เมื่อได้ยินคำว่า ‘หลั่งเลือดสาบาน’ ในที่สุดสีหน้าของเฉินหว่านเอ๋อร์ก็เปลี่ยนไป
อย่างไรก็ตาม นางยังพยายามอย่างสุดความสามารถเพื่อรักษาท่าทีให้สงบนิ่งเช่นเดิมและกล่าวออกไป “น้องเถา สำหรับสิ่งที่ข้าไม่ได้ทำ ข้าไม่จำเป็นต้องหลั่งเลือดสาบานเพื่อพิสูจน์ตนเองหรอก ข้าไม่ทราบว่าเกิดอะไรขึ้นในหมู่บ้านกล้วยไม้เมฆา ในตอนนั้นข้าหมดสติไปจริง ๆ และหลังจากนั้นข้าก็รีบเดินทางกลับมาที่นิกาย ข้าคิดว่าทุกคนตายไปแล้วจึงรีบกลับมาขอความช่วยเหลือจากบรรดาผู้อาวุโส ซึ่งผู้อาวุโสทั้งหลายก็สามารถยืนยันเรื่องนี้ได้”
สำหรับการหลั่งเลือดสาบาน เฉินหว่านเอ๋อร์ไม่กล้าทำเช่นนั้นอย่างแน่นอน ต่อให้จะไม่ยอมรับความผิด นางก็เชื่อว่าฉินอวี้โม่และคนอื่น ๆ ไม่มีหลักฐานเอาผิดตน ตราบใดที่ไม่มีหลักฐานเหล่านั้น พวกนางก็ไม่สามารถแตะต้องอะไรนางได้ ต่อให้หลายคนจะเกิดความสงสัยขึ้นมา มันก็ไม่ถือเป็นเรื่องใหญ่สำหรับนาง
“เฉินหว่านเอ๋อร์ ก็แค่การหลั่งเลือดสาบาน เหตุใดจะต้องทำให้เป็นเรื่องวุ่นวายด้วยเล่า ? ตราบใดที่เจ้าไม่มีเจตนาร้ายในหัวใจ การหลั่งเลือดสาบานก็เป็นทางที่ช่วยยืนยันความบริสุทธิ์ของเจ้าได้ เหตุใดจึงต้องหาข้ออ้างมาให้มากความด้วยเล่า ?”
ฉินอวี้โม่กล่าวขึ้นและหลั่งเลือดสาบานเพื่อพิสูจน์ความบริสุทธิ์ใจเป็นคนแรกโดยบ่งชี้ว่าหากสิ่งที่พวกนางกล่าวออกไปเป็นเรื่องเท็จ พวกนางยินดีรับผลที่จะตามมาทั้งหมด
“ใช่ เฉินหว่านเอ๋อร์ ตราบใดที่เจ้าหลั่งเลือดสาบานว่าทุกอย่างที่เกิดขึ้นในหมู่บ้านกล้วยไม้เมฆาไม่เกี่ยวข้องกับเจ้าจริง มันก็ถือว่าเจ้าได้พิสูจน์ความบริสุทธิ์ของตนเอง การหลบเลี่ยงเช่นนี้มิใช่เรื่องดีหรอก อีกอย่าง…ข้าอยากรู้นักว่าศิษย์พี่ผางเลี่ยงที่ติดตามเจ้ามาตลอดหายไปที่ใดกัน ?”
เซียวหมิงอดกล่าวออกไปไม่ได้และมองเฉินหว่านเอ๋อร์ด้วยแววตารังเกียจ
ในอดีต เขาเองก็เป็นหนึ่งในผู้ที่ประทับใจในตัวเฉินหว่านเอ๋อร์เนื่องจากความอ่อนโยนและความจิตใจดีของนาง ทว่าหลังจากได้ทราบถึงธาตุแท้ของอีกฝ่าย เซียวหมิงก็แทบอดใจรอที่จะเปิดโปงนางไม่ได้ ก่อนหน้านี้เขามีดวงตามืดบอดที่หลงเชื่อละครเสแสร้งตบตาและคิดว่าอีกฝ่ายเป็นเทพธิดาในร่างมนุษย์
“ศิษย์น้องเฉินหว่านเอ๋อร์ เราเชื่อว่าเจ้าไม่ได้ทำดังที่ถูกกล่าวหา เพราะเช่นนั้นก็หลั่งเลือดสาบานไปเถอะ มันมิใช่เรื่องใหญ่อะไรหรอก”
เดิมทีบรรดาสาวกผู้ติดตามของเฉินหว่านเอ๋อร์ก็ไม่เชื่อวาจาของฉินอวี้โม่และคนอื่น ๆ แม้แต่น้อย ทว่าหลังจากเห็นปฏิกิริยาของเฉินหว่านเอ๋อร์ในตอนนี้ พวกเขาก็อดสงสัยกันไม่ได้ หากนางไม่มีความผิดจริง เหตุใดจึงไม่กล้าหลั่งเลือดสาบานเพื่อยืนยันความบริสุทธิ์ของตน ? ถึงอย่างไร การหลั่งเลือดสาบานก็เป็นเพียงเรื่องที่เรียบง่ายและไม่ได้ลำบากลำบนแต่อย่างใด
“ถูกต้อง ศิษย์พี่ ท่านหลั่งเลือดสาบานเถอะ เราจะไม่ตราหน้าท่านเพียงเพราะถูกบังคับให้หลั่งเลือดสาบานหรอก ยิ่งไปกว่านั้น ตราบใดที่มิใช่ความผิดของท่าน เราเชื่อว่าท่านผู้อาวุโสจะช่วยจัดการเรื่องที่เกิดขึ้นและไม่ปล่อยให้ท่านต้องเผชิญกับความไม่เป็นธรรมอย่างแน่นอน”
คนอื่น ๆ กล่าวขึ้นตาม ๆ กันและกดดันให้เฉินหว่านเอ๋อร์หลั่งเลือดสาบาน
อย่างไรก็ตาม นางไม่กล้าทำเช่นนั้นและยังคิดหาทางหลบเลี่ยงไปจากสถานการณ์นี้
“เฉินหว่านเอ๋อร์ เจ้าวางแผนกับคนนอกเพื่อสังหารศิษย์พี่ศิษย์น้องทั้งหลายของเจ้า รวมถึงผางเลี่ยงอย่างโหดเหี้ยม เจ้าลืมกฎของนิกายหมื่นกระบี่ไปแล้วอย่างนั้นหรือ ?”
ผู้อาวุโสฉีกล่าวด้วยสีหน้าที่จริงจัง เวลานี้เขามั่นใจแล้วว่าเฉินหว่านเอ๋อร์เป็นคนวางแผนทำเรื่องชั่วร้ายทั้งหมดนั้นจริง
นับเป็นครั้งแรกที่มีศิษย์เช่นนี้ปรากฏขึ้นมาในนิกายหมื่นกระบี่ของพวกเขา การวางแผนสังหารศิษย์ในนิกายเดียวกันเป็นสิ่งที่คนของนิกายหมื่นกระบี่มิอาจทนรับได้อย่างแท้จริง
ในที่สุดเฉินหว่านเอ๋อร์ก็มิอาจสงบนิ่งได้อีกต่อไป นางพุ่งตัวออกไปอย่างรวดเร็วด้วยหมายที่จะหนีไปจากนิกายหมื่นกระบี่ ถึงอย่างไรนางก็อยู่ที่นี่ไม่ได้อีก ทว่าด้วยระดับพรสวรรค์ที่มี นางเชื่อว่าหากเข้าร่วมกับขุมกำลังอื่น นางจะมีโอกาสได้เป็นศิษย์เอกอย่างแน่นอนและไม่จำเป็นต้องจมปลักอยู่กับนิกายหมื่นกระบี่ไปตลอดกาล
“เหอะ คิดจะหนีงั้นรึ ? ฝันไปเถอะ !”
ฉินอวี้โม่จับตาดูการเคลื่อนไหวของเฉินหว่านเอ๋อร์อยู่ตลอดเวลาและสังเกตเห็นความเคลื่อนไหวของนางได้ทันที ในเวลานี้ นางจึงพุ่งตรงออกไปขวางหน้าเฉินหว่านเอ๋อร์ไว้พร้อมกับเหวี่ยงฝ่ามือฟาดออกไป
“รนหาที่ตายเสียแล้ว !”
เฉินหว่านเอ๋อร์ก็ไม่ได้เห็นฉินอวี้โม่อยู่ในสายตานักและเหวี่ยงฝ่ามือออกไปอย่างเรียบง่ายโดยหมายที่จะผลักให้อีกฝ่ายกระเด็นออกไป
น่าเสียดายที่เมื่อฝ่ามือปะทะกัน ร่างของฉินอวี้โม่กลับไม่ขยับเขยื้อนแม้แต่น้อยในขณะที่เฉินหว่านเอ๋อร์กระเด็นออกไปและร่วงลงพื้นอย่างรุนแรง
หลังจากได้ผสานเข้ากับพลังของมหาเทพแห่งความว่างเปล่าในก่อนหน้านี้ เศษเสี้ยวของพลังเหล่านั้นก็ยังคงหลงเหลืออยู่ในร่างกายของฉินอวี้โม่ แม้ตอนนี้จะยังทะลวงพลังไม่สำเร็จ นางก็มีความแข็งแกร่งมากพอที่จะต่อกรกับคู่ต่อสู้ที่อยู่เหนือกว่าขอบเขตเทพเซียนหกดาราได้ด้วยซ้ำ นับประสาอะไรกับเฉินหว่านเอ๋อร์ที่มีพลังเพียงขอบเขตเทพเซียนสามดารา
“เฉินหว่านเอ๋อร์ หากทำผิดจริง เจ้าก็ต้องรับผลของการกระทำนั้น ในเมื่อพวกเรารอดชีวิตกลับมา คิดหรือว่าเจ้าจะหนีรอดไปได้ง่าย ๆ ?!”
นางกล่าวอย่างเย็นชา หากไม่มีไพ่ตายมากพอที่จะรับมือ พวกนางก็คงจะเสียชีวิตกันไปแล้ว เฉินหว่านเอ๋อร์ผู้นี้เป็นสตรีที่น่ารังเกียจอย่างที่สุด เป็นเพราะเห็นแก่ประโยชน์ของตนเอง นางถึงขั้นวางแผนลอบสังหารศิษย์ในนิกายเดียวกันนับสิบคน ซึ่งการกระทำเช่นนี้เป็นสิ่งที่ฉินอวี้โม่และคนอื่น ๆ มิอาจทนรับได้แม้แต่น้อย
ไม่มีทางเลยที่พวกนางจะปล่อยให้เฉินหว่านเอ๋อร์หลบหนีเอาตัวรอดไปได้ง่าย ๆ
“เจ้าคิดจะทำอะไร ?!”
สีหน้าของเฉินหว่านเอ๋อร์ในตอนนี้เหยเกจนดูอัปลักษณ์ นางไม่คาดคิดเลยว่าสถานการณ์จะกลับกลายเป็นเช่นนี้ไปได้
แม้พรสวรรค์ของฉินอวี้โม่และคนอื่น ๆ จะอยู่ในระดับที่ดี ทว่าพลังของพวกนางก็ยังถือว่าอ่อนแอและไม่ควรจะต่อกรกับคู่อสูรวายุทมิฬและคนของประตูเร้นลับได้ นางมั่นใจว่าเตรียมการทุกอย่างไว้เป็นอย่างดีแล้ว แต่คาดไม่ถึงเลยว่าคนเหล่านี้จะรอดชีวิตกลับมาที่นิกายหมื่นกระบี่ได้และบีบไล่ต้อนนางจนตกอยู่ในสถานการณ์ที่อับจนหนทางเช่นนี้
“ท่านผู้อาวุโสทั้งหลาย เฉินหว่านเอ๋อร์อยู่ในหอชั้นนอกของนิกายหมื่นกระบี่มานานและใช้ทรัพยากรของเราไปมาก ข้าจะทำลายรากฐานพลังของนางก่อน ท่านทั้งหลายคงไม่คัดค้านใช่รึไม่เจ้าคะ ?”
ฉินอวี้โม่หันไปกล่าวกับผู้อาวุโสของหอชั้นนอก นางทราบดีว่าหนึ่งในนั้นเคยเป็นอาจารย์ของเฉินหว่านเอ๋อร์และให้ความสำคัญกับศิษย์ผู้นี้มาก
“เหอะ มันก็สมควรเป็นเช่นนั้น !”
ผู้อาวุโสรองของหอชั้นนอกผู้ซึ่งเคยให้ความสำคัญกับเฉินหว่านเอ๋อร์เป็นอย่างมากแค่นเสียงอย่างเย็นชา ต่อให้ฉินอวี้โม่จะไม่กล่าวออกมา เขาก็คิดที่จะทำลายรากฐานพลังของเฉินหว่านเอ๋อร์ด้วยตัวเอง
ศิษย์ของนิกายหมื่นกระบี่สามารถแข่งขันและดวลฝีมือกันได้อย่างเปิดเผย รวมถึงสามารถมีความคิดเป็นของตนเอง ทว่าไม่มีผู้ใดมีสิทธิ์ทำสิ่งชั่วร้ายเช่นนั้น ก่อนหน้านี้ เขาทราบว่าศิษย์ของตนสร้างความวุ่นวายในหอชั้นนอก ทว่าตราบใดที่ไม่มีพิษภัยและไม่ก่อให้เกิดสถานการณ์ที่ร้ายแรงเกินไป เขาก็ไม่สนใจที่จะเข้าไปยุ่งเกี่ยว
อย่างไรก็ตาม ครานี้สิ่งที่เฉินหว่านเอ๋อร์กระทำลงไปเป็นสิ่งที่เกินรับได้อย่างแท้จริง
“เจ้ากล้างั้นรึ ?!”
สีหน้าของเฉินหว่านเอ๋อร์เปลี่ยนไปอีกครั้งและตรงเข้าโจมตีฉินอวี้โม่ทันที
น่าเสียดายที่นางไม่มีโอกาสเอาชนะฉินอวี้โม่แม้แต่น้อยและไร้ซึ่งพลังในการต่อสู้กับอีกฝ่าย
ในเวลานี้ เหลิ่งซวงเสวี่ย เถียนซินและคนอื่น ๆ ก็ก้าวออกไปข้างหน้าและรวมพลังกันเพื่อขัดขวางเฉินหว่านเอ๋อร์ไว้ส่งผลให้นางขยับเขยื้อนไม่ได้อีก
“เฉินหว่านเอ๋อร์ คนอย่างเจ้าช่างน่าขยะแขยงจริง ๆ”
เถียนซินฟาดฝ่ามือเข้าไปที่เฉินหว่านเอ๋อร์อย่างแรงและต่อว่าตำหนิด้วยน้ำเสียงที่รังเกียจเดียดฉันท์
“เถียนซิน เจ้าจะเร็วเกินไปแล้ว”
สวีเยว่แทบพูดไม่ออก นางเองก็ต้องการตบสั่งสอนเฉินหว่านเอ๋อร์เช่นกัน ทว่าการเคลื่อนไหวของนางก็ไม่เร็วเท่ากับเถียนซิน
“อวี้โม่ จัดการเลย”
นางหันไปพยักศีรษะเพื่อส่งสัญญาณให้ฉินอวี้โม่เริ่มลงมือ
ฉินอวี้โม่ไม่ลังเลและทำลายจุดตันเถียนของเฉินหว่านเอ๋อร์ทันที หลังจากนี้ เฉินหว่านเอ๋อร์จะไม่สามารถฝึกยุทธ์ได้อีกและกลายเป็นเพียงสตรีธรรมดาที่ไร้ซึ่งพลัง
“กรี๊ดดดด !”
เฉินหว่านเอ๋อร์แผดเสียงร้องแหลมในสภาพที่ดูน่าเวทนายิ่งนัก เพียงแต่ในตอนนี้ไม่มีผู้ใดสงสารหรือเห็นใจนางอีกต่อไป พวกเขาเชื่อว่านางได้รับผลกรรมที่ก่อไว้และควรลงเอยในสภาพเช่นนี้
“เฉินหว่านเอ๋อร์ละเมิดกฎระเบียบของนิกายหมื่นกระบี่และจะถูกขับไล่ออกจากนิกายนับตั้งแต่นี้ไป นางจะไม่มีสิทธิ์ก้าวเข้ามาเหยียบในอาณาเขตของนิกายหมื่นกระบี่อีกแม้แต่เพียงก้าวเดียว”
ผู้อาวุโสของหอชั้นนอกป่าวประกาศคำตัดสินใจของพวกเขาโดยที่ไม่แสดงความปรานีแม้แต่น้อย
“ท่านผู้อาวุโสทั้งหลาย ที่เหลือปล่อยให้เป็นหน้าที่ของพวกเราเถอะเจ้าค่ะ”
ฉินอวี้โม่กล่าวก่อนยกตัวเฉินหว่านเอ๋อร์ขึ้นมาและมุ่งหน้าออกจากนิกายหมื่นกระบี่ไปทันที
“เฉินหว่านเอ๋อร์ หลังจากนี้เจ้าจะได้เพลิดเพลินกับบทลงโทษของคนจากประตูเร้นลับ !”
นางกระซิบข้างหูเฉินหว่านเอ๋อร์เบา ๆ ทว่านั่นทำให้อีกฝ่ายตกใจจนแทบเป็นลม