดดั้งเดิมของลัทธิเต๋า ล้วนเป็นการลงแรงทำเรื่องนี้อย่างลำบากเหนื่อยยาก

ทุกคนต่างก็พยายามมีชีวิตอยู่อย่างยากลำบาก แต่ขณะเดียวกันทุกคนก็แสวงหาความตายอยู่เงียบๆ ช่างขัดแย้งกันเองเหลือเกิน นี่ถึงเป็นเหตุให้จำเป็นต้องไขว่คว้าในคำว่ามนุษย์มีชีวิตอยู่บนฟ้าดิน รูปลักษณ์เหมือนทัศนียภาพกลางแสงตะวัน จิตใจดุจดั่งดวงจันทราบนฟากฟ้า มองเห็นทุกอย่างกระจ่างแจ้ง สว่างชัดแจ่มใส

เฉินชิงตูเอ่ยประโยคประหลาดอย่างหนึ่งกับหนิงเหยา “ไม่ว่าผลลัพธ์คืออะไรก็ไม่ต้องรู้สึกว่าศึกนี้เฉินผิงอันเสียเปรียบมากเกินไป”

หนิงเหยาไม่รับคำ

เฉินชิงตูจึงยิ้มกล่าว “ข้าไม่ได้ขอร้องให้เฉินผิงอันเป็นคนออกจากหัวกำแพงไปส่งของขวัญกลับคืนเสียหน่อย”

บนสนามรบ ฝุ่นผงคลุ้งตลบ

เซียนชุดดำสามท่านที่เรือนกายดั่งภาพมายาล่องลอยพากันออกกระบี่ แต่ละท่านล้วนยึดตำแหน่งหนึ่งอยู่ตลอดเวลา โอบล้อมกักตัวเฉินผิงอันไว้ภายใน แสงกระบี่พร่างพราว พลังอำนาจดุจอสนีบาต ไม่มีกฎระเบียบใดๆ ให้พูดถึง เอาแต่ออกกระบี่ใส่เฉินผิงอันรัวอุตลุด