ส่วนที่ 7 ภาคกล้าให้อาทิตย์ดวงจันทร์ผันเปลี่ยน ตอนที่ 60 เคลื่อนไหวราวกระบี่

ท้าลิขิตพลิกโชคชะตา

ย้อนกลับไปครานั้นในเมืองจักรพรรดิไป๋ตี้ เปี๋ยยั่งหงปลูกฝังประสบการณ์การรบระหว่างตนและทูตสวรรค์เซิ่งกวงเข้าสู่ความคิดของเฉินฉางเซิงผ่านจุดแดงที่ศาลาหวันโสวเมืองซีหนิง ในนั้นมันมีสาระสำคัญของวิธีการปล่อยหมัดที่เขาใช้ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมาของชีวิต

ก่อนหน้านั้น เปี๋ยยั่งหงไม่มีความเคยชินที่จะใช้หมัดในการต่อสู้

ในการต่อสู่ที่สุสานเทียนซูนั้น เขาเห็นจักรพรรดินีเทียนไห่ใช้หมัดของนางแสดงพลังที่สามารถทำลายฟ้าดินได้ด้วยตาตนเอง จึงเกิดแรงบันดาลใจและเกิดวิถีหมัดชุดนี้

นี่ไม่ได้หมายความว่าเขายอมจำนนต่อจักรพรรดินีเทียนไห่ แต่ทัศนคติของการเรียนรู้จากผู้แข็งแกร่งกลับแสดงถึงความไม่เกรงกลัวอย่างแท้จริง

หมัดที่ไร้ความกลัว มีพลังที่ไม่อาจจินตนาการได้

เมื่อเฉินฉางเซิงปล่อยหมัด อากาศในรัศมีหลายร้อยลี้ก็ได้รับผลกระทบไปด้วย เกิดเป็นพายุเฮอริเคนขึ้น

ป่าล้มลงไปด้านหลังของเขาเป็นแนว แสดงถึงความกลัวของพวกมัน

ซางสิงโจวไม่ได้หลบหมัดที่ไร้ซึ่งความเกรงกลัวนี้

แต่เขารับเอาหมัดอันนี้ไว้

เกิดเสียงดังปัง เศษหญ้า ละอองน้ำและโคลนปลิวว่อนไปทั่วท้องฟ้า ปกคลุมท้องฟ้าและบดบังแสงอาทิตย์

ป่าค่อย ๆ กลับมาเป็นตรงเหมือนเดิมและลมก็ค่อย ๆ หายไป

เมื่อถูกบดขยี้ด้วยพลังแห่งความหวาดกลัว พื้นดินที่เคยอ่อนนุ่มก็จมลงและหนักขึ้นนับครั้งไม่ถ้วน

หมัดของเฉินฉางเซิงอยู่บนฝ่ามือของเขา แต่ไม่สามารถบุกเข้าไปได้อีก

หากตอนนี้ฝักกระบี่ซ่อนคมยังคงอยู่ เขาคงคิดวิธีโจมตีขั้นรุนแรงต่อซางสิงโจวได้หลายกระบวนท่าแล้ว

แต่ตอนนี้เขาไม่มีแม้กระทั่งกระบี่

โชคดีที่นี่ไม่ได้หมายความว่าเขาไม่สามารถออกกระบี่ได้

อุณหภูมิที่ขอบทุ่งหญ้าก็สูงขึ้นอย่างรวดเร็ว พืชน้ำในบริเวณใกล้เคียงกลายเป็นสีเหลือง

เฉินฉางเซิงใช้เพลงกระบี่สันดาปที่รุนแรงและเฉียบขาดที่สุด

ปราณแท้ที่แท้จริงในร่างกายของเขาเริ่มเผาไหม้อย่างรุนแรง และแขนขวาที่กลายร่างเป็นกระบี่พุ่งไปยังซางสิงโจว

สีหน้าของซางสิงโจวไม่ได้เปลี่ยนไปเลยสักนิด เขายังคงเฉยชา

เขาเปรียบเสมือนภูเขาใหญ่ที่สูงตระหง่าน ให้ความรู้สึกที่ยากจะเขย่าให้มันสั่นไหว

พลังที่ทรงพลังมากพุ่งออกมาจากฝ่ามือของเขา

หมัดของเฉินฉางเซิงไม่สามารถเข้าไปได้แม้แต่ชุ่นเดียว

พลังอันยิ่งใหญ่นั้นมีความพิเศษ ไม่เหมือนเกิดจากละอองดาว แต่กลับดูรุนแรงดุเดือดราวกับมีอุณหภูมิความร้อนที่แท้จริง

จากเค้าลางที่ปรากฏ ดูเหมือนว่าเฉินฉางเซิงใช้เพลงกระบี่สันดาประดมปราณแท้

เฉินฉางเซิงราวกับคาดเดาได้ถึงสิ่งใดและประหลาดใจ

แต่เขายังไม่ทันได้ครุ่นคิด เนื่องจากการโต้ตอบของซางสิงโจวมาถึงแล้ว

เหมือนกับคราที่อยู่ยอดเขาหุบเขาอัสดงอย่างนั้น

มือขวาของซางสิงโจวดูเหมือนจะตกลงแบบสุ่มตามอำเภอใจ ราวใบไม้ร่วงเข้าสู่ลม ไม่สามารถจับทางได้เลย

เฉินฉางเซิงยังคงหลบไม่พ้น

มือขวาของซางสิงโจววางลงบนทรวงอกเขาอย่างแผ่วเบานัก แต่กลับมีพลังที่เทียบได้กับชั้นฟ้าและดิน

บนพื้นที่แข็งแกร่งและเพิ่งจมลงนั้นปรากฏร่องลึกมากขึ้นมาสองแห่ง

เฉินฉางเซิงถอยร่นกลับไปที่ริมร่องลึกนั้น น่องขาเขากระแทกเข้ากับพื้นและลอยขึ้นไป

เขาเหมือนก้อนหินที่ถูกขว้างโดยคนที่แข็งแกร่ง แหวกอากาศ บังเกิดจุดดำเล็ก ๆ บนท้องฟ้า

สายตาของซางสิงโจวขยับตามและมองไปไกลหลายลี้

ด้วยเหตุอันใดไม่รู้ เขาไม่มีความสุข และก็ไม่ได้เฉยเมยเหมือนเมื่อก่อน แต่กลับขมวดคิ้ว

ทันใดนั้นสายลมก็มาถึง เขากลายร่างเป็นควันสีเขียวและไปจากที่นั่น

……

เฉินฉางเซิงลอยออกไปหลายลี้ เขาหกคะเมนตีลังกาอยู่ในน้ำ หน้าทิ่มลงไป มองดูราวกับซากศพ

ทันใดนั้นเขาก็พลิกตัวลุกขึ้นมา ไม่ได้หันกลับไปมอง แต่กลับเร่งรุดเดินตรงไปข้างหน้า

เขาวิ่งเร็วราวกับอาชา ละอองน้ำติดตามไปเป็นสาย แขนขวาเขาแข็งทื่อเล็กน้อย ดูเหมือนว่าเขาจะได้รับบาดเจ็บ

ไม่มีใครสามารถรับมือกับสองฝ่ามือของซางสิงโจวได้ แม้ว่าเขาจะกดขั้นเทพศักดิ์สิทธิ์ในสวนโจวแล้วก็ตาม

เฉินฉางเซิงยังสามารถมีชีวิตต่อไปได้ ยังสามารถวิ่งได้ นอกจากร่างกายที่แข็งแรงแล้ว ที่สำคัญไปกว่านั้นก็คือมือทั้งสองข้างของซางสิงโจวยังไม่ได้ออกแรงเต็มที่ด้วยซ้ำ

ในช่วงเวลาสุดท้ายที่มือทั้งสองข้างของซางสิงโจวโจมตีลงไปทั้งสองครั้ง เขาล้วนใช้แขนป้องไว้ระดับอกตน

ไม่มีกระบี่ แต่ยังคงต้องใช้กระบี่

ก่อนหน้าที่เขาจะเริ่มใช้เพลงกระบี่สันดาป เขาได้เลือกใช้เพลงกระบี่โง่งม

กระบี่ปกป้องเล่มแรกในใต้หล้า

และเขาก็ไม่มีทางหลีกเลี่ยงฝ่ามือราวใบไม้ร่วงของซางสิงโจวได้เลย แต่สามารถเลือกจุดที่จะถูกโจมตีได้

นอกจากนี้เขายังสามารถเลือกวิธีปลดพลังอย่างไรหลังจากถูกโจมตี

เขายังใช้ย่างก้าวหยั่งเทวาหนึ่งครั้งในอากาศ

ดังนั้นเขารู้ว่าเขาจะตกลงที่นี่

ที่นี่คือทุ่งหญ้าทีพระอาทิตย์ไม่เคยตกดินและเป็นที่ที่เขาประสงค์จะมา

หลังจากมั่นใจว่าไม่สามารถใช้ย่างก้าวหยั่งเทวาสลัดซางสิงโจวให้หลุดได้ เขาก็เริ่มเตรียมตัวสำหรับการณ์ต่อไปทันที

ตอนนี้ดูเหมือนว่าเค้าจะประสบความสำเร็จแล้ว

เสียงร้องและเสียงเสียดสีของขวากหนามที่หนาแน่นขึ้นเรื่อย ๆ ในทุ่งหญ้า ราวกับกำลังเฉลิมฉลองให้กับเขา

แต่ในความเป็นจริงแล้วมันคือสัตว์ประหลาดที่มีรูปร่างคล้ายมังกรคะนองน้ำซึ่งได้กลิ่นลมปราณของเขา จึงมาต้อนรับ

เหล่าสัตว์ประหลาดทั้งหลายไม่นานก็รับรู้ได้ถึงการมีอยู่ของซางสิงโจว

นอกเหนือจากความหวาดกลัวแล้ว เหล่าสัตว์ประหลาดทั้งหลายยังคงพุ่งเข้ามาอย่างกล้าหาญ

มังกรคะนองน้ำกว่าสิบตัวแหวกว่ายไปมาไม่หยุดท่ามกลางวัชพืชน้ำ ลบเลือนร่องรอยที่เฉินฉางเซิงทิ้งไว้

มังกรคะนองน้ำนำพาลมปราณเน่าเหม็น ลอยล่องไปทางซางสิงโจวที่อยู่ห่างไปไม่กี่ลี้อย่างเงียบๆ

ท้องฟ้าที่อยู่ไกลออกไปมีจุดดำปรากฏขึ้น น่าจะเป็นนกแร้งสีเทาที่กำลังเร่งรุดมา

เชื่อว่าเมื่อผ่านไปครู่หนึ่ง สัตว์ประหลาดที่ราวกับคลื่นน้ำ ก็จะปกคลุมทุ่งหญ้านี้ไปทั้งหมด

แต่นี่มิใช่เจตนาของเฉินฉางเซิง

เขาเสี่ยงอันตรายจากการที่จะถูกซางสิงโจวพบเข้า ตะโกนออกไปว่า “ถอยไป”

……

……

ซางสิงโจวยืนอยู่บนกิ่งต้นอ้อที่อยู่โดดเดี่ยวกิ่งหนึ่ง ขึ้นและลงตามลมอย่างแผ่วเบา

เขาฟังเสียงแผ่วเบาที่ลอยมาตามน้ำ รับรู้ได้ถึงลมปราณเหล่านั้นที่แอบซ่อนอยู่ในทุ่งหญ้า เลิกคิ้วเอ่ยว่า “สัตว์ร้าย ตายซะเถอะ”

ทันใดนั้นเองเกิดเสียงดังสะเทือนเลือนลั่นราวกับฟ้าผ่า ดังก้องไปทั่วทั้งทุ่งหญ้า

มันคือเสียงของเฉินฉางเซิง

คิ้วของซางสิงโจวที่เลิกขึ้นค่อยๆ คลายลง

เขาประหลาดใจเล็กน้อย

……

……

ไม่มีสัตว์ประหลาดใดกล้าฝ่าฝืนคำสั่งของเฉินฉางเซิง

เนื่องจากเขาคือเจ้าของสวนโจว ยิ่งไปกว่านั้นเขาเป็นผู้ช่วยให้โลกนี้รอดพ้นจากอันตราย

ความจงรักภักดีที่เหล่าสัตว์ประหลาดมีต่อเขานั้นออกมาจากจิตวิญญาณและสัญชาตญาณของพวกมัน

หลังได้ยินคำสั่งของเขา แม้แต่หมาป่าเวหาที่ดุร้ายและดื้อด้านที่สุดก็ยังล่าถอยไปอย่างเงียบ ๆ

ด้านหน้าสุสานโจว สัตว์ประหลาดยักษ์และยักษ์ล้มภูเขากำลังจ้องกันและกัน มันเริ่มกดตัวก้มลง

ทุ่งหญ้ากลับคืนสู่ความเงียบอีกครั้ง ได้ยินเพียงเสียงร้องของแมลงและเสียงน้ำไหลแผ่วเบา

เท้าของเฉินฉางเซิงเหยียบลงบนพื้น

หญ้าสีขาวเป็นทาง มีน้ำค้างแข็งดั่งเดิม วัดเก่านั้นยังคงอยู่

เขาพุ่งเข้าไปในวัด นั่งลงเบื้องหลังของรูปปั้นศักดิ์สิทธิ์

ลมหายใจของเขาหนักขึ้น สีหน้าซีดลง

เขาหยิบเข็มสีทองออกมาจากนิ้วของเขาและแทงเข้าไปที่คอของเขาทั้งสองข้าง จากนั้นก็หลับตาและเริ่มทำสมาธิ

ซางสิงโจวที่กดขั้นเทพศักดิ์สิทธิ์ลงแล้วมิใช่คู่ต่อสู้ที่แข็งแกร่งที่สุดที่เขาเคยพานพบในชาตินี้ แต่กลับเป็นคนที่ให้แรงกดดันเขามากที่สุด

ไม่ว่าจะเป็นตอนแรกที่พบจูลั่วหรือตอนพบราชามารที่เทือกเขาหานซาน ล้วนไม่เหมือนในวันนี้ที่เขายากจะรับได้

ตั้งแต่หุบเขาอัสดงจนถึงวัดเก่านี้ ใช้เวลาไม่นานนัก ประมือกันเพียงแค่สองหน แต่เขากลับเหน็ดเหนื่อยอย่างถึงที่สุด

นี่คงเป็นความกดดันทางจิตใจที่ศิษย์ต้องพบเจอเมื่อท้าประลองอาจารย์กระมัง

เพียงแต่ไม่รู้ว่าเขานั้นจะสามารถทนได้นานเพียงใด และก็ไม่รู้ว่าเขานั้นจะสามารถทนได้ถึงที่ใด

จู่ ๆ เฉินฉางเซิงก็ลืมตาขึ้น

ซางสิงโจวมาถึงยังด้านนอกวัด