บทที่ 616.2 หลีเจินตายแล้ว

กระบี่จงมา! Sword of Coming

หลังจากที่เซียนชุดดำคนหนึ่งในนั้นขยับเข้ามาใกล้แล้วปล่อยหมัดกระแทกเข้าใส่ เรือนกายก็สั่นสะเทือนและจางหายไป เพียงแต่ว่าไม่นานก็มีปณิธานกระบี่เข้ามารวมตัวกันอีกครั้ง วัตถุไร้ชีวิตที่เกิดจากการรวมตัวกันของปณิธานกระบี่ก็แค่หม่นหมองลงไปเล็กน้อยเท่านั้น ยังคงออกกระบี่ได้เหมือนเดิม อีกทั้งแสงกระบี่ก็เร็วและหนักหน่วงอย่างถึงที่สุด

แล้วก็มีเซียนท่านหนึ่งถูกแสงกระบี่ของฝ่ายตัวเองกระแทกโดน จากนั้นก็เหมือนกับคนตายที่ฟื้นคืนชีพใหม่

สนามรบอีกฝั่งหนึ่งที่พลังการต่อสู้แตกต่างกันอย่างชัดเจน ทะเลเมฆที่ซุกซ่อนวิชาเวทอสนีเที่ยงแท้ลดตัวลงต่ำ แผ่นดินถูกบ่อสายฟ้ายกดึงให้สูงขึ้น เห็นได้ชัดว่าฟ้าดินกำลังจะเชื่อมต่อกัน เพื่อบดขยี้สังหารจิตหยินชุดขาวที่อยู่ตรงกลาง

เซียนชุดดำคนที่สามที่แฝงตัวอยู่ในที่มืดตลอดเวลาเผยกายหยุดยืนนิ่ง โดยไม่ทันรู้ตัว ตอนนี้จึงกลายเป็นว่ามีกันทั้งหมดสี่ฝ่าย

ชั่วเวลาเพียงลัดนิ้วมือ ผืนแผ่นดินด้านหลังเซียนชุดดำทั้งสี่ด้านพลันสั่นสะเทือน มีเทพเซียนผุดขึ้นมาจากพื้นดิน กายธรรมแห่งราชาสวรรค์ทั้งสี่ท่านตั้งตระหง่าน ประหนึ่งเทวรูปสีสันสดใสที่มีชีวิตชีวามากที่สุดบนโลกมนุษย์ เมื่อเซียนกระบี่ทั้งสี่ท่านทำมุทรากระบี่พร้อมกัน กายธรรมราชาสวรรค์ทั้งสี่ท่านก็ลืมตาขึ้นอย่างพร้อมเพรียง เผยให้เห็นดวงตาถลึงกว้างอย่างดุดันของราชาสวรรค์

เทวรูปหนึ่งในนั้นมีแสงสีทองไหลวนทั่วทั้งร่าง เป็นประกายสีสันงดงาม บนศีรษะสวมมงกุฎห้าพุทธะ (หมวกทรงตั้งห้าช่องเรียงต่อกัน แต่ละช่องจะเป็นทรงห้าเหลี่ยมปลายแหลม ด้านในมีรูปของพระพุทธเจ้าปางต่างๆ คล้ายกับหมวกที่พระถังซัมจั๋งหรือภิกษุเสวียนจั้งในเรื่องไซอิ๋วสวมใส่) สวมเสื้อเกราะสีทอง ประดับไข่มุกอัญมณี มือขวาถือธงปลายแหลม

เทพองค์หนึ่งคล้ายกับคนร่างทอง สวมเสื้อเกราะสีม่วงอมแดง ใบหน้าแสดงถึงความโกรธเกรี้ยวอย่างชัดเจน มือขวาถือหอก ปลายหอกทิ่มพื้น อีกมือหนึ่งถือกระจกวิเศษสาดส่องพื้นดิน

ส่วนกายธรรมของราชาแห่งสวรรค์อีกองค์หนึ่งนั้น แขนซ้ายข้างแนบลำตัวถือดาบ ในฝ่ามือประคองสมบัติ

องค์เทพองค์สุดท้ายมีมังกรล้อมพันอยู่รอบกาย มือขวาถือเชือกสีแดง เล่าลือกันว่าสามารถสยบราชามังกรได้ทุกตน

หลีเจินแบ่งสมาธิทำสองเรื่องในเวลาเดียวกัน ทั้งมองร่างจริงของศัตรูที่อยู่ในค่ายกล แล้วก็สำรวจตรวจตราจิตหยินหยุดขาวที่อยู่ท่ามกลางทัณฑ์ฟ้าดินอย่างละเอียดไปพร้อมกันด้วย

ราชาแห่งสวรรค์ทั้งสี่องค์ต่างก็ถือสมบัติแตกต่างกัน ใช้แสงเรืองรองของสมบัติเหล่านั้นมาแผ่ปกคลุมฟ้าดินขนาดเล็กใหม่อีกครั้ง หลังจากที่เซียนกระบี่ชุดดำทั้งสี่ท่านสร้างค่ายกลเสร็จแล้ว เรือนกายก็สลายหายไปเอง กลายมาเป็นปณิธานกระบี่ที่บริสุทธิ์หลายเสี้ยว

เฉินผิงอันปล่อยหนึ่งหมัดออกไปด้วยกระบวนท่าไอเมฆเหนือบึงใหญ่ ทำให้ม่านฟ้าของฟ้าดินขนาดเล็กสั่นสะเทือนไม่หยุด ตอนนี้จึงยังไม่มีพลานุภาพสวรรค์ลดตัวลงมาสยบพื้นดิน

ขณะเดียวกันนั้นกระบี่บินชูอีก็พุ่งออกมาจากช่องโพรงแห่งชะตาชีวิตเพื่อเข่นฆ่าปณิธานกระบี่ที่ขยับเข้ามาใกล้เรือนกาย

หลีเจินกระตุกมุมปาก ความสามารถก้นกรุของอีกฝ่ายมีไม่น้อยเลยจริงๆ กระทั่งบัดนี้ถึงเพิ่งจะถูกบีบให้เรียกออกมาต้านรับศัตรู

จิตของหลีเจินขยับไหวเล็กน้อย ‘กวนจ้าว’ ที่อยู่ด้านหลังก็เดินออกมาด้านหน้าหนึ่งก้าว ประหนึ่งองค์เทพผู้พิทักษ์ที่คอยปกป้องหลีเจิน

แสงกระบี่สีเขียวเข้มประหนึ่งสายฟ้าเส้นหนึ่งใช้ความเร็วที่เกินใครจะคาดการณ์ได้ถึงปักตรึงเข้าไปในเรือนกายของกวนจ้าวในเสี้ยววินาที ตัวกระบี่แหวกผ่านทะลุออกไปโดยตรง ปลายกระบี่ที่สั่นส่ายเบาๆ อยู่ห่างจากหว่างคิ้วของหลีเจินแค่หนึ่งฉื่อเท่านั้น

หลีเจินก้าวถอยหลังหนึ่งก้าว เรือนกายที่ล่องลอยของกวนจ้าวยิ่งรวมตัวกันหนาแน่น หมายจะยื่นสองนิ้วไปพันธนาการกระบี่บินที่ลอบโจมตีได้อำมหิตอย่างถึงที่สุดเล่มนั้น

คิดไม่ถึงว่ากระบี่บินสีเขียวที่โจมตีไม่สำเร็จจะถอยกรูดแล้วหายวับไป

คนธรรมดาที่เรือนกายอ่อนแอ ต่อให้ได้ครอบครองสมบัติอาคมบนภูเขาก็ควบคุมไม่ได้ มีแต่จะประสบเคราะห์ภัยเท่านั้น

หลักการเดียวกัน ไม่ใช่เซียนดินทุกคนที่สามารถควบคุมอาวุธกึ่งเซียนชิ้นหนึ่งได้อย่างสมบูรณ์

ส่วนเรื่องที่จะทำให้อาวุธเซียนยอมรับเป็นนายก็ยิ่งยากราวกับเดินขึ้นสวรรค์

แต่ตอนนี้ในมือของหลีเจินมีอาวุธเซียน อีกทั้งยังมีถึงสองชิ้น

หลีเจินยกฝ่ามือข้างหนึ่งขึ้น คือยันต์บรรพบุรุษที่วาดเป็นภาพห้าขุนเขาที่แท้จริงทั้งหมดเอาไว้ มีนามว่ายันต์สามขุนเขา

หากเรียกใช้ก็ต้องจ่ายค่าตอบแทนมหาศาลอย่างที่ต่อให้เป็นหลีเจินก็ยังแทบกระอัก เอามาใช้รับมือกับหนิงเหยา หลีเจินตัดใจได้ แต่ให้เอามาใช้รับมือกับคนหนุ่มตรงหน้า เขากลับไม่ใคร่จะยินดีนัก

ดังนั้นหลีเจินจึงกุมมือเป็นหมัดหลวมๆ ต่อไป มืออีกข้างที่แบออกมีเม็ดกระบี่กลิ้งหลุนๆ อยู่กลางฝ่ามือ มันเคยเป็นกระบี่บินแห่งชะตาชีวิตของตน หรือควรจะบอกว่าเป็นของกวนจ้าวผู้นั้น ศึกบนภูเขาทัวเยว่ เดิมทีมันแตกพังไม่เหลือชิ้นดีแล้ว เพียงแต่ภูเขาทัวเยว่จ่ายค่าตอบแทนมหาศาลเพื่อหล่อเลี้ยงมันมานานนับหมื่นปี ถึงได้ค่อยๆ กลับคืนสู่จุดสูงสุด ในประวัติศาสตร์ ทุกครั้งที่มีศึกใหญ่โจมตีเมืองจะต้องมีปีศาจใหญ่ที่รับหน้าที่ใช้เวทลับบรรพกาลมาสกัดดึงเอาปณิธานกระบี่ของกวนจ้าวจากกำแพงเมืองปราณกระบี่แล้วส่งไปยังภูเขาทัวเยว่อย่างลับๆ ในบรรดาคนเหล่านั้นก็มีปีศาจใหญ่ลูกศิษย์ผู้สืบทอดของภูเขาทัวเยว่ตนนั้นที่พาตัวมาเสี่ยงอันตรายด้วยตัวเอง หมายจะขโมยปณิธานกระบี่ให้ได้มากกว่าเดิม นั่นถึงได้ถูกต่งซานเกิงร่วมมือกับเฉินซีกักตัวเอาไว้

จับตัวปีศาจใหญ่ขอบเขตบินทะยานตัวเป็นๆ ตนหนึ่ง ไม่ได้ง่ายเหมือนการสังหารปีศาจใหญ่สักตน

เมื่อหลีเจินแบมือออก เม็ดกระบี่ก็สั่นระริกเบาๆ เป็นเหตุให้ฟ้าดินรอบกายหลีเจินเริ่มบิดเบือน และกวนจ้าวเซียนกระบี่ที่เกิดจากการรวมตัวกันของปณิธานกระบี่ก็ถึงกับหันหน้ามามอง ทั้งๆ ที่มันไร้ชีวิต ทว่าเวลานี้กลับเผยแววตาซับซ้อนที่เหมือนคนอย่างมากออกมา

หลีเจินเงยหน้าขึ้น กำมือเป็นหมัดอีกครั้ง ยิ้มบางๆ เอ่ยกับ ‘กวนจ้าว’ ว่า “นี่คือของของข้า ไม่ใช่ของของเจ้า”

กวนจ้าวโบกกระบี่เบาๆ ปัดการโจมตีจากกระบี่บินสีเขียวเข้มที่โผล่มาอย่างกะทันหันทิ้งไป

หลีเจินไม่สนใจกระบี่บินที่ปรากฏตัวอย่างลึกลับอีก เขาก้าวยาวๆ ไปด้านหน้า เดินทะลุร่างมายาของกวนจ้าวไปชมศึกต่ออีกครั้ง

คนหนุ่มผู้นั้นทนมือทนเท้าได้เก่งจริงๆ กายธรรมราชาสวรรค์จ้วงทวนเข้าใส่ เขากลับยกแขนขึ้นบัง ร่างทั้งร่างที่โดนพละกำลังจากการโจมตีจึงทำให้สองขาผลุบจมเข้าไปในพื้น

บนหัวกำแพงเมือง พวกผู้มีพรสวรรค์รุ่นเยาว์แลกเปลี่ยนความเห็นโดยใช้เสียงในใจกันต่อไป

ต่งปู้เต๋อยิ้มบางๆ เอ่ยว่า “เป็นการประมือที่เฉินผิงอันไม่เหลือเรี่ยวแรงให้เอาคืนอีกแล้ว เอนเข้าข้างเดียว ชัยชนะเอนเข้าข้างเดียวจริงๆ”

กวอจู๋จิ่วพยักหน้ารับอย่างแรง “เจ้าเดรัจฉานน้อยผู้นั้นร้ายกาจจริงๆ สามารถเรียกตัวเองเป็นพี่เป็นน้องกับฉีโซ่วได้แล้ว วันหน้าเจอกันบนสนามรบ ก่อนทั้งสองฝ่ายจะตีกันก็สามารถระบายความรู้สึกในใจที่มีต่อกันก่อนได้”

เฉินซานชิวได้แต่ยิ้มจืดเจื่อน

การที่พวกเขาพูดจาอย่างผ่อนคลายซึ่งมองดูเหมือนแฝงอารมณ์ขันเช่นนี้ แท้จริงแล้วความรู้สึกคือตรงกันข้าม เพราะในใจของทุกคนเคร่งเครียดยิ่งนัก

ลำพังแม่หนูลวี่ตวนที่ไม่กลัวฟ้าไม่เกรงดิน เวลานี้ก็เหงื่อท่วมเต็มหน้าผาก กลัดกลุ้มใจอย่างมากแล้ว

ระหว่างที่ทะเลเมฆลดลงต่ำ ผืนดินยกขึ้นสูง ฟ้าดินยังไม่ประกบติดกันโดยสมบูรณ์นั้น บ่อสายฟ้าที่อยู่บนพื้นดินคอยขานรับกับทะเลเมฆ ทำให้มีห้าอสนีกระแทกลงใส่ผืนดิน ระหว่างฟ้าดินยิ่งมีแส้สายฟ้าเส้นยาวเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ ก่อนจะผ่าลงบนพื้น พวกมันยังแยกตัวออกเป็นสายฟ้าเส้นเล็กเส้นน้อยจำนวนนับไม่ถ้วนที่แฝงไว้ด้วยสัจธรรมแท้จริงแห่งอสนีซึ่งแลบแปลบปลาบอย่างไร้ระเบียบ จิตหยินชุดขาวที่ถูกล้อมอยู่ภายในได้แต่ทะยานลมคอยหลบเลี่ยง ไม่เพียงแต่ต้องหลบเสาสายฟ้าห้าอสนีที่กระแทกครืนครั่นลงมาบนพื้น ยังต้องหลบแสงสายฟ้าวุ่นวายที่เหมือนต้นไม้แตกกิ่งก้านสาขาในเสี้ยววินาทีพวกนั้นด้วย

แต่เมื่อฟ้าและดินเชื่อมติด สองทัณฑ์ประกบซ้อน

ต้องไม่มีที่ให้หลบเลี่ยงอีกอย่างแน่นอน

หลีเจินยิ้มเอ่ยกับกายธรรมทั้งสี่ “ไม่ต้องรีบร้อน ผู้ฝึกยุทธเต็มตัวที่เดิมทีมีเส้นทางวรยุทธยาวไกลผู้นี้ จะต้องค่อยๆ กลายเป็นโครงกระดูกที่ยืนค้าง ลิ้มรสชาติของการที่คนธรรมดาเป็นเทพด้วยตัวเองแน่”

เอ่ยประโยคนี้จบ หลีเจินก็เงยหน้ามองหนิงเหยา ได้ยินศิษย์พี่หญิงของภูเขาทัวเยว่บอกว่า ผู้ฝึกกระบี่ของกำแพงเมืองปราณกระบี่ชอบหลงกลกับดักนี้มากที่สุด

คนหนุ่มที่จิตหยินแยกจากร่างจริงอยู่ในสนามรบคนละแห่ง คาดว่าคงจะเป็นเพียงข้อยกเว้นที่มีไม่มากเท่านั้น

เพียงแต่หนิงเหยาไม่แม้แต่จะชายตามองหลีเจิน ทำเพียงแค่จ้องนิ่งไปยังทะเลเมฆที่ยิ่งนานความเร็วในการลดระดับลงมาก็ยิ่งเพิ่มมากขึ้น

หนิงเหยาไม่สนใจคำท้าทายของหลีเจิน

ทว่าบนพื้นดินที่อยู่ห่างจากหัวกำแพงเมืองไปไกลกลับมีกระบี่บินทยอยกันพุ่งเข้าหาหลีเจิน ประหนึ่งผู้ฝึกกระบี่ถามกระบี่

คราวนี้ไม่ได้มีแค่แสงกระบี่สีเขียวเข้มอีกแล้ว แต่มีกระบี่ถึงสามเล่มที่พุ่งไปถึงพร้อมกัน

เล่มแรกคือซงเจินที่เล็กบางราวกับเข็มร้อยด้าย

กวนจ้าวส่งกระบี่ออกไปหนึ่งที กระบี่บินเล่มนั้นก็เปลี่ยนแปลงทิศทางการโคจรกะทันหัน พลันหายวับไปอย่างร่องรอย บนพื้นดินมีเพียงร่องหนึ่งที่ทอดยาวเป็นเส้นลึก

กวนจ้าวบิดหมุนข้อมือออกกระบี่ต่ออีกครั้ง คือไฮเหลยที่พลังอำนาจน่าครั่นคร้ามเล่มนั้น ยังคงถอยร่นโดยที่ไม่ทันได้ต่อสู้ เพียงแต่ว่าถูกปราณกระบี่ที่เปี่ยมล้นของกวนจ้าวแผ่ลามมาโดน ตอนที่ถอยหนี ปลายกระบี่จึงเอนลงเล็กน้อย

หลีเจินรู้สึกว่าน่าสนุก

ที่แท้กระบี่บินทั้งสองเล่มก็เป็นแค่หมอนปักลายบุปผาที่แสร้งทำท่าข่มขู่ให้คนกลัวเท่านั้นเองหรือ? หากอยู่บนสนามรบทั่วไป บางทีอาจทำให้คนตกใจมากจริงๆ เพราะบนเส้นแห่งความเป็นความตายในหลายๆ ครั้ง นี่ก็มากพอจะเปลี่ยนแปลงสถานการณ์ได้แล้ว

มีเพียงกระบี่บินสืออู่ที่แฝงปราณสังหารอย่างแท้จริงที่แหวกอากาศจากที่ไกลมาทางด้านข้าง วาดวงโค้งพุ่งเข้าใส่ท้ายทอยของหลีเจินอย่างว่องไว

ตอนนี้กวนจ้าวถูกขอบเขตและความคิดของหลีเจินถ่วงเป็นภาระ เป็นเหตุให้ไม่อาจออกกระบี่โดยอาศัยสัญชาตญาณได้อย่างเต็มที่ อีกทั้งยังไม่ใช่จุดสูงสุดของร่างจริง เซียนกระบี่กวนจ้าวที่ออกกระบี่ไม่ทันจึงยื่นมือไปกุมกระบี่บินเล่มนั้นไว้เสียเลย

หลีเจินไม่สนใจการลอบสังหารพวกนี้แม้แต่น้อย

ต่อให้โดนกระบี่แทงครั้งสองครั้งก็ยังไม่เป็นไร

แล้วนับประสาอะไรกับที่ยังมีกวนจ้าวคอยช่วยสกัดกระบี่ให้

สิ่งเดียวที่หลีเจินเป็นกังวลในตอนนี้ก็คือต้องการยืนยันให้แน่ใจว่าร่างจริงของคนหนุ่มผู้นั้นใช่ร่างจริงที่ครบถ้วนสมบูรณ์จริงๆ หรือไม่ หรือว่าเป็นแค่จิตหยางกายนอกกายเท่านั้น

หากร่างจริงยังคงหลบอยู่ที่มุมใดมุมหนึ่งที่ไม่มีใครรับรู้เพื่อคอยฉวยโอกาสโจมตี ก็จะมีเรื่องไม่คาดฝันเล็กๆ ที่ไม่เกี่ยวข้องกับสถานการณ์ใหญ่ แต่กลับทำให้เขาหลีเจินต้องขายหน้าผู้อื่นเกิดขึ้นอีกครั้ง

เพราะถึงอย่างไรคู่ต่อสู้คนนี้ก็ดูเหมือนว่าไม่ค่อยเหมือนพวกผู้ฝึกกระบี่ที่ตรงไปตรงมาสักเท่าไร

น่าจะเป็นคนอย่างจั่วโย่วที่อยู่บนหัวกำแพงเมืองถึงจะถูก

หลีเจินคิดแล้วก็รู้สึกว่าตนควรรอให้สนามรบทั้งสองแห่งนี้ยุติลงก่อนจะดีกว่า แต่ตนอยู่ว่างๆ แบบนี้ก็ดูไม่เข้าท่าสักเท่าไร

จึงเรียกกระบี่บินแห่งชะตาชีวิตที่ได้รับการขนานนามว่าได้รับความโปรดปราณจากสวรรค์เป็นพิเศษออกมา กระบี่บินพุ่งทะยานขึ้นฟ้า ลากเอาเส้นแสงสีขาวหิมะเส้นหนึ่งตามหลังไปด้วย สุดท้ายจำแลงกลายมาเป็นดวงจันทราสุกสกาวอยู่บนท้องนภาของใต้หล้าเปลี่ยวร้าง ประชันแสงกับดวงตะวัน

ดวงจันทร์กลมโตลอยอยู่บนม่านฟ้า แสงจันทร์ประดุจสายน้ำที่ไหลรินลงมายังโลกมนุษย์ สาดสะท้อนรัศมีหลายร้อยลี้รอบสนามรบ พอถูกแสงจันทร์สาดส่อง ปณิธานกระบี่ของเซียนกระบี่บรรพกาลส่วนใหญ่ก็ล้วนหยุดชะงัก

บ่อสายฟ้าคือฟ้าดินขนาดเล็กแห่งหนึ่ง อาศัยสมบัติอาคมและความสามารถด้านการจัดวางค่ายกลที่ตัวหลีเจินคิดว่ามีฝีมือแค่ผิวเผินก่อขึ้นมา

เซียนชุดดำทั้งสี่ท่านเป็นทั้งเวทอำพรางตา แล้วก็ไม่ใช่เวทอำพรางตา เมื่อกายธรรมตั้งตระหง่าน ก็กลายเป็นฟ้าดินขนาดเล็กอีกแห่งหนึ่ง

เมื่อหลีเจินเรียกกระบี่บินแห่งชะตาชีวิตออกมา ก็กลายเป็นฟ้าดินแห่งที่สาม

หลีเจินเพ่งสายตามองไป แสงจันทร์ที่สาดส่องลงบนพื้นดินมีกลิ่นอายการไหลเวียนของแม่น้ำแห่งกาลเวลาปะปนอยู่ ดังนั้นเมื่อความคิดของหลีเจินหยุดนิ่ง ฟ้าดินขนาดเล็กแห่งที่สามด้านนอกกรงขังฟ้าดินเล็กสองแห่งก็หยุดชะงักตามไปด้วย ร้อยกว่าจั้งใต้พื้นดินก็ถูกครอบคลุมไว้ภายใน

เรื่องจริงพิสูจน์ให้เห็นว่าคนหนุ่มไม่มีวิธีการรับมือที่มากกว่านี้ ซึ่งนี่แสดงถึงว่าร่างจริงของเขาไม่ได้ไปหลบซ่อนอยู่ที่อื่น

กลับเป็นกระบี่บินจริงๆ เท็จๆ สามเล่มที่พอจะรู้กาลเทศะอยู่บ้าง ไม่มาโรมรันตอแยหลีเจินอีกต่อไป เพียงแค่บินวูบวาบอยู่ห่างไปไกลเหมือนแมลงวันไร้หัว โดยเฉพาะอย่างยิ่งกระบี่บินจำลองสองเล่มที่แสร้งวางท่าน่ากลัวที่เวลานี้ยิ่งโงนเงนจะร่วงมิร่วงแหล่ มองดูแล้วน่าขันอย่างยิ่ง

ในฟ้าดินขนาดเล็ก นอกจากปณิธานกระบี่ของเซียนกระบี่ที่ราวกับว่าไม่ถูกมหามรรคาของฟ้าดินพันธนาการ เพียงแค่ความเร็วในการไหลวนชะลอช้าลงแล้ว ปราณกระบี่จำนวนนับไม่ถ้วนที่เหลืออยู่ล้วนแหลกสลายกลายเป็นผุยผงอยู่ในกระแสน้ำแห่งกาลเวลา

หลีเจินผ่อนลมหายใจโล่งอก เพราะว่าไม่มีเรื่องไม่คาดฝันเล็กๆ เกิดขึ้นมากกว่านี้ แต่นี่ก็ทำให้เขาผิดหวังเล็กน้อย

กระบี่บินที่อยู่ในมือของกวนจ้าวหนีไปแล้ว ความคมของกระบี่บินเล่มนั้นนับว่าไม่ธรรมดาเลย

เพียงแต่กวนจ้าวเองก็ไม่ได้เป็นอะไร การที่แสงกระบี่สีเขียวเข้มเส้นนั้นบุกไปบุกกลับอย่างไร้ประโยชน์เป็นเวลานาน ถึงอย่างไรก็หนีไม่พ้นชะตากรรมที่ต้องแหลกสลายไปตามเจ้านายที่มอดม้วยอยู่ดี

มันกับเจ้าของที่น่าสงสารของมันก็แค่กำลังดิ้นรนก่อนตายเท่านั้น

ฟ้าดินในบ่อสายฟ้าแห่งแรก ผืนฟ้าและผืนดินเชื่อมติดกันแล้ว กลางอากาศสูงเหนือพื้นดิน ล่างหัวกำแพงเมือง คือคลื่นยักษ์ปราณกระบี่ที่สาดกระเซ็นออกมาจากสี่ด้านแปดทิศเหมือนเซียนกระบี่พร้อมใจกันเรียกกระบี่บินออกมา

จิตหยินตัวเล็กๆ

ฟ้าดินขนาดเล็กแห่งที่สองที่มีราชาสวรรค์สี่ท่านเฝ้าพิทักษ์ ร่างจริงที่ใช้สถานะของผู้ฝึกยุทธเต็มตัวออกหมัดมากกว่า เวลานี้มือทั้งสองข้างลามไปถึงหัวไหล่ของคนหนุ่มมีแต่กระดูกขาวที่โผล่ให้เห็น การที่หลีเจินบอกว่าต้องการให้เขากลายเป็นโครงกระดูก เห็นได้ชัดว่าไม่ได้เป็นถ้อยคำเพ้อเจ้อของคนปัญญาอ่อนที่นอนฝันอะไร

ในฟ้าดินขนาดเล็กแห่งที่สอง เฉินผิงอันที่เลือดท่วมไปทั้งตัวยังคงออกหมัดไม่หยุด ใช้กระบวนท่าเทพตีกลองสายฟ้าโจมตีจุดอับแห่งหนึ่งของฟ้าดินขนาดเล็ก

หมัดทั้งสองล้วนมีแต่กระดูกขาว

ทุกครั้งที่ออกหมัดและเก็บหมัดมา กระบี่บินชูอีก็จะเข้าไปแทงเสริมในจุดที่หมัดกระแทกลงไป

กระบี่บินสืออู่ที่อยู่ในฟ้าดินขนาดเล็กแห่งที่สามพลันหันปลายกระบี่มา ราวกับต้องการจะใช้ปลายกระบี่ของตัวเองดันกับปลายกระบี่ของชูอี

กระบี่บินสองเล่มดันเสียดสีกัน สิ่งกีดขวางที่สกัดกั้นฟ้าดินก็เกิดช่องโหว่เสี้ยวหนึ่ง

หมัดสุดท้ายในกระบวนท่าเทพตีกลองสายฟ้าของคนชุดเขียวจ่ายค่าตอบแทนด้วยการแขนหัก ต่อยเปิดฟ้าดิน ท่ามกลางภาพบรรยากาศที่แสงใสแวววาวเจิดจ้าพร่าตา เขาวิ่งทะยานเป็นเส้นตรง ตรงดิ่งเข้าหาบุคคลที่เป็นดั่งลูกรักที่สวรรค์ภาคภูมิใจที่สุดในใต้หล้าเปลี่ยวร้าง หลีเจิน

เพียงแต่ว่าเมื่อฝ่าฟ้าดินขนาดเล็กแห่งหนึ่งมาได้ก็ต้องมาอยู่ในฟ้าดินขนาดเล็กอีกแห่งหนึ่ง เดิมทีร่างกายควรหยุดชะงัก อีกทั้งยังบาดเจ็บสาหัส ความเร็วในการวิ่งตะบึงควรจะช้ากว่าก่อนหน้านี้จึงจะสมเหตุสมผล

แต่ปณิธานหมัดขั้นสูงสุดของบนร่างกลับไหลทะลักเหมือนน้ำตกสาดกระจาย ราวกับมีองค์เทพผู้สูงส่งเข้าสิงร่าง ทำให้การวิ่งตะบึงของเฉินผิงอันเร็วดุจสายฟ้าฟาด พริบตาเดียวก็พุ่งออกไปได้หลายสิบจั้ง เมื่อปณิธานหมัดสีทองกระแทกชนเข้ากับกระแสน้ำแห่งกาลเวลาที่กระบี่บินแห่งชะตาชีวิตของหลีเจินสร้างขึ้นมา ก็เป็นฝ่ายหลังที่ระเบิดแตกไปโดยตรง

หนิงเหยาที่อยู่บนหัวกำแพงเมืองดวงตาเป็นประกายวาว จุดที่สายตามองไปก็คือเฉินผิงอันผู้ฝึกยุทธเต็มตัวที่ยังคงสวมชุดเขียวแต่กลับไม่มีปิ่นหยกขาวอยู่แล้ว ฝืนใจตัวเองไม่ให้หันไปมองจุดที่ทัณฑ์สวรรค์บ่อสายฟ้าที่ฟ้าและดินเชื่อมโยงกัน