เธอก็เลยพูดกับหม่าหลันว่า: “แม่ แม่คิดทบทวนคนเดียวก่อนนะ ฉันกับเย่เฉินไปก่อนนะ และแม่อย่าลืมกินหมี่ที่เย่เฉินต้มไว้ให้ด้วย”

พูดจบแล้วไปพูดกับเย่เฉินว่า: “พวกเราไปกันเถอะ”

เย่เฉินพยักหน้า และพาเซียวซูหรันออกไป แล้วขับรถพาเธอไปที่สถานเลี้ยงเด็กกำพร้า

ระหว่างทางเย่เฉินได้ซื้อดอกไม้หนึ่งช่อ และซื้อผลไม้หนึ่งตะกร้ายังเขียนการ์ดอวยพรเตรียมที่จะมอบให้ป้าหลี่อีกด้วย

เมื่อมาถึงที่หน้าประตูสถานเลี้ยงเด็กกำพร้าจินหลิง เย่เฉินจอดรถไว้ที่จอดรถข้างถนน แล้วมองไปที่ประตูที่เก่าๆ ในใจของเขาเคลิบเคลิ้ม เขามีความรู้สึกเหมือนได้ย้อนเวลากลับไป และมีความรู้สึกที่อยู่อีกมิติ

เขายืนอยู่ที่นี้ เหมือนเสี่ยววินาทีนี้ เหมือนไปรวมกับความทรงจำบางฉากที่อยู่ในความทรงจำของตัวเอง ฉากเหล่านั้นปรากฏขึ้นในสมอง เป็นฉากความทรงจำที่อ่อนโยนที่สุด อบอุ่นที่สุด และมีความหมายที่สุดในใจ

เขายังไม่ลืมภาพแรกที่เขามาอยู่ที่สถานเลี้ยงเด็กกำพร้านี้

ตอนที่เขาอายุแปดขวบเขาเสียพ่อไปอย่างเจ็บปวด และได้ลำบากยากแค้นและเดินเร่ร่อนอยู่บนถนน และป้าหลี่ที่เหมือนดั่งนางฟ้า พาเขามาอยู่ที่นี้ และจับมือเขาไปและชี้ไปทางหน้าประตู แล้วพูดด้วยความรักเมตตาว่า: “หนูน้อย ไม่ต้องกลัวนะ ต่อไปที่นี่เป็นบ้านของหนูแล้วนะ”

สำหรับเย่เฉินแล้วภาพที่อบอุ่นนี้ที่เทียบเทียมไม่ได้นี้ ถึงจะผ่านไปกี่ปีก็ตาม ภาพนั้นก็เหมือนพึ่งเกิดขึ้น

เมื่อนึกถึงตอนนี้ เย่เฉินได้ปรากฏสีหน้าที่มีความสุข ปากก็ปรากฏรอยยิ้มออกมา

เซียวซูหรันเห็นเขายิ้มอดไม่ได้และพูดว่า:” วันนี้นายดูมีดีใจมากเลยนะ”

เย่เฉินพยักหน้าและพูดว่า: “ใช่แล้ว เธอก็รู้ใช่มั้ย ตอนที่ป้าหลี่ป่วย ฉันเป็นห่วงป้ามาก ฉันถึงต้องคิดวิธีหาเงิน แต่ยังไม่พอเพื่อนำมาเป็นค่าใช้จ่ายเปลี่ยนไตของป้าหลี่เลย ถ้าไม่ใช่เพราะความบังเอิญของโชคชะตา ฉันคิดว่าตอนนี้ป้าหลี่คงจากฉันไปแล้ว”

เซียวซูหรันย้อนคิดไปถึงตอนนั้น ภาพที่เพื่อหาเงินไปรักษาป้าหลี่ เย่เฉินไปข้อยืมเงินยายด้วยความต่ำต้อยและเคารพ

ตอนนั้นเธอรู้สึกสงสารผู้ชายคนนี้ที่โชคร้ายและลำบากยากแค้นต้องเดินเร่ร่อนตั้งแต่เด็ก

แต่ที่น่าเสียดายก็คือตอนนั้นตัวเธอเองก็ไม่ได้มีกำลังที่จะช่วย เพราะเธอก็ไม่สามารถหาเงินได้มากขนาดนั้น

แต่ดีที่ต่อมาป้าหลี่เป็นคนดีย่อมมีผู้ใจบุญมาช่วย มีคนช่วยจ่ายค่ารักษาพยาบาลให้ป้าหลี่ ยังส่งเธอไปที่โรงพยาบาลเซี๋ยเหอที่ดีที่สุดของประเทศอีกด้วย

นึกถึงตอนนี้ เซียวซูหรันอดไม่ได้และถามไปว่า: “เออ ก่อนหน้านี้นายเคยบอกว่ามีคนจ่ายค่ารักษาพยาบาลให้ป้าหลี่ คนๆคือใครหรือ? ทำไมถึงใจกว้างแบบนั้น? ถ้าป้าหลี่ไปรักษาที่โรงพยาบาลเซี๋ยเหออย่างน้อยก็ต้องจ่ายสองสามล้านไม่ใช่หรือ?”

เย่เฉินพยักหน้าและพูดว่า: “ได้ข่าวว่าค่าใช้จ่ายทั้งหมดประมาณสามล้าน แต่ใครเป็นคนออกค่ารักษาพยาบาลฉันก็ยังไม่รู้เลยแต่ฉันรู้แค่ว่าเป็นคนที่ป้าหลี่เคยช่วยไว้”

เย่เฉินพูดไม่ได้แน่นอนว่า ตอนนั้นเป็นเขาที่จ่ายค่ารักษาพยาบาลให้ป้าหลี่ เพราะตอนนั้นเขาเองยังเป็นไอ้ยาจกและประสบแต่ความล้มเหลว เป็นไปไม่ได้ที่จะมีเงินสามล้านได้ ก็เลยไม่สามารถอธิบายให้เข้าใจได้

เขาจึงทำได้แค่ถอนหายใจ: “ถ้าฉันรู้ตั้งแต่แรกว่าดูฮวงจุ้ยจะหาเงินได้เยอะขนาดนี้ ตอนนั้นที่ป้าเธอป่วยฉันน่าจะไปลองดูฮวงจุ้ยนะ”

ระหว่างที่ทั้งสองคนกำลังคุยกัน มีเสียงที่ตกใจลอยมา และเสียงนั้นได้ลอยเข้าหูของทั้งสองคน: “พี่เย่เฉิน”

ตอนที่เขาหันกลับไปมอง ก็เห็นในสถานเลี้ยงเด็กกำพร้า มีเงาร่างของผู้หญิงเดินออกมา

ไม่คิดเลยว่าจะเป็นหลี่เสี่ยวเฟิน

ไม่ได้เจอกันหลายปี หลี่เสี่ยวเฟินกลายเป็นสาวไปแล้ว!

ตอนนี้เธออายุยี่สิบกว่าๆแล้ว และสูงเกินกว่าร้อยเจ็ดสิบเซนติเมตรแล้ว รูปร่างของเธอไม่แพ้นางแบบเลยนะ

ถึงจะแต่งตัวแบบเรียบง่าย และถึงขั้นที่เรียบง่ายแบบสุดๆ แต่ยังสามารถให้ความรู้สึกที่สดใสและผิวขาว

เย่เฉินอดไม่ได้ที่จะตกใจ เป็นผู้หญิงที่มีการปลี่ยนแปลงเยอะมาก นี่เธอเป็นเด็กน้อยที่ค่อยตามเขาตอนที่เขายังอยู่ที่สถานเลี้ยงเด็กกำพร้าหรือเนี่ย?!