บทที่ 2000 ถอนผนึกควบคุม

พิชิตสวรรค์ ทะยานฟ้า

แต่ไหนแต่ไรมาก็รักษาระยะห่างกับเหมียวอี้เสมอ นี่ก็คือลักษณะของเยี่ยนเป่ยหง

เหมียวอี้คุ้นชินและไม่ได้ใส่ใจอะไรเช่นกัน

เมื่อเห็นปี้เยว่กลับมา มู่หรงซิงหัวก็เผยรอยยิ้มบนใบหน้าเล็กน้อย พวกนางอยู่ที่อุทยานขวาด้วยกัน ทั้งยังอยู่ห่างจากผู้ชายของตัวเองเหมือนกัน ผู้หญิงสองคนนี้ย่อมสนิทกันลึกซึ้งอยู่แล้ว ความสัมพันธ์นายบ่าวในปีนั้นไม่มีแล้ว ยิ่งไปกว่านั้นตอนนี้ปี้เยว่ก็ถูกเตะออกจากตำหนักสวรรค์แล้ว

ทว่าสิ่งที่ทำให้มู่หรงซิงหัวตกใจก็คือ พวกเขาเดินมาที่ตีนบันไดด้วยกัน เหยียนซิวเดินขึ้นบันไดมายืนอยู่ข้างหลังเหมียวอี้เหมือนอย่างเคย ส่วนหยางเจาชิงก็ส่งสัญญาณมือ บนกำแพงมีคนเหาะมาหลายสิบคน ล้อมปี้เยว่และสี่คนนั้นไว้แล้ว

ทั้งสี่ตากันอย่างงุนงงแวบหนึ่ง มองเหมียวอี้ที่อยู่บนบันไดพร้อมกันพร้อมถามอย่างตกใจ “ผู้ตรวจการใหญ่! หมายความว่ายังไง?”

เหมียวอี้มองลงมาด้วยสีหน้าเรียบเฉย เพียงหรี่ตาจ้องปี้เยว่เท่านั้น

แม้จะเดาออกตั้งแต่แรกแล้วว่าพระปีศาจหนานโปจะมาหาเขาเป็นคนแรก ดังนั้นจึงส่งพวกอวิ๋นจือชิวไปยังที่ปลอดภัยก่อน แต่นึกไม่ถึงจริงๆ ว่าพระปีศาจหนานโปจะลงมือจากปี้เยว่ นึกไม่ถึงว่าพระปีศาจหนานโปจะไปรวมอยู่กับผู้รอดชีวิตของตระกูลอิ๋ง

ก่อนหน้านี้นึกไม่ถึง ทว่าหลังจากค้นพบแล้วถึงได้เข้าใจ พระปีศาจหนานโปไปหาผู้รอดชีวิตของตระกูลอิ๋งก็เหมือนจะเป็นเรื่องที่สมเหตุสมผลแล้ว สามารถเข้าใจได้เลย

หยางเจาชิงบอกว่า “ไม่ต้องคิดมากแล้ว แค่มีเรื่องบางอย่างจะมาพิสูจน์กับพวกเจ้าเท่านั้น พวกเจ้าให้ความร่วมมือสักหน่อย”

พูดจบ ก็มีคนก้าวขึ้นมาควบคุมสี่คนนี้ไว้อย่างรวดเร็ว แล้วก็พาออกไปทันที เหลือไว้เพียงปี้เยว่คนเดียว ปี้เยว่ถูกควบคุมพลังอิทธิฤทธิ์ไว้ตั้งนานแล้ว

ปี้เยว่จ้องเหมียวอี้ แล้วกางแขนพูดอย่างค่อนข้างโมโห “หนิวโหย่วเต๋อ เจ้าควบคุมข้าไว้หมายความว่ายังไง?”

มู่หรงซิงหัวประหลาดใจ มองปี้เยว่แล้วก็มองเหมียวอี้ ไม่รู้ว่าเป็นอะไรไปแล้ว

“มู่หรง ช่วงนี้ไม่มีงานของเจ้าแล้ว เจ้าออกไปก่อนเถอะ” เหมียวอี้กล่าวเสียงเรียบ

มู่หรงซิงหัวอึดอัดเหมือนอยากจะพูดอะไร อยากจะถามถึงสถานการณ์ จะลองดูว่าจะช่วยพูดขอร้องไห้ปี้เยว่ได้หรือไม่ แต่ก็ต้องกลืนคำพูดลงไปเพราะเห็นเหมียวอี้เหล่ตามองมาด้วยสายตาเย็นเยียบ

แม้ยามปกติเหมียวอี้จะยายามไม่แบ่งแยกนายบ่าว ถึงแม้ในสถานการณ์ปกติเหมียวอี้จะพยายามมองนางเป็นสหาย แต่นางก็เริ่มรู้สึกได้ทีละนิดว่าเหมียวอี้ในตอนนี้ไม่ใช่เหมียวอี้ในปีนั้นอีกแล้ว การกระทำและคำพูดของเหมียวอี้ในตอนนี้ ถึงแม้จะอ่อนโยนเป็นกันเองขนาดไหน แต่ก็เผยให้เห็นบารมีความน่าเกรงขามที่ทำให้คนรู้สึกกลัว

เจ้าอาณาเขตคนหนึ่ง ในมือมีกำลังพลหลายสิบล้าน มีแนวโน้มว่าจะมั่นคงเพราะในมือมีกำลังทหารมาก กลายเป็นอำนาจหนึ่งในไม่กี่ฝ่ายของตำหนักสวรรค์แล้ว พวกลูกพี่ใหญ่แต่ละฝ่ายล้วนต้องไว้หน้าเขา ยุคที่ปล่อยให้คนอื่นฆ่าตามอำเภอใจได้ผ่านไปโดยไม่ย้อนกลับอีกแล้ว แม้แต่ราชันสวรรค์ถ้าอยากจะแตกต้องเขาก็ต้องไตร่ตรองดูสักหน่อย เมื่ออยู่ภายใต้สถานการณ์ที่กุมอำนาจมหาศาลเอาไว้ บางอย่างที่คุ้นชินจนกลายเป็นปกติ เมื่อเวลานานไปก็เริ่มซับซับเข้าสู่แก่นแท้ของเหมียวอี้แล้ว มู่หรงซิงหัวเริ่มจะเข้าใจ ยามปกติเกรงใจหรือล้อเล่นกันขนาดไหน ก็ไม่มีทางกลับไปเป็นเหมือนเมื่อก่อนได้อีกแล้ว เจ้านายก็คือเจ้านาย ลูกน้องก็คือลูกน้อง ถ้าคิดว่าเจ้านายกับลูกน้องเป็นเพื่อนกัน นั้นเป็นแค่การหลอกตัวเองทั้งนั้น!

กุมหมัดคารวะไปทางด้านบนอย่างเงียบๆ มู่หรงซิงหัวมองปี้เยว่แวบหนึ่ง แล้วรีบถอยออกไป

“หนิวโหย่วเต๋อ…” ปี้เยว่ยังไม่ทันพูดจบ จู่ๆ หยางเจาชิงก็ขยุ้มนิ้วทั้งห้า ดูดปี้เยว่เข้ามาโดยตรง เอาเข้ามาเก็บไว้ในกระเป๋าสัตว์

เหมียวอี้หันตัวเดินออกไป ทั้งสามกลับไปในเรือนด้านหลังด้วยกัน

“นายท่าน!” เฟยหงกำลังกำชับงานสาวใช้ พอเห็นเหมียวอี้ก็ไม่สนใจสาวใช้แล้ว รีบเดินเข้ามาทำความเคารพด้วยรอยยิ้ม

ในช่วงเวลานี้ นางได้สัมผัสความรู้สึกของนายหญิงที่ดูแลบ้านบ้างนิดหน่อย

“ข้าจะคุยเรื่องงานนิดหน่อย” เหมียวอี้ยิ้ม

“ค่ะ!” เฟยหงถอยออกไปอย่างรู้กาละเทศะ แล้วโบกมือให้คนที่อยู่รอบๆ ถอยไปด้วย

ทุกครั้งในเวลานี้ นางจะตระหนักได้ถึงความแตกต่างระหว่างตัวเองกับนายหญิงที่แท้จริง เหมียวอี้มีเรื่องอะไรก็จะไม่หลบเลี่ยงอวิ๋นจือชิว

พอเข้ามาในโถงด้านข้าง เหมียวอี้ก็หันตัวไปมองเหยียนซิว ส่วนเหยียนซิวก็โยนศพร่างหนึ่งลงมาไว้บนพื้น เป็นศพของเทียนหยวนนั่นเอง

เหมียวอี้ก้าวขึ้นมามอง พยักหน้าแล้วถอนหายใจ “ไม่ผิดหรอก เป็นเทียนหยวน ช่างเถอะ เรื่องนี้ก็โทษเจ้าไม่ได้ เรื่องเกิดขึ้นกะทันหัน! ใช่แล้ว เล่าเรื่องที่เกิดขึ้นให้ละเอียดสักรอบสิ” เรื่องบางเรื่องพูดผ่านระฆังดาราได้ไม่ละเอียดเท่าไหร่นะ

“ตอนแรกพวกเราซุ่มอยู่ในเมฆ หลังจากได้รับแจ้งจากผู้คุ้มกันของปี้เยว่ ก็ลงมือทันที ใครจะคิดว่าอีกฝ่ายจะมีกำลังพลแอบซุ่มอยู่ไม่น้อย ข้าน้อยนำคนหนึ่งพันไปดักไว้จากท้องฟ้า…” เหยียนซิวเล่าสถานการณ์ในตอนนั้นให้ฟังอย่างละเอียด

หยางเจาชิงฟังจนอกสั่นขวัญแขวน พบว่าเหยียนซิวกับเยี่ยนเป่ยหงโหดมากทีเดียว ทั้งที่รู้ว่านั่นคือพระปีศาจหนานโปที่มีชื่อเสียงเรื่องความดุร้าย ไม่น่าเชื่อว่าทั้งสองยังจะกล้าไล่สังหาร!

เหมียวอี้ใบหน้าตึงเครียด โชคดีที่ก่อนหน้านี้ตัวเองยังระวังตัวอยู่บ้าง จึงดึงตั๊กแตนทมิฬจำนวนหนึ่งให้เหยียนซิวไว้ เตรียมตัวไว้เพิ่มเล็กน้อย ไม่อย่างนั้นครั้งนี้จะต้องเจอเรื่องไม่ดีแน่ เกรงว่าเหยียนซิวคงตกอยู่ในมืออีกฝ่าย หรือไม่ก็รักษาชีวิตไว้ไม่ได้ บนตัวเหยียนซิวมีความลับเกี่ยวกับเขาเยอะเกินไป อย่างน้อยเรื่องที่มาจากพิภพเล็กกับเรื่องทางเข้าออกแดนอเวจี เหยียนซิวก็รู้หมด

หลังจากเล่าจบ เหยียนซิวก็ใช้สองมือมอบแหวนเก็บสมบัติวงหนึ่งให้ “นายท่าน คนอยู่ในนี้หมดแล้ว เป็นค่าเองที่ทำงานไม่ดี กำลังพลเสียหายไปสองพัน”

“เรื่องนี้ถือว่าเจ้าได้สร้างผลงาน เจ้าสามารถกลับมาได้อย่างปลอดภัยก็ถือเป็นผลงานใหญ่แล้ว มิหนำซ้ำก็ยังจับเชลยศึกได้ตั้งมากมาย!” เหมียวอี้ปลอบใจ รับแหวนเก็บสมบัติมาตรวจดูในมือ แล้วก็ถามอีกว่า “คนพวกนี้ถูกพระปีศาจหนานโปควบคุมแล้ว แล้วก็ถูกเจ้าควบคุมด้วย เจ้าฟื้นฟูสติให้พวกเขาได้หรือเปล่า?”

เหยียนซิวตอบว่า “ข้าน้อยไม่ทราบ ไม่เคยทดลอง แต่ก่อนที่พวกเขาจะสติหลุด ข้าก็ควบคุมพวกเขาไว้แล้ว สมองน่าจะไม่ได้รับความเสียหายอะไรมาก น่าจะทดลองได้ ถ้าทุกอย่างปกติ ข้าก็สามารถใช้วิชาเพื่อลบความทรงจำของพวกเขาได้ ไม่ต้องกังวลว่าพวกเขาจะเผยความลับ อย่างน้อยก็รักษาความปลอดภัยให้คนได้บางส่วน”

หยางเจาชิงฟังแล้วแอบตกใจ ไม่น่าเชื่อว่าจะเลือกลบความทรงจำคนได้ด้วย นึกไม่ถึงว่าเคล็ดวิชาวิญญาณหยินเชื่อมหยางจะร้ายกาจถึงขนาดนี้ ได้ยินว่าวิชานี้ ถ้าฝึกได้สูงในระดับหนึ่งจะถึงขนาดควบคุมการเวียนว่ายตายเกิดได้ ไม่รู้ว่าจริงหรือเท็จ ขณะเดียวกันในใจก็แอบรู้สึกปลง ตอนแรกที่เหยียนซิวเลือกฝึกเคล็ดวิชาวิญญาณหยินเชื่อมหยาง เขาก็ยังรู้สึกว่าเหลือเชื่อ พอมาดูตอนนี้แล้ว วาสนาและหายนะก็เป็นสิ่งที่พูดยากจริงๆ

“งั้นก็ลองดูสักหน่อย” เหมียวอี้พยักหน้าอนุญาต แล้วก็ขมวดคิ้ว “ปี้เยว่ดูเหมือนปกติมาก”

เหยียนซิวบอกว่า “ตามที่สี่คนนั้นบอกมา ปี้เยว่น่าจะได้สัมผัสกับพระปีศาจหนานโปแล้ว ถูกควบคุมหรือไม่ข้าน้อยก็ไม่ทราบ ข้าแค่กังวลว่าในนั้นอาจจะมีความผิดพลาดอะไร จึงแจ้งให้นายท่านเตรียมตัวไว้แต่เนิ่นๆ”

เหมียวอี้ครุ่นคิดเงียบๆ ที่ปี้เยว่ออกเดินทางครั้งนี้ เห็นได้ชัดว่าพระปีศาจหนานโปวางแผนไว้นานแล้ว ไม่ใช่แค่นัดเจอกันเฉยๆ แน่นอน จึงถามว่า “ตัวเองก็เข้าใจวิชานี้ มีวิธีตรวจสอบให้แน่ใจหรือเปล่า?”

เหยียนซิวบอกว่า “นายท่าน  วิธีการควบคุมของพระปีศาจค่อนข้างเหนือชั้น ข้าน้อยเทียบไม่ติดเลย ข้าน้อยยังต้องอาศัยเครื่องมือถึงจะทำเรื่องนี้ได้สำเร็จ แต่เขากลับทำสำเร็จได้อย่างเงียบเชียบ ข้าน้อยจึงไม่กล้าฟันธง ทำได้เพียงทดลองดู”

“งั้นก็ลองดูเถอะ” เหมียวอี้เอียงหน้าบอกหยางเจาชิง

หยางเจาชิงเรียกปี้เยว่ออกมาจากกระเป๋าสัตว์ทันที

“หนิวโหย่วเต๋อ…” ปี้เยว่โผล่หน้ามาก็คำรามใส่เหมียวอี้

เหยียนซิวพลังตัวเข้ามา ใช้ฝ่ามือตบกบาลปี้เยว่ ทำให้ปี้เยว่ตาเหลือกแน่นิ่งไปแล้ว จากนั้นก็จะไปนั่งขัดสมาธิ หลับตานั่งบนพื้น

หยางเจาชิงเก็บร่างของเทียนหยวน โบกมือร่ายอิทธิฤทธิ์ปิดประตูหน้าต่าง แล้วถอยออกไปดูอยู่ข้างๆ กับเหมียวอี้

ปราณหยางบนตัวเหยียนซิวเริ่มหายไปทีละนิด กลายเป็นปราณหยินเย็นเยียบ กรงเล็บบนนิ้วทั้งห้ายาวขึ้นอย่างเห็นได้ชัด ปราณหยินในห้องอพัดหวีดหวิวพร้อมเสียงสะอื้นของผี เสื้อผ้าและผมยาวของเหยียนซิวขยับโดยไร้ลม นิ้วทั้งห้าพลันเหยียดตึง มวยผมงามของปี้เยว่พลันสยายออก เรียกได้ว่าผมปลิวสยาย

ไอสีดำที่ไหลทะลักออกมาจากฝ่ามือของเหยียนซิวเริ่มรวมตัวกันแล้วบิดไปบิดมา เราก็เป็นงูดุร้ายตัวหนึ่ง แล้วเริ่มเจาะเข้าไปในรูปากรูจมูก หูและดวงตาของปี้เยว่

เมื่อได้เห็นฉากนี้กับตา เหมียวอี้กับหยางเจาชิงที่อยู่ข้างๆ ก็สบตากันโดยจิตใต้สำนึก

“เอื้อ…” เหมือนจะไปสัมผัสอะไรเข้า ปี้เยว่ที่นั่งขัดสมาธิร่างกายสั่นเทิ้ม ส่งเสียงครางออกมา มีแนวโน้มว่าจะดิ้นรน แต่กลับถูกเหยียนซิวกดไว้แน่นจนขยับตัวไม่ได้

รอได้สักครู่เดียว งูน้อยดุร้ายหลายตัวก็ออกจากศีรษะปี้เยว่ และเลี้ยวกลับเข้าไปในฝ่ามือของเหยียนซิว ร่างกายที่สั่นเทิ้มของปี้เยว่ถึงได้กลับมาเป็นปกติ

พอหยุดใช้วิชาแล้ว เหยียนซิวก็พยักหน้าให้เหมียวอี้ “นายท่าน นางถูกควบคุมแล้วจริงๆ ในหัวสมองถูกทำอะไรบางอย่างไว้”

เหมียวอี้กล่าวเสียงต่ำว่า “ดูว่าสามารถช่วยแก้ไขให้นางได้หรือไม่!”

เหยียนซิวพยักหน้า แล้วพลิกฝ่ามือคว้าธงเรียกวิญญาณที่ปล่อยไอสีดำเย็นยะเยือกกระทุ้งลงพื้น แผ่นธงสั่นไหวเบาๆ แล้วจู่ๆ ก็มีแสงสีดำยิงออกมาสายหนึ่ง  ยิงไปโดนศีรษะของปี้เยว่ แสงสีดำนี้แตกต่างจากที่เขาใช้วิชาตามปกติ มันเหมือนเสาแสงสีดำที่ส่งไปบนศีรษะขอปี้เยว่โดยตรง ไม่มีรอยต่อระหว่างทั้งสองคน

ผ่านไปไม่นาน ก็ดึงเสาแสงกลับมาช้าๆ ส่วนปลายที่เชื่อมต่อกับปี้เยว่ราวกับกลายเป็นมือเล็กๆ ห้ามือ เหมือนกำลังดึงอะไรสักอย่างออกจากหว่างคิ้ว ขมับ หลังศีรษะและกลางกะโหลกของปี้เยว่

ไม่นาน ตรงห้าตำแหน่งนั้นก็ปรากฏจุดแสงสีทอง ถูกดึงออกมาตามมือทั้งห้า ดึงวัตถุที่มีลักษณะเหมือนเส้นด้ายสีทองออกมา

ปี้เยว่ที่กำลังนั่งขัดสมาธิกำลังตัวสั่น

ตอนที่เริ่มดึงมือเล็กทั้งห้าก็ยังราบรื่นมาก ตอนที่ดึงออกมาได้หนึ่งชุ่น เส้นด้ายสีทองก็เหมือนจะขัดขืนกับมือเล็กทั้งห้า ปี้เยว่ทำสีหน้าขื่นข่มทรมานอย่างเห็นได้ชัด

“อ๊า…” สุดท้ายปี้เยว่ก็อดไม่ได้ที่จะกรีดร้องออกมา ราวกลับเจ็บปวดแสนสาหัส อยากจะดิ้นรนแต่กลับถูกกรงเล็บของเหยียนซิวควบคุมไว้

สองคนที่ดูอยู่ข้างๆ ไม่รู้ว่าทำไมเหยียนซิวไม่ควบคุมอารมณ์ของปี้เยว่เอาไว้ ไม่รู้ว่าทำไมจึงปล่อยให้ทรมานขนาดนี้ แต่พวกเขาเชื่อว่าเหยียนซิวทำแบบนี้จะต้องมีเหตุผลแน่นอน หยางเจาชิงรีบหนีออกจากตรงนั้น ออกไปกำชับคนที่อยู่ข้างนอกว่า ไม่ว่าจะได้ยินเสียงอะไรก็ห้ามเข้าใกล้ตรงนี้ เสร็จแล้วถึงได้กลับมา

หลังจากสู้แรงกันอยู่พักหนึ่ง เส้นด้ายสีทองนั่นก็เหมือนจะมัดบางอย่างที่อยู่ในหัวของปี้เยว่ไว้ เห็นได้ชัดว่าเหยียนซิวไม่กล้าใช้วิธีรุนแรง สีหน้าดูระมัดระวัง เขาเขย่าธงเรียกวิญญาณอีกครั้ง เสาแสงทยอยออกมาเป็นมือเล็กสีดำจำนวนหนึ่งอีกครั้ง กระจายกันกรอกเข้าไปในศีรษะของปี้เยว่ เหมือนกำลังช่วยจับกุมอะไรบางอย่าง

ประสิทธิภาพชัดเจนมาก เส้นด้ายสีทองห้าเส้นถูกดึงออกจากในศีรษะปี้เยว่อีกแล้ว ขณะที่มือเล็กแต่ละข้างดึงเส้นด้ายสีทองออกมาจากศีรษะปี้เยว่ ก็เหมือนกำลังกำจัดพันธนาการในศีรษะของปี้เยว่ยังไม่ขาดสาย

หลังจากนั้นหนึ่งชั่วยามเต็มๆ เส้นด้ายแสงสีทองห้าเส้นที่ยาวหนึ่งจั้งก็ถูกถอนออกมาจากศีรษะปี้เยว่จนหมด

เสียงกรีดร้องของปี้เยว่แหบพร่าแล้วเช่นกัน นิ้วทั้งห้าของเหยียนซิวคลายออกจากนาง ปี้เยว่ล้มลงพื้น เสื้อผ้าเปียกไปทั้งตัว ราวกับถูกช้อนขึ้นมาจากน้ำ ใบหน้าขาวซีดไร้เลือดฝาก นางสลบไปแล้ว

เหยียนซิวไม่ได้พูดอะไร สองคนที่ดูอยู่ก็ไม่สะดวกจะไปแทรกแซง พากันมองไปทางเส้นด้ายสีทองห้าเส้นที่ถูกดึงออกมา มองไปทางมือเล็กที่กำลังพัวพันต่อสู้อยู่ตรงนั้นด้วย

เส้นด้ายสีทองที่เหมือนหนอนราวกับอยากจะหนีการจับกุม จนกระทั่งถูกมือเล็กจับได้หมดทั้งหัวทั้งหางจนกระดิกไปไหนไม่ได้ เสาแสงนั่นถึงได้หดกลับมา เก็บเส้นด้ายสีทองพวกนั้นเข้าในธงเรียกวิญญาณหมดแล้ว

“อั้ก!” ใครจะคิดว่าตอนนี้เหยียนซิวกลับกระอักเลือดสดออกมาคำหนึ่ง ร่างกายโอนเอน ประคองธงเรียกวิญญาณเอาไว้ถึงได้ไม่ล้ม

และบนดาวเคราะห์ที่อยู่ห่างไกลแห่งหนึ่ง อยู่ดีๆ สงฉีก็กระอักเลือกอย่างไร้สาเหตุเช่นกัน

……………