เมื่อคำพูดนี้ของหลินสวินดังออกมา ทำให้สีหน้าของพวกหวังจื่ออิงดูย่ำแย่อย่างที่สุดขึ้นมาทันที

“น่าขัน คิดว่าพวกข้าจะกลัวเจ้าจริงๆ หรือ”

พลันมีคนอดไม่อยู่ ตวาดออกมาอย่างดุดัน

รังแกกันเกินไปแล้ว พวกเขาตัดสินใจจะถอนตัว ไม่ยุ่งเกี่ยวเรื่องนี้แล้วแท้ๆ แต่เทพมารหลินกลับยังไม่ยอมเลิกรา เห็นพวกเขาเป็นอะไร

ในฐานะผู้แข็งแกร่งที่ก้าวสู่ระดับมกุฎราชัน แต่ละคนล้วนเย่อหยิ่งอย่างที่สุด!

ชิ้ง!

หลินสวินไม่พูดไม่จา มีเพียงดาบหักที่โฉบออกมา

กระบวนเฉือนนภาสงัด!

เสียงพรูดหนึ่งดังขึ้น คนที่ส่งเสียงตวาดจากไกลๆ นั่นยังไม่ทันตอบสนอง ศีรษะของเขาก็ร่วงหล่นลง เลือดสดๆ ไหลพุ่ง

พวกหวังจื่ออิงสูดหายใจหนาวเยือก มือเท้าเย็นเยียบ

พวกเขาเพิ่งจะตระหนักได้ถึงเรื่องหนึ่ง จากเรื่องราวในอดีตของเทพมารหลิน เจ้าหมอนี่เป็นอันธพาลที่ไม่เกรงกลัวฟ้าดินคนหนึ่ง!

ภาพที่อยู่ตรงหน้านี้ก็ได้ยืนยันเรื่องนี้แล้ว

มกุฎราชันคนหนึ่ง กลับถูกตัดศีรษะในชั่วพริบตา!

“ข้าไม่อยากพูดจาไร้สาระอีก เพื่อเป็นการลงโทษ ส่งโอสถเทพมาคนละต้น พวกเจ้าก็จากไปได้”

เสียงของหลินสวินราบเรียบ

นี่คือตำหนักนรกเทพ เป้าหมายอย่างหินไตรภพใหญ่เกินไป ยิ่งยื้อเวลาไปนานเท่าไหร่ก็ยิ่งดึงดูดความละโมบของผู้แข็งแกร่งมากเท่านั้น

ในลานเงียบกริบ พวกหวังจื่ออิงแค้นจนกัดฟันกรอด เจ้าหมอนี่เห็นโอสถเทพเป็นผักเน่าไร้มูลค่าหรือไร

แต่พอสบสายตาเย็นเยียบของหลินสวิน แม้ในใจพวกเขาจะเดือดดาลและอับอาย แต่สุดท้ายก็เลือกจะก้มหัว

เถาวัลย์เทพสุริยน

ดอกเก้าจักราแปรเทพ

ผลม่วงเขียวยอดปีก

หญ้าดาราเงินเทพอรหันต์

…โอสถเทพทั้งหมดสี่ต้น มูลค่าไม่อาจประเมิน

สำหรับหลินสวิน คุณลักษณะของโอสถเทพเหล่านี้นับว่าอยู่ในระดับกลางและต่ำเท่านั้น แม้แต่ต้นที่สู้บัวเทพสองลักษณ์ได้ยังไม่มีสักต้นเดียว

ทว่าเห็นพวกเขาก้มหัวให้ความร่วมมือ หลินสวินเองก็ไม่คิดจะเอาความต่อ สะบัดมือสั่งให้พวกเขาจากไปราวกับไล่แมลงวัน

ก่อนไปพวกหวังจื่ออิงล้วนทั้งโกรธและแค้นเต็มอก สีหน้าย่ำแย่กันถ้วนหน้า แต่สถานการณ์ไม่เป็นใจ พวกเขาจึงทำได้แค่อดทน

คำพูดรุนแรงสักคำยังไม่กล้าพูด กลัวแต่ว่าหลินสวินจะเล่นงานพวกเขาอีก

หลินสวินเองก็รู้ดีว่าคนพวกนี้เจ็บแค้นตนเข้าแล้ว หากมีโอกาสจะต้องแก้แค้นกลับแน่

ทว่าเขากลับไม่สนใจ

ด้วยพลังต่อสู้ของเขาในตอนนี้ เดิมก็ไม่ได้กลัวว่าคู่ต่อสู้ที่ไม่เข้าตาเหล่านี้จะแค้นใจ

เหยี่ยวจะสนใจความแค้นใจของมดตัวหนึ่งด้วยหรือ

ย่อมไม่!

เรื่องเล็กๆ ที่แทรกมานี้ ถึงขั้นไม่สามารถสร้างแรงกระเทือนต่อจิตใจหลินสวินได้

เขาเคลื่อนสายตาไปมองคัมภีร์โบราณบนหินไตรภพ

มองใกล้ๆ ยิ่งสามารถสัมผัสได้ถึงความแปลกประหลาดลึกลับของคัมภีร์นี้ ตัวอักษรของมันคดเคี้ยวราวกับไส้เดือน แผ่กระจายแสงมรรค

ที่แปลกที่สุดคือ ตัวอักษรหนาแน่นราวกับสิ่งมีชีวิตกำลังกลิ้งหมุนและพลิกตัวไปมา

ผู้ฝึกปราณทั่วไปเห็นเข้าจะต้องมึนงง เพราะคัมภีร์นี้แม้จะแปลกพิสดารแต่กลับคลุมเครืออย่างที่สุด ไม่สามารถหยั่งรู้นัยอัศจรรย์อะไรได้

ถึงขั้นที่ฝืนจำยังไม่ได้ เพราะตัวอักษรของคัมภีร์โบราณเล่มนี้เปลี่ยนแปลงและหมุนเวียนอยู่ตลอดเวลา!

‘มิน่าถึงมีแค่พวกถานไถหลิ่วแย่งคัมภีร์โบราณกันอยู่ที่นี่ คิดว่าหวังเสวียนอวี๋เองก็คงตระหนักได้ว่า คัมภีร์นี้แม้จะมหัศจรรย์แต่กลับไม่สามารถแย่งชิงและจดจำไปได้ หมายจะแก้และเข้าถึงความเร้นลับของมันจะต้องเสียเวลามากอย่างแน่นอน’

ในใจหลินสวินตระหนักได้

โลกใบเล็กในตำหนักนรกเทพนี่ เห็นได้ชัดว่าวาสนาไม่ได้มีแค่ที่เดียว บุคคลอย่างหวังเสวียนอวี๋ย่อมไม่มีทางเสียแรงและเวลาทั้งหมดที่นี่

ทว่า…

ยามนี้มุมปากของหลินสวินกลับเผยรอยยิ้มเสี้ยวหนึ่ง

เพราะเขารู้วิธีหยั่งรู้คัมภีร์นี้พอดี!

ฮูม…

พลังจิตรับรู้อันยิ่งใหญ่แผ่ออก แทรกเข้าไปในภาพคัมภีร์โบราณหินสลักราวกับมือนับหมื่นพัน

ตัวอักษรแต่ละบรรทัดที่อัดแน่นคดเคี้ยวราวกับไส้เดือนบิดตัว พลิกหมุนวนเวียนไปในแต่ละทิศทาง ซับซ้อนและยุ่งเหยิงอย่างที่สุด ชวนให้คนปวดหัวมากจริงๆ

ตอนที่จิตรับรู้หมายจะจับตัวอักษรเหล่านี้ พวกมันก็จะพริบไหวหายไป พาให้คนร้อนรน

ทว่าหลินสวินไม่ได้สนใจเรื่องพวกนี้

ในจิตรับรู้ของเขา ตัวอักษรเหล่านี้ก็เหมือนกับสัญลักษณ์รอยสลักวิญญาณแต่ละตัว แม้จะเปลี่ยนแปลงอย่างไม่มีที่สิ้นสุด ไร้ร่องรอยที่สามารถติดตามได้ แต่เพียงแค่จัดเรียงมันทีละบรรทัดและจัดกลุ่มใหม่ ก็จะสามารถจับและสรุปรวบยอดได้แล้ว!

หากเพียงเท่านี้ ผู้ฝึกปราณคนอื่นๆ ก็สามารถทำได้

สิ่งที่ยากคือทุกตัวอักษรโบราณล้วนแสดงถึงความหมายแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง หากไม่เข้าใจนัยเร้นลับของมัน ก็ไม่มีทางจัดเรียงและจัดกลุ่มพวกมันให้เป็นคัมภีร์โบราณหน้าหนึ่งได้

เพียงแต่สิ่งเหล่านี้ล้วนไม่เกินความสามารถหลินสวิน

วู้ม!

ครู่ต่อมา เขาพลันใช้จิตรับรู้เป็นพู่กัน วาดเบาๆ คราหนึ่งบนคัมภีร์โบราณหินสลัก ปรากฏรอยวิถีที่อ่อนช้อยเบาบางสายหนึ่ง

จากนั้นภาพที่น่าตกใจปรากฏขึ้น พวกตัวอักษรโบราณที่เดิมโลดแล่นอยู่ในภาพสลักหินราวกับถูกชักนำ เริ่มขยับเข้าหาวิถีที่หลินสวินวาดขึ้น

ทั้งเหมือนฝูงปลาที่เจอเหยื่อ เริ่มรวมตัวกัน

จิตรับรู้ของหลินสวินขยับไหวไม่หยุด อักษรโบราณที่รวมตัวเข้ามาก็มากขึ้นเรื่อยๆ

จนกระทั่งตอนหลัง อักษรโบราณที่เบียดเสียดหนาแน่นยังเริ่มเคลื่อนและบินหมุนไปบนรอยวิถีที่หลินสวินวาด

และตอนนี้เอง จิตรับรู้ที่ราวกับปลายพู่กันของหลินสวินก็หยุดนิ่งโดยพลัน!

วู้ม!

เสียงกึกก้องแปลกประหลาดดังขึ้นจากในภาพหินสลัก พลันเห็นอักษรโบราณที่ราวกับไส้เดือนจำนวนนับไม่ถ้วนกระโดดออกจากภาพนั่น พุ่งเข้าห้วงนิมิตไปตามพลังจิตรับรู้ของหลินสวิน…

ตูม!

ชั่วพริบตาในห้วงนิมิตของหลินสวินสะเทือนอย่างรุนแรง ถูกอักษรโบราณแบบต่างๆ เข้ามาแทนที่จนเต็ม พวกมันรวมตัวกันไม่หยุด เปล่งแสงไม่ขาดสาย

สุดท้ายแปรเปลี่ยนเป็นคัมภีร์โบราณที่งดงามเล่มหนึ่ง!

หลินสวินถอนหายใจยาวทันที

ปีนั้นยามเข้าสู่ประตูสวรรค์ครั้งแรก ตอนที่ทะลวงด่านแรกของทางเดินเมฆาหยก เขาก็เคยเจอการทดสอบเช่นนี้แล้ว

นั่นเป็นรอยสลักเวทเรืองแสงภาพหนึ่ง ว่ากันถึงแก่นแล้ว ความจริงก็เป็นวิชายุทธ์วิชาหนึ่ง

เพียงแต่ถูกคนใช้วิธีการสลักรอยวิญญาณ หลอมรวมนัยเร้นลับของวิชายุทธ์เข้าไปในทุกร่องรอยและวิถีของรอยสลักวิญญาณก็เท่านั้น!

ภาพหินสลักที่อยู่ตรงหน้า เหมือนรอยสลักเวทเรืองแสงไม่มีผิดเพี้ยน ย่อมไม่เกินความสามารถหลินสวิน

หืม?

เพียงแต่ไม่นานหลินสวินก็หวั่นไหว อึ้งงันเล็กน้อย

เพราะคัมภีร์เล่มนี้มีชื่อว่า ‘เคล็ดมหาเวทบริกรรม!’

ปีนั้นวิชายุทธ์ที่เขาได้มาจากรอยสลักเวทเรืองแสงมีชื่อเรียกว่า ‘เคล็ดเวทบริกรรม’!

‘มิน่าวิธีการหยั่งรู้ถึงคล้ายกันเพียงนี้ ที่แท้ภายในก็มีการตอบสนองและความเชื่อมโยงเช่นนี้ซ่อนอยู่…’

หลินสวินสัมผัสได้ว่านี่ไม่ใช่เรื่องบังเอิญ

ที่บังเอิญจริงๆ คือ เดิมทีเขาคิดไม่ถึงว่าจะได้รับ ‘เคล็ดมหาเวทบริกรรม’ ในตำหนักนรกเทพแห่งนี้!

“ทางนี้!”

ห่างออกไปเสียงทะลวงอากาศดังขึ้นระลอกหนึ่ง ทำให้หลินสวินได้สติหลุดจากภวังค์ความคิด

เขาไม่อาจคิดมากความ พลันโฉบพุ่งห่างออกไป

หลินสวินจากไปได้ไม่นาน เงาร่างของผู้แข็งแกร่งกลุ่มหนึ่งก็ปรากฏขึ้น

“เร็ว ภาพคัมภีร์โบราณเล่มนั้นอยู่บนหินไตรภพนั่น!”

“ที่นี่ไม่มีคนงั้นหรือ”

ผู้ฝึกปราณที่พุ่งมาเหล่านี้ต่างประหลาดใจ จากนั้นดีใจกันยกใหญ่ รีบพุ่งขึ้นหินไตรภพแทบไม่ทัน

เพียงแต่ครู่ต่อมาพวกเขาล้วนงงงัน

ด้วยเพราะที่นี่ว่างเปล่า คัมภีร์โบราณสลักหินที่ลึกลับและแปลกประหลาดอย่างที่สุดนั่น ไม่รู้ถูกใครช่วงชิงไปตั้งแต่เมื่อไหร่!

ทันใดนั้นความดีใจล้นอกของผู้แข็งแกร่งเหล่านี้ก็หายวับไป

……

‘เฉือนจิตวิญญาณใช้หลอมลักษณ์เทพไตรภพหรือ’

ระหว่างทางหลินสวินหยั่งสัมผัสคร่าวๆ ก็เข้าใจถึงความเร้นลับของเคล็ดมหาเวทบริกรรม ว่านี่เป็นมรดกที่เฉือนจิตวิญญาณแห่งตนเพื่อหลอมลักษณ์เทพไตรภพอย่างหนึ่ง!

ไตรภพคืออะไร

ภพที่แล้ว ภพนี้และภพหน้า!

หรือก็คืออดีต ปัจจุบันและอนาคต

ส่วนวิชาลับเคล็ดมหาเวทบริกรรม ก็คือการแบ่งพลังจิตของผู้ฝึกปราณเป็นสามส่วน แปรเปลี่ยนเป็นสามพลังจิต แบ่งไปฝึกวิชาลับที่แสดงถึงอดีต ปัจจุบันและอนาคต!

ถ้าเป็นเมื่อก่อนหลินสวินจะต้องสับสนแน่

ถึงอย่างไรพลังจิตก็ถือเป็นรากฐานของราชันอมตะ ได้รับความเสียหายเพียงนิดก็เป็นไปได้ที่จะกระทบต่อมรรควิถีของตน

ยิ่งไม่ต้องพูดถึงการเฉือนพลังจิตแล้วแปลงจากหนึ่งเป็นสาม

นี่ไม่ต่างอะไรกับการทำร้ายตัวเอง

แต่สำหรับหลินสวินที่พลังจิตวิญญาณบรรลุถึงขั้นที่สองของระดับดอกเทพรวมยอดแล้ว เคล็ดมหาเวทบริกรรมนี่กลับเรียกได้ว่าเป็นความสำเร็จชั้นยอดเป็นประวัติการณ์ อัศจรรย์เร้นลับไร้เทียมทาน!

เพราะระดับดอกเทพรวมยอดแบ่งออกเป็นสามขั้น อดีต ปัจจุบัน และอนาคต

การฝึกทุกขั้น ในจิตวิญญาณก็จะควบรวมเป็นดอกเทพมหามรรค แสดงถึงแก่นอัศจรรย์แห่งไตรภพ

จากมุมมองดังกล่าว การฝึกฝนของเคล็ดมหาเวทบริกรรม ก็คือการแบ่งพลังจิตเป็นสามส่วน ให้พลังจิตที่แตกต่างกันสามดวงไปหยั่งรู้ขั้นที่ต่างกัน!

มหัศจรรย์ มหัศจรรย์จริงๆ!

ในใจหลินสวินตกตะลึงอย่างที่สุด ตระหนักได้ว่าเคล็ดมหาเวทบริกรรมนี่จะต้องเป็นมรดกไร้เทียมทานที่เหลือเชื่ออย่างแน่นอน

หากฝึกสำเร็จจริงๆ มีความเป็นไปได้สูงมากที่จะทำให้มรรคาอมตะของตนไปได้ไกลยิ่งกว่า!

เพราะจิตวิญญาณดุจโคมไฟ แก่นแท้เกี่ยวข้องกับความลับแห่งอมตะ!

หากไม่ได้อยู่ในตำหนักนรกเทพแห่งนี้ หลินสวินถึงขั้นมีความคิดวู่วามที่จะไปฝึกคัมภีร์นี้แล้ว

“หาเจอแล้ว…”

ไม่นานหลินสวินก็มาถึงหน้าแม่น้ำโลหิตผืนหนึ่ง

นี่คือแม่น้ำโลหิตที่แท้จริง สายน้ำสีเลือดไหลเชี่ยวพลิกตลบ ยิ่งใหญ่อลังการ ไม่รู้ว่าเริ่มต้นและสิ้นสุดลงตรงไหน ราวกับไม่มีที่สิ้นสุด

ทันทีที่ไปถึงก็มีคลื่นความกดดันที่ชวนให้หยุดหายใจตีหน้าเข้ามา ปกคลุมฟ้าดินฝั่งนี้

ด้วยศักยภาพของหลินสวิน ร่างกายยังแข็งแกร็งขึ้นมาทั้งตัว จิตใจเคร่งเครียดจริงจัง

มองไปอย่างละเอียด ในท้องฟ้าเหนือฝั่งแม่น้ำโลหิตมีเมฆโลหิตมากมายรวมตัว กลางพยับเมฆหมอกมีแท่นบูชาสีแดงที่ยิ่งใหญ่สง่างามอย่างที่สุดตั้งตระหง่านอยู่!

น่าเสียดาย แม่น้ำโลหิตสายหนึ่งกั้นขวางอยู่ แม้จะสัมผัสด้วยจิตรับรู้ก็ดูความเท็จจริงอะไรไม่ออก ที่ตรงนั้นปกคลุมไปด้วยกลิ่นอายศักดิ์สิทธิ์ที่น่ากลัว กั้นการสำรวจของจิตรับรู้!

และเป็นที่นี่ ที่หลินสวินสัมผัสได้ถึงกลิ่นอายของ ‘ถานไถหลิ่ว’

ก่อนหน้านี้ตอนที่เขาโจมตีอีกฝ่ายจนพ่ายแพ้ ได้ประทับตราของตนบนร่างอีกฝ่ายอย่างไร้ร่องรอยแล้ว

ตอนนี้เพียงแต่มาถึงที่แห่งนี้ตามร่องรอยเท่านั้น

‘ดูเหมือนว่า พวกหวังเสวียนอวี๋จะอยู่บนฝั่งแม่น้ำโลหิตแห่งนี้แล้ว…’

ดวงตาดำของหลินสวินพริบไหว

ซ่า…

ในแม่น้ำโลหิตจู่ๆ ก็ปรากฏเรือเล็กสีดำลำหนึ่ง ฝีพายโครงกระดูกร่างหนึ่งถือไม้พายกระดูกขาวพายเรือเข้ามา

เห็นภาพอันคุ้นเคยนี้ หลินสวินอดอึ้งงันไม่ได้

หรือทะเลสาบโลหิตที่พวกเขาเห็นก่อนหน้านี้ เชื่อมต่อกับแม่น้ำโลหิตที่อยู่ตรงหน้า?

หลินสวินพินิจอย่างละเอียดอีกรอบ พบว่าจำไม่ผิด นี่ก็คือเรือเล็กสีดำและฝีพายโครงกระดูกที่เขาเคยเห็นก่อนหน้านี้!

สวบๆๆ

พอเรือเล็กสีดำปรากฏ บริเวณอื่นๆ บนฝั่งแม่น้ำโลหิตแห่งนี้พลันมีเงาร่างของผู้แข็งแกร่งมากมายโฉบพุ่งออกมาติดๆ กัน ต่างมารวมตัวกันทางนี้

“เร็วเข้า เรือนรกมาแล้ว!”

มีคนตะโกน

“ครั้งนี้ขืนยังชิงโอกาสขึ้นเรือไม่ได้ ศุภโชคพลิกฟ้าบนฝั่งตรงข้ามจะต้องถูกผู้แข็งแกร่งที่ข้ามฝั่งไปก่อนชิงไปหมดแน่!”

ผู้แข็งแกร่งเหล่านี้เห็นได้ชัดว่ารอมานานแล้ว พอเห็นเรือเล็กสีดำลำนี้ปรากฏออกมา ต่างเผยสีหน้าอดทนรอไม่ไหว

เห็นได้ชัดว่าหากหมายจะข้ามแม่น้ำสายนี้ จะต้องนั่งเรือเล็กสีดำลำนั้น!

…………….