เมื่อมองหินดำที่อยู่ในมือ หวังจือเช่อรู้สึกละอายใจ
หินดำก้อนนี้เดิมทีเป็นของเขา
หลังจากนั้นเฉินฉางเซิงนำมันออกมาจากกำแพงของหอหลิงเยียน
ย้อนกลับไป หวังจือเช่อได้ออกกลอุบายขึ้นมาในหอหลิงเยียน โดยความตั้งใจที่จะเยาะเย้ยจักรพรรดิไท่จง
เขาคิดไม่ถึงว่าเมื่อเวลาล่วงเลยไปหลายปี จะมีคนล่วงรู้ความลับนี้ และนำหินดำก้อนนี้ออกมาอีก
หลังจากนั้นเพียงชั่วข้ามคืน ชื่อเสียงของเฉินฉางเซิงก็สั่นสะเทือนไปทั่วทั้งเมืองหลวง
ทุกคนล้วนกล่าวว่าเฉินฉางเซิงเหมือนเขามาก ไม่ว่าจะเป็นพรสวรรค์หรือนิสัยเฉพาะตัว ความกล้าในการเผชิญหน้า
เฉินฉางเซิงได้รับของที่เขาซ่อนไว้ในหอหลิงเยียน หรือมองอีกมุมก็คือผู้สืบทอดของเขานั่นเอง
ด้วยเหตุผลเหล่านี้หวังจือเช่อจึงชื่นชมในตัวเฉินฉางเซิงมาโดยตลอด
ดังนั้นเขาจึงได้ปรากฏตัวขึ้นที่ภูเขาหานซาน และปกป้องเฉินฉางเซิงเอาไว้จากเงื้อมมือของราชามาร
เขามายังเมืองหลวงเพื่อจะโน้มน้าวสวีโหย่วหรง และแสดงเจตนาดีต่อเฉินฉางเซิงด้วย
เมื่อเขารับหินดำที่ถูกโยนมาจากเฉินฉางเซิง เขาถึงได้รู้ว่าเรื่องที่ตนทำเหล่านี้ไม่มีความจำเป็นเลย
เฉินฉางเซิงได้เตรียมการไว้แล้ว เพื่อพร้อมที่จะต่อสู้กับอาจารย์ของเขา
เขาเลือกสนามรบที่เหมาะสมที่สุด
นั่นคือก็สถานที่ที่หินดำมุ่งหน้าไปนั่นเอง
……
……
เมื่อหวังจือเช่อมองไปยังหินดำก้อนนั้น มังกรดำก็มองมาที่เขาด้วยแววตาที่เต็มไปด้วยความโกรธแค้น
หลายร้อยปีที่ถูกกักขังคงสามารถจินตนาการได้ว่าความโกรธแค้นนั้นจะลึกซึ้งมากมายเพียงใด
เมื่อนางเห็นเฉินฉางเซิงโยนหินดำก้อนนั้นให้แก่หวังจือเช่อ นางยิ่งโกรธกว่าเดิม นางครางเสียง “หึ” ในลำคออย่างไม่พอใจ
หวังจือเช่อมิสนใจ เขามองไปยังซางสิงโจวและเฉินฉางเซิงก่อนเอ่ยว่า “โปรดรักษาตนด้วย”
สีหน้าของซางสิงโจวเฉยชา มิได้ตอบอันใด
เฉินฉางเซิงแสดงคารวะตอบอย่างสงบนิ่ง ก่อนจะพยักหน้าส่งสัญญาณไปยังมังกรดำ
ลมเหมันต์พัดแรง หิมะเริงระบำ มังกรดำจากสำนักฝึกหลวงไปแล้ว
ซางสิงโจวมองสบตาเฉินฉางเซิง
ไม่มีลมแต่เกิดคลื่นขึ้น แผ่นน้ำแข็งบนผิวทะเลสาบแตกเป็นรอยร้าย กลายเป็นไอเย็น
น้ำในทะเลสาบซัดเป็นเกลียวคลื่น แรกเริ่มอ่อนโยนราวคำจา ต่อมาบ้าคลั่งดั่งโกรธา กระทบฝั่งม้วนตัวเอาเกล็ดหิมะไป
ฟองคลื่นแหวกอากาศขึ้น เกิดเป็นหยดน้ำนับไม่ถ้วนราวพายุฝน
เฉินฉางเซิงมองไปยังซางสิงโจว
สายตาของอาจารย์และศิษย์ทั้งสองสอดประสาน
เกิดเสียงอื้ออึงดังสนั่น
ไม่ว่าจะเป็นเกล็ดหิมะที่เริงระบำ หมอกหนาวเย็นที่เกิดจากธารน้ำแข็งแตกละเอียด รวมทั้งพายุฝนที่เกิดจากการสาดซัดของน้ำในทะเลสาบ ล้วนกลายเป็นควันสีเขียว
ควันสีเขียวนับไม่ถ้วนที่ไหลนองไปทั่วพื้นผิวทะเลสาบ พร้อมแสงจากท้องฟ้าที่ตกกระทบ เกิดเป็นภาพที่สวยงาม เหนือจินตนาการ ระหว่างนั้นมีสายรุ้งปรากฏขึ้นชั่วครู่แล้วก็ดับไป
หมอกน้ำ หมอกควันและภัสมธุลี ค่อย ๆ หายไป ร่างของเฉินฉางเซิงและซางสิงโจวหายไปแล้ว
หวังจือเช่อเดินมาใต้ต้นมะเดื่อ มองไปยังปลายรุ้งที่อยู่ห่างไกลออกไปอย่างเงียบ ๆ
สำนักฝึกหลวงแท้จริงแล้วคือสนามรบที่เหมาะสมที่สุดสำหรับอาจารย์และลูกศิษย์คู่นี้
แต่สถานที่ที่การต่อสู้เริ่มต้นขึ้นจริง ๆ คือสวนโจว
……
……
สวนโจว เป็นเสมือนโลกใบเล็กใบหนึ่งที่มีกฎเกณฑ์พิเศษเป็นอย่างมาก
ขอบเขตสูงสุดของขั้นเทพศักดิ์สิทธิ์ที่สวนโจวสามารถรองรับได้นั้นขึ้นอยู่กับขั้นเทพศักดิ์สิทธิ์ของเจ้าของสวนโจวเอง
ยามเมื่อโจวตู๋ฟูยังมีชีวิตอยู่พลังขั้นเทพศักดิ์สิทธิ์ของเขานั้นทรงพลังอย่างยากจะหาใดเทียบได้ ขั้นเทพศักดิ์สิทธิ์ที่สวนโจวสามารถรองรับได้นั้น สามารถเรียกได้ว่าไม่มีขีดจำกัด
ไม่ว่าจะเป็นราชามารมังกรยักษ์ผู้ยิ่งใหญ่ลึกลับในอดีต หรือเด็กหนุ่มเฉินเสวียนป้าผู้มีอำนาจที่ยโสโอหังนั้น ผู้แข็งแกร่งที่สุดแห่งยุคเหล่านั้นที่อยู่เบื้องหลัง ล้วนสามารถเข้าสู่สวนโจวได้ และยังสามารถแสดงพลังอำนาจที่สูงสุดของตนภายในนั้นได้ หากจะว่ากัน นี่ก็เป็นการพิสูจน์อย่างอ้อม ๆ แล้วว่า พลังอำนาจขั้นเทพศักดิ์สิทธิ์ของผู้แข็งแกร่งเหล่านี้ไม่อาจเหนือกว่าโจวตู๋ฟูไปได้ อย่างมากที่สุดก็เพียงเทียบเท่ากัน
หลังจากโจวตู๋ฟูสิ้นแล้ว สวนโจวไร้ซึ่งผู้ครอบครอง แน่นอนว่ากฎเกณฑ์ย่อมต้องเปลี่ยนไปด้วย โดยอนุญาตเพียงผู้บำเพ็ญพรตขั้นทะลวงอเวจีเท่านั้นที่จะเข้าไปได้ ไม่เช่นนั้นก็จะเจอเข้ากับค่ายกลกักกัน หรืออาจทำให้สวนโจวพังทลายเลยก็ได้
ยามนี้สวนโจวอยู่ในเงื้อมมือของเฉินฉางเซิง ขอบเขตสูงสุดของขั้นเทพศักดิ์สิทธิ์ที่สามารถรองรับได้คืนสู่สภาพเดิม และเขาได้มาถึงจุดสูงสุดของขั้นรวบรวมเทพดวงดาวแล้ว
หลายปีมานี้ไม่ว่าจะเผชิญหน้ากับราชามารที่เมืองหานซานและเทือกเขาหิมะ หรือเผชิญหน้าผู้แข็งแกร่งแห่งดินแดนศักดิ์สิทธิ์ เฉินฉางเซิงก็ยังคงไม่เคยทดลองใช้สวนโจวในการกักขังอีกฝ่าย นอกจากกังวลผู้แข็งแกร่งแห่งดินแดนศักดิ์สิทธิ์เหล่านี้ในเรื่องการควบคุมกฎของพื้นที่ว่าง เหตุผลยิ่งกว่านั้นก็คือกังวลว่าสวนโจวจะพังทลาย
เช่นเดียวกับคราที่มหาวิหคบรรพกาลปีกทองได้ปรากฏบนโลกในตอนแรก และค่ายกลหมื่นกระบี่เป็นมังกรนั้น
สถานการณ์ในวันนี้แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง
นี่คือการท้าประลอง
ซางสิงโจวเห็นด้วยที่จะเข้าสู่สวนโจว ถือเป็นการยอมรับในเงื่อนไขนี้
เขาลดมรรคาขั้นเทพ ศักดิ์สิทธิ์ลงมาอยู่ภายใต้ดินแดนศักดิ์สิทธิ์
เมื่อเป็นเช่นนี้เขาก็จะไม่ต้องรับการโจมตีจากกฎเกณฑ์ของสวนโจว สวนโจวเองก็จะไม่มีอันตรายจากการพังทลาย
ที่สำคัญไปกว่านั้นคือขั้นเทพศักดิ์สิทธิ์ของทั้งอาจารย์และศิษย์ก็จะถูกดึงให้อยูในระดับเดียวกัน
ทั้งสองนั้นวัดกันที่วิถีพรตและความสามารถในการรบ รวมถึงความเฉลียวฉลาดด้วย
นี่คือการต่อสู้ที่ยุติธรรมที่สุดฉากหนึ่ง
……
……
ผู้ที่สัมผัสได้ถึงความบิดเบี้ยวภายในสำนักฝึกหลวงก่อนก็คือหวังผ้อและเซี่ยงอ๋อง
หลังจากนั้นก็มีผู้อาวุโสทั้งสามท่านแห่งหอกระบี่เขาหลีซาน ที่เคยปกปักรักษาสายรุ้ง
ต่อมาก็มีคนมากขึ้นเรื่อย ๆ ที่รับรู้ว่าในสำนักฝึกหลวงเกิดเรื่องใดขึ้น
ความเงียบที่เกิดจากความตกใจและความประหลาดใจนั้นดำเนินอยู่ได้ไม่นานนัก ในที่สุดความเงียบสงบในตรอกไป่ฮวาก็ถูกทำลายลง
จงซานอ๋องเปล่งเสียงหัวเราะแสนเย็นชาออกมา ขุนพลเทพแสดงสีหน้าแววตาเย้ยหยัน
เสียงของตกแตกดังขึ้นบนโรงน้ำชา ดูเหมือนจะมีความโกรธมากนัก
เฉินฉางเซิงคือเจ้าของสวนโจว นี่มันไม่ใช่ความลับนานแล้ว
หากว่ากันตามหลักการแล้ว เขาสามารถใช้กฎของสวนโจวนี้ดำเนินการต่อสู้ได้ และมันทำให้เขามีความได้เปรียบอย่างมาก
แต่ก็ยังคงไม่มีผู้ใดเชื่อว่าเขาจะสามารถเอาชนะซางสิงโจวได้
แม้ว่าซางสิงโจวจะกดขั้นเทพศักดิ์สิทธิ์ของตนลงมาอยู่ใต้อาณาเขตดินแดนศักดิ์สิทธิ์แล้ว
แต่ความแตกต่างนี้ยังคงมีอยู่
ขั้นเทพศักดิ์สิทธิ์ระหว่างพวกเขานั้นห่างกันถึงหนึ่งขั้นเต็ม ๆ
มีอยู่ก็คือมีอยู่ มันจะไม่มีทางหายไปเนื่องด้วยสาเหตุใดก็ตาม
ไม่ว่าจะเป็นประสบการณ์หรือความเฉลียวฉลาด ซางสิงโจวล้วนเอาชนะเฉินฉางเซิงไปไกลโข
คนที่เคยข้ามมหาสมุทรมาแล้ว จะข้ามแม่น้ำไม่ผ่านได้อย่างไร
คนที่ปีนป่ายเทือกเขาหิมะที่สูงที่สุดมาแล้ว เมื่อกลับมายืนอยู่บนพื้นดิน จะไม่รู้วิธีการเดินแล้วหรือ
เช่นเดียวกับมังกรดำ แม้ว่านางจะยังไม่เติบโตถึงวัยและเข้าสู่อาณาจักรศักดิ์สิทธิ์อย่างเป็นทางการ แต่คุณสมบัติบางอย่างของนางเกิดในดินแดนศักดิ์สิทธิ์ ดังนั้นจึงกล่าวได้ว่านางสามารถอยู่ยงคงกระพันภายใต้อาณาจักรศักดิ์สิทธิ์
ซางสิงโจวที่กดขั้นเทพศักดิ์สิทธิ์ของตนลงมาอยู่ภายใต้ดินแดนศักดิ์สิทธิ์ก็คล้ายคลึงกัน ทั้งยังน่ากลัวยิ่งกว่าเสียด้วยซ้ำ
เฉินฉางเซิงจะเอาชนะเขาได้อย่างไร ที่สำคัญกว่าก็คือ ต่อให้เขาแอบซ่อนวิธีการมหัศจรรย์บางอย่างไว้ในสวนโจว แต่เมื่อถึงช่วงเวลาที่วิกฤตจริง ๆ ซางสิงโจวสามารถถอนตัวออกไปได้ เมื่อถึงตอนนั้นเฉินฉางเซิงจะทำอย่างไรเล่า
……
……
คำถามที่ผู้คนต่างสงสัยเหล่านี้ แน่นอนว่าเฉินฉางเซิงและซางสิงโจวก็ต้องขบคิดอย่างละเอียดถี่ถ้วนยิ่งกว่า
ในเวลานี้พวกเขายืนอยู่ด้านหน้าสุดของหุบเขาอัสดง
ดวงอาทิตย์สีแดงที่อยู่ห่างไกล ค่อย ๆ หมุนอย่างเชื่องช้าไปรอบทุ่งหญ้าและฉาบหน้าผาเป็นสีแดง
ผู้คนที่เก่งกาจมากมายเคยเดินทางมาที่นี่
โจวตู๋ฟู เฉินเสวียนป้า เจ้าของกระบี่มหาสมุทรขุนเขา และอีกมากมาย
เคยมีปาฏิหาริย์มากมายเกิดขึ้นที่นี่
อาทิเช่นเมื่อสวีโหย่วหรงใกล้จะตายนั้น วิญญาณของหงส์ตื่นตัวขึ้นมาอีกครั้ง
ซางสิงโจวเอ่ย “ซีเค่อพ่ายแล้ว ท่านอาจารย์เขาหลีซานก็พ่ายแล้ว เฉินเสวียนป้าก็พ่ายแล้ว เป็นโจวตู๋ฟูที่ชนะมาโดยตลอด”
“เจ้าประสงค์จะสร้างปาฏิหาริย์ แต่ที่แห่งนี้ได้พิสูจน์มานานแล้วว่าไม่มีปาฏิหาริย์”
หากมีสิ่งนั้นที่เรียกว่าโชคชะตาจริง คำอธิบายของโชคชะตาก็คือผู้แข็งแกร่งมักจะแข็งแกร่งเสมอ เมื่อต้องเผชิญกับพลังที่แท้จริง ความหลงใหล ความปรารถนา ความฝัน อุดมคติ ความพากเพียร ความกล้าหาญ ความเสียสละ คำพูดที่ดูสวยงามเหล่านี้ก็ไร้ความหมาย
เฉินฉางเซิงเอ่ย “อาจารย์ท่านเคยเอ่ยว่าข้าจะมีอายุไม่ถึงยี่สิบปี แต่ในวันนี้ข้าทำได้แล้ว ”
ซางสิงโจวตอบกลับ “นั่นก็เป็นเพราะอาศัยพลังของนางต่างหาก”
“แต่นั่นไม่ใช่โชคชะตา อย่างน้อยก็มิใช่โชคชะตาที่ท่านกะเกณฑ์ให้ข้า”
เฉินฉางเซิงมองไปยังทุ่งหญ้าด้านล่างหุบเขาอัสดง ต้นหญ้าและเหล่าปีศาจร้ายที่แวบไปแวบมาเหล่านั้นอุดมสมบูรณ์กว่าเมื่อสามปีก่อนหลายเท่านัก เขาเงียบไปครู่หนึ่งพลางหันไปทางซางสิงโจวก่อนเอ่ยว่า “ข้าเรียกสิ่งนี้ว่าปาฏิหาริย์”
ซางสิงโจวจ้องไปที่เขานิ่ง ๆ ก่อนเอ่ยถาม “ใช่หรือ”
เขาสะบัดชุดนักพรตอย่างแผ่วเบา ก่อนยกมือซ้ายขึ้น
นิ้วเรียวยาวทั้งห้าชี้ไปทางเฉินฉางเซิง
สายลมพัดมาอย่างช้า ๆ ต้นไม้เก่าแก่บนหุบเขาอัสดงสั่นไหวเล็กน้อย
เป็นภาพที่งดงามนัก แต่เฉินฉางเซิงกลับรับรู้ได้ถึงอันตรายอย่างแรง
มือของเขาจับแน่นลงบนด้ามจับอย่างไม่ลังเล
เขาเตรียมชักกระบี่ไร้ราคี วาดกระบี่ขวางตรงหน้าทรวงอก กระบี่โง่งมที่เขาไม่ได้ใช้มาหลายปีแล้ว
เขาสวมใส่อาภรณ์ของเจ๋อซิ่ว แขนเสื้อมันสั้นนัก
ไหล่ทั้งสองข้างของเขาผ่อนคลายมาก
ทั่วทั้งดินแดนนี้ นอกจากหลิวชิงก็ไม่มีใครชักกระบี่เร็วกว่าเขาอีกแล้ว
หากเช่นนี้ยังช้าไป เขายังมีกระบี่ที่เร็วยิ่งกว่า
เขาเพียงขยับรำลึกเทพ กระบี่นับพันเล่มที่อยู่ในฝักกระบี่ก็จะพรั่งพรูออกมา กลายเป็นทะเลกระบี่ผืนหนึ่ง
อย่าว่าแต่ซางสิงโจวที่กดขั้นเทพศักดิ์สิทธิ์ให้มาอยู่ภายใต้อาณาจักรศักดิ์สิทธิ์เลย ต่อให้เป็นซางสิงโจวในเวลาปกติ ก็คงไม่สามารถทำลายค่ายกลสถานศึกษาหนานซีได้ในชั่วขณะเดียว
ขอเพียงให้เวลาเขาสักครู่ เขาก็จักสามารถหาโอกาสได้
แต่ทว่า
มือของเขามิได้จับลงไปที่ด้ามกระบี่
กระบี่กว่าพันด้ามไม่ได้แหวกอากาศออกมารวมตัวเป็นค่ายกลสถานศึกษาหนานซี
เนื่องจากกระบี่ของเขาหายไป
ไม่ว่าจะกระบี่ไร้ราคีหรือฝักกระบี่ซ่อนคมล้วนหายไปแล้ว
สายลมอ่อนที่หุบเขาอัสดงพัดสายรัดอาภรณ์เขาให้พริ้วไหว ไม่มีสิ่งใดติดอยู่เลย
เวลาต่อมา
มือของซางสิงโจวมีกระบี่เพิ่มขึ้นมา
นิ้วเรียวยาวของเขาจับกระบี่อย่างมั่นคง ราวกับว่าเดิมทีกระบี่เป็นของเขา
“สิ่งทั้งหมดที่เจ้ามีล้วนเป็นสิ่งที่ข้าให้ รวมถึงกระบี่เล่มนี้หรือแม้แต่ฝักกระบี่นี้ก็ตาม”
ซางสิงโจวมองเขาก่อนเอ่ยอย่างสงบ “เจ้าจะเอาชนะข้าได้อย่างไรเล่า”
สายลมแผ่วเบาพัดผ่าน แต่กลับหนาวลึกถึงกระดูก
มีเมฆเพียงพอที่จะถือกำเนิด
ซางสิงโจวลอยมาเบื้องหน้าเฉินฉางเซิง มือขวาปัดลง
ฝ่ามือที่ดูเหมือนจะธรรมดาไม่พิเศษ แต่ราวกลมกลืนกับฟ้าดิน ให้ความรู้สึกมิอาจหลีกหนีได้พ้น
เฉินฉางเซิงมิอาจหลบเลี่ยง
ฝ่ามือของซางสิงโจวกระแทกเข้ากับทรวงอกของเขา
เกิดเสียงดังปัง
เฉินฉางเซิงถูกกระแทกเสียจนกระเด็นจากหน้าผา
ท้องฟ้าด้านนอกหุบเขาอัสดงเกิดเป็นเส้นโค้งขึ้น
ราวกับใบไม้และก้อนหินที่ตกลงบนทุ่งหญ้าที่อยู่ไกลออกไปหลายลี้อย่างไร้ซึ่งเสียง