เมื่อถูกเตือนจากหนานโปแล้ว สงฉีก็ย่อมรู้ว่าไม่อาจแตะต้องแสงสีดำนี้ได้ ขณะที่รีบถลันตัวหลบ ก็หยิบโล่ออกมาปกป้องร่างกาย ต้านทานแสงสีดำที่ตัวเองหลบไม่ทัน
แสงสีดำหลายสายที่กระแทกบนโล่เบ่งบานเป็นเหมือนกุหลาบดำ
“ไป!” เสียงของพระปีศาจหนานโปดังอยู่ในกายสงฉีอีกครั้ง
เหยียนซิวจากแสงสีดำธงเรียกวิญญาณยังยิงเข้ามาอย่างต่อเนื่อง ตั๊กแตนที่โดนโจมตีกระเด็นพุ่งเข้ามาอย่างไม่กลัวตายอีกครั้ง เยี่ยนเป่ยหงที่สะเทือนปลิวไปพุ่งลงมาอีก เห็นได้ชัดว่าลูกน้องพวกนั้นถูกควบคุมไว้หมดแล้ว สงฉีแอบกัดฟัน ลุยเดี่ยวสำเร็จยาก รู้ว่าไม่หนีไม่ได้แล้ว
ถ้าพูดถึงการใช้กำลังปะทะกันตรงๆ สงฉีไม่กลัว กลัวก็แต่วิธีการเจ้าเล่ห์นอกรีตพวกนี้ ถ้าไม่ระวังก็อาจจะตกหลุมพรางได้ ทำได้เพียงถลันตัวหนีไป ขณะที่หนีก็ใช้โล่ปกป้องด้านหลัง จะได้ไม่ถูกแสงสีดำโจมตี
ตั๊กแตนเร่งหนีอยู่ข้างหลัง เยี่ยนเป่ยหงไล่ตามอยู่ข้างหลัง เหยียนซิวควบคุมตั๊กแตนทมิฬไล่ตามไม่ทัน ถึงขนาดหยิบธนูฝ่าอิทธิฤทธิ์ขั้นหกขึ้นมาคันหนึ่ง ยิงลูกธนูสามดอกออกมาพร้อมกัน
ลำแสงยิงเข้ามา สงฉีถือโล่กันไว้ มีเสียงระเบิดดังสามครั้ง ไม่เพียงแค่ทำอะไรสงฉีไม่ได้ กลับกลายเป็นแรงผลักส่งให้หนีเร็วขึ้นด้วยซ้ำ
จำนวนการโจมตีจากธนูฝ่าอิทธิฤทธิ์ยังน้อยไปหน่อย อาศัยธนูฝ่าอิทธิฤทธิ์ขั้นหกคันเดียวก็ยากจะจัดการผู้ตรวจการขวาของทัพตระกูลอิ๋งผู้สง่าผ่าเผยได้
แม้ตั๊กแตนทมิฬจะบินเร็ว แต่ตอนนี้พลังก็ยังมีจำกัด ให้ทนการโจมตีก็ยังพอไหว แต่ถ้าอยากจะไล่ตามสงฉีที่วรยุทธ์สูงก็ยังห่างชั้นไปหน่อย
ระยะห่างระหว่างทั้งสองยิ่งไกลขึ้นเรื่อยๆ เหยียนซิวกับเยี่ยนเป่ยหงที่ตามอยู่ข้างหลังจำเป็นต้องหยุด ได้แต่มองสงฉีพุ่งขึ้นฟ้าไปอย่างรวดเร็ว อยากจะตามแต่ไร้ความสามารถจริงๆ
สงฉีที่หันกลับมามอบแวบหนึ่งแค้นจนกัดฟันกรอด ตอนนี้ลูกน้องเหลืออยู่ไม่มากแล้ว กำลังพลสองพันกว่าที่พามาด้วยก็พากลับไปไม่ได้สักคน ทั้งหมดตายอยู่ที่นี่ เขานึกไม่ถึงจริงๆ ว่าลูกน้องของหนิวโหย่วเต๋อจะมีตัวละครที่ฝึกวิชานอกรีตอย่างเหยียนซิวอยู่ด้วย ยิ่งไม่รู้ด้วยว่าจู่ๆ มีองครักษ์เงาโผล่มาได้อย่างไร เขากังวลนิดหน่อยว่ายอดฝีมือขององครักษ์เงาจะตามมาถึง ส่วนพลังของเยี่ยนเป่ยหงในตอนนี้ไม่ได้อยู่ในสายตาเขาเลย
เหยียนซิวกับเยี่ยนเป่ยหงไม่ลังเลชักช้า ต่างก็รู้ว่าไม่ควรอยู่ที่นี่ต่อ รีบกลับไปยังจุดต่อสู้
พอเหยียบลงพื้น ก็โบกธงเรียกวิญญาณ คนเกือบสองพันคนของทั้งสองฝ่ายทยอยกันไปเข้าใกล้เหยียนซิว
เหยียนซิวกวาดสายตามองคนที่สวมผ้าปิดหน้า พบว่าเหลืออยู่ไม่ถึงพันคน เขาขมวดคิ้วเล็กน้อย เพราะพาคนมาด้วยสามพันคน ตายไปแล้วสองพันกว่าคน กังวลนิดหน่อยว่ากลับไปแล้วจะรายงานผลภารกิจกับเหมียวอี้อย่างไร ทว่าในเวลานี้เขาไม่ได้สนใจอะไรมากขนาดนั้น สองพันคนนี้ถูกเขาเก็บไว้หมดแล้ว
เมื่อเห็นคนพวกนี้เหม่อลอยเชื่อฟัง เยี่ยนเป่ยหงที่อยู่ข้างๆ ก็แอบแปลกใจ กอปรกับก่อนหน้านี้ได้เห็นกับตาว่าเหยียนซิวอยู่รอดปลอดภัยท่ามกลางวงล้อมนับพันคน ถ้าเปลี่ยนเป็นเขาเกรงว่าจะรับไม่ไหว เพราะในบรรดาคนนับพันยังมียอดฝีมือระดับสำแดงฤทธิ์อยู่ด้วย เขาแอบพูดกับตัวเองว่า นึกไม่ถึงว่าตาเฒ่าแปลกพิลึกคนนี้จะมีความสามารถนี้ด้วย ไม่แปลกใจที่คุ้มกันอยู่ข้างกายน้องเหมียวมาตลอด ที่แท้ก็เป็นยอดฝีมือที่ไม่เปิดเผยตัว
ทว่าเหยียนซิวเก็บธงเรียกวิญญาณ แล้วจู่ๆ ก็หยิบธนูฝ่าอิทธิฤทธิ์ขึ้นมายิงดอกหนึ่ง
ลำแสงสายหนึ่งยิงออกไป ตรงผิวทะเลสาบที่อยู่ไม่ไกลเกิดระลอกคลื่น ราวกับถูกดาบฟันออก คนที่หลบอยู่ในทะเลสาบโดนยินตายคาที่ทันที ดูจากการแต่งตัวแล้วไม่เหมือนคนที่เพิ่งต่อสู้กันเมื่อครู่นี้
เยี่ยนเป่ยหงถลันตัวไปตรวจสอบ ตอนที่กลับมาก็นำแผ่นหยกขุนนางอันหนึ่งกลับมาด้วย โยนให้เหยียนซิวแล้วบอกว่า “เป็นเทพแห่งภูผาของที่นี่”
พอหยิบแผ่นหยกขึ้นมาอ่าน เหยียนซิวก็กล่าวด้วยเสียงแหบพร่า “ตรวจสอบบริเวณรอบๆ ให้ทั่ว อย่าให้เหลือรอดชีวิตแม้แต่คนเดียว”
ทั้งสองรีบแยกย้ายกันค้นหา ถือโอกาสเก็บกวาดสนามรบด้วย…
ในดาราจักร สงฉีเหาะอยู่เพียงลำพัง เสียงของพระปีศาจหนานโปที่อยู่ในร่างกายดังขึ้นมาในหัว “เทียนหยวนตายแล้ว หู่หลินก็ตายแล้ว แม่ข้าจะลงคาถาควบคุมไว้บนตัวปี้เยว่ แต่กลับติดต่อนางไม่ได้ ก็ลองดูหน่อยว่ามีใครสามารถติดต่อนางได้บ้าง ข้าถูกเปิดโปงแล้ว หลังจากหนิวโหย่วเต๋อรู้เรื่องจะต้องตอบสนองแน่ ตอนนี้ปี้เยว่น่าจะยังกลับไม่ถึงแดนรัตติกาล จะต้องรีบเตือนให้นางระวังตัว”
ก่อนหน้านี้เขาใช้ร่างกายของหู่หลินร่ายอิทธิฤทธิ์และทิ้งระฆังดาราอันหนึ่งไว้ให้ปี้เยว่ พอหู่หลินตายไป ต่อให้มีระฆังดาราแต่ก็ไม่สามารถเชื่อมต่อกับตราอิทธิฤทธิ์บนระฆังดาราได้
สงฉีงงไปชั่วขณะ เขาไม่รู้จริงๆ ว่าจะติดต่อปี้เยว่ได้อย่างไร “ผู้อาวุโส เกรงว่าจะยุ่งยากนิดหน่อย ถ้าเป็นเมื่อก่อน อาศัยอำนาจของตระกูลอิ๋งก็อาจจะจัดการได้ง่าย ตอนนี้ต่อให้สามารถตามหาคนที่ติดต่อนางได้ แต่เกรงว่าสิ่งที่จะบอกต่อนั้นไม่สะดวกจะให้ใครรู้! ไม่รู้ว่าถ้าบอกใบ้แล้วนางจะฟังเข้าใจหรือเปล่า ถ้าสามารถฟังเข้าใจได้ ข้าจะติดต่อจั่วเอ๋อร์ ให้นางคิดหาทาง นางน่าจะรู้สถานการณ์เยอะ…เพียงแต่ผู้อาวุโสถูกเปิดโปงแล้ว เกรงว่าปี้เยว่คงจะใช้ประโยชน์ไม่ได้มาก”
หนานโปบอกว่า “ผู้หญิงคนนี้ไม่ใช่แค่ฮูหยินของเทียนหยวนธรรมดาๆ เท่านั้น นานมีเบื้องหลังอีกอย่าง ถ้าเก็บไว้ยังใช้ประโยชน์ได้ รีบให้จั่วเอ๋อร์ติดต่อ”
สงฉีทำได้เพียงหยิบระฆังดาราออกมาติดต่อจั่วเอ๋อร์…
ปี้เยว่ที่เหาะอยู่บนฟ้าหยิบระฆังดาราออกมา ไม่รู้ว่ากำลังติดต่อกับใคร สีหน้าเปลี่ยนไปเล็กน้อย
หลังจากเก็บระฆังดาราแล้วแสร้งทำเป็นไม่มีอะไรเกิดขึ้น จู่ๆ ก็พูดกับคนที่อยู่ทางซ้ายและขวาว่า “แถวนี้เหมือนจะมีตลาดสวรรค์อยู่ที่หนึ่ง ข้าจะไปซื้อของพอดี”
ใครจะคิดว่าเพิ่งจะพูดจบ จู่ๆ สี่คนที่อยู่ข้างหลังก็เข้ามาประชิดนางทันที มาล้อมนางไว้ตรงกลาง
ไม่ได้บอกกล่าวอะไร สี่คนนี้แทบจะลงมือพร้อมกัน
ด้วยระยะที่ใกล้ขนาดนี้ วรยุทธ์ของทั้งสี่ก็เหนือกว่าปี้เยว่มากด้วย บีบให้ปี้เยว่ไร้ความสามารถโต้ตอบ นางถูกจับไว้ตรงนั้นเลย
ปี้เยว่ที่ถูกควบคุมดิ้นรนตะโกนว่า “พวกเจ้าคิดจะทำอะไร?”
“ขออภัย นี่เป็นคำสั่งของผู้ตรวจการใหญ่ ล่วงเกินแล้ว!” เพิ่งจะพูดจบ ก็เก็บนางเอาไว้ทันที
ทั้งสี่คนเร่งเดินทางไปข้างหน้าต่อ คนที่เก็บปี้เยว่ไว้ติดต่อไปที่จวนผู้สำเร็จราชการ บอกว่าตัวเองควบคุมปี้เยว่เอาไว้แล้ว
นี่ก็เป็นคำสั่งของเหมียวอี้จริงๆ เหมียวอี้เพิ่งได้รับรายงานจากเหยียนซิว ตกใจมากเช่นกัน จึงสั่งให้สี่คนนี้จับตาดูปี้เยว่ทันที ถ้าปี้เยว่กลับมาแต่โดยดีตลอดทางก็รอดตัวไป แต่ถ้ามีความผิดปกติอะไรก็จับตัวไว้ได้เลย สั่งเป็นพิเศษว่าให้จับเป็น
เหมียวอี้เองก็ไม่รู้ว่าปี้เยว่มีปัญหาอะไรหรือเปล่า ทำแบบนี้เพื่อป้องกันเหตุไม่คาดคิด ถ้าไม่มีปัญหาอะไร เมื่อกลับมาแล้วก็ย่อมอธิบายกับปี้เยว่ให้เข้าใจได้ จะได้ไม่มีอะไรเข้าใจผิดกัน เรียกได้ว่ากันไว้ดีกว่าแก้
ขณะเดียวกันเหมียวอี้ก็รีบแจ้งให้ฮ่าวเต๋อฟางรู้ ให้ฮ่าวเต๋อฟางส่งกำลังทหารไปควบคุมประตูดวงดาวทางเข้าออกอาณาเขตดาวผืนนั้น แม้จะรู้ว่าการตรวจสอบแบบนี้อาจไม่ได้ประโยชน์อะไรกับคนระดับสงฉีกับพระปีศาจหนานโป แต่เขาไม่อาจนิ่งดูดาย
เมื่อฮ่าวเต๋อฟางได้ยินว่าเป็นพระปีศาจหนานโป ก็ตกใจทันที ถามเขาว่ารู้ได้อย่างไร?
เหมียวอี้บอกเพียงว่าได้รับรายงานมา ตอบยังคลุมเครือ ไม่ได้พูดชัดเจน
แต่ฮ่าวเต๋อฟางก็ไม่กล้าประมาท รู้ว่าเหมียวอี้ไม่จำเป็นต้องล้อเล่นแบบนี้กับเขา จึงรีบสั่งให้ส่งกำลังพลไปเพิ่มทันที
ผ่านไปไม่นาน เหยียนซิวกับเยี่ยนเป่ยหงก็มาถึงในดาราจักรพร้อมกัน ตามทันสี่คนนี้แล้ว
เมื่อเห็นว่าทั้งสี่คนไม่มีปัญหาอะไร เหยียนซิวก็แอบโล่งใจ เขากับเหมียวอี้กังวลเช่นกันว่าสี่คนนี้จะมีปัญหาอะไร ที่ให้สี่คนนี้จับปี้เยว่ไว้ก็เพราะไม่มีทางเลือก ถึงอย่างไรข้างกายปี้เยว่ก็ไม่มีคนอื่น
แม้จะเห็นว่าสี่คนนี้ไม่มีความผิดปกติอะไร แต่ตลอดทางที่มาเหยียนซิวก็ยังระวังสี่คนนี้เอาไว้
แทบจะเป็นเวลาเดียวกัน บนดาวเคราะห์ดวงหนึ่ง กำลังพลของสงฉีที่ซ่อนตัวอยู่กำลังย้ายที่อย่างรวดเร็ว ไม่มีทางเลือก คนของตัวเองมากมายขนาดนั้นตกอยู่ในมือหนิวโหย่วเต๋อแล้ว กังวลว่าจะโดนหนิวโหย่วเต๋อง้างปากแล้วโดนตำหนักสวรรค์ปราบหมด จำเป็นต้องย้ายที่ซ่อนตัวใหม่
จวนผู้สำเร็จราชการแดนรัตติกาล เหมียวอี้เอามือไขว้หลังยืนอยู่บนบันไดนอกตำหนักประชุม หยางเจาชิงยืนเก็บมืออยู่ข้างๆ กัน
ตอนที่มู่หรงซิงหัวเดินผ่านบนลานกว้าง นางก็เห็นแล้ว คงไม่ดีหากจะแกล้งทำเป็นไม่เห็น
หลังจากเข้ามาทำความเคารพ มู่หรงซิงหัวก็ถามส่งเดชตามมารยาท “นายท่าน ไม่ทราบว่าฮูหยินจะกลับมาเมื่อไหร่?”
เหมียวอี้มองลงมาพร้อมหัวเราะเบาๆ ไม่อยากบอกว่าอวิ๋นจือชิวไปไหนแล้วจะกลับมาเมื่อไหร่ จึงเปลี่ยนประเด็นสนทนา “ฮูหยินไม่อยู่แล้วเจ้ารู้สึกเบื่อใช่ไหมล่ะ? มู่หรง เขาไม่ได้ว่าเจ้านะ คนในแดนฝึกตนก็เป็นมนุษย์เหมือนกัน มีอารมณ์ความปรารถนาเหมือนกัน เจ้าอยู่คนเดียวต่อไปแบบนี้ไม่ใช่วิธีการที่ดี เจ้าพิจารณาจะหาคนที่เหมาะสมบ้างหรือเปล่า?”
มู่หรงซิงหัวฟังแล้วหัวใจกระตุกวูบ เพราะอวิ๋นจือชิวก็เคยล้อเล่นกับนางแบบทีเล่นทีจริงเหมือนกัน บอกว่าถึงอย่างไรก็ไม่ได้มองนางเป็นคนนอก จะให้นางเป็นอนุภรรยาของนายท่านก็ว่าหนักแล้ว ตอนนี้เหมียวอี้เอ่ยเรื่องนี้เองอีก นางนึกว่าเหมียวอี้เกิดความคิดที่จะรับนางเป็นอนุภรรยา จึงหน้าแดงหูแดงด้วยความเขินอาย
“ร่างกายข้าเหมือนดอกไม้ที่เหี่ยวเฉามีตำหนิ จะมีใครมาชอบข้าได้ยังไง” มู่หรงซิงหัวพยายามทำตัวนิ่งๆ เพียงยิ้มให้เล็กน้อย
“ดูเจ้าพูดเข้าสิ” เหมียวอี้ส่ายหน้า แล้วหันกลับไปถามหยางเจาชิง “เจ้าลองอธิบายเหตุผลหน่อยสิ ไม่น่าเชื่อว่ามู่หรงจะบอกว่าตัวเองเป็นดอกไม้ที่เหี่ยวเฉามีตำหนิ?”
หยางเจาชิงกลั้นขำแล้วบอก “ไม่ได้ ต้องบอกว่าเป็นบัวขาวล้ำค่าที่โผล่พ้นโคลนตมต่างหากถึงจะถูก มีคนตั้งมากมายเท่าไหร่ที่หมายปองแต่มิอาจเอื้อมนายท่านมู่หรง ตามที่ข้ารู้มา ทางจวนกลยุทธ์ฟ้ามีคนไม่น้อยที่รักและชื่นชมนายท่านมู่หรง เพียงแต่นายท่านมู่หรงไม่รับไมตรีไว้ก็เท่านั้นเอง”
มู่หรงซิงหัวยิ้มโดยไม่พูดอะไร มีเรื่องแบบนี้จริงๆ มีคนไม่น้อยตามจีบนาง แต่นางรู้อยู่แก่ใจ บางทีอาจจะเป็นเพราะตัวเองหน้าตาดี แต่ถึงอย่างไรตัวเองก็ถูกเฉาว่านเสียงขอหย่าแล้ว เคยมีประสบการณ์ช่วงนั้นมาก่อน จะมีสักกี่คนที่อยากแต่งงานรับนางเป็นภรรยาด้วยใจจริง อีกฝ่ายก็ใช่ว่าจะหาผู้หญิงสวยไม่ได้เสียหน่อย ถ้าจะพูดให้ชัดก็คือคนพวกนั้นชอบที่นางได้อยู่ในจวนผู้สำเร็จราชการกับนายท่านผู้สำเร็จราชการ มีเส้นสายกับฮูหยิน จึงอยากให้นางช่วยสนับสนุนอนาคต
ในใจนางรู้ชัดมาก ขอเพียงนางแต่งงานออกไปข้างนอก ก็จะได้ชื่อว่าเป็นดอกไม้ที่มีเจ้าของแล้ว ถ้าคนที่แต่งงานด้วยมีฐานะไม่เหมาะสม เกรงว่านางคงอยู่ในจวนผู้สำเร็จราชการไม่ได้อีกต่อไป เพราะเรื่องบางเรื่องในจวนผู้สำเร็จราชการไม่อาจเปิดเผยต่อภายนอกได้
“ก็ใช่ไง!” เหมียวอี้กล่าวกลั้วหัวเราะ “มู่หรง ชอบใครก็บอกมาได้เลย ข้าจะเป็นพ่อสื่อให้เจ้าด้วยตัวเอง ต้องทำให้เรื่องมงคลของเจ้าสำเร็จแน่!”
มู่หรงซิงหัวเพิ่งจะรู้ว่าตัวเองคิดมากไป สงสัยอีกฝ่ายจะอยากช่วยเป็นพ่อสื่อให้นาง จึงรีบเหลือบตามองเหมียวอี้แวบหนึ่ง ไม่แสดงอารมณ์สับสนในใจออกมา ยิ้มบางๆ ตอบว่า “ข้าน้อยซาบซึ้งในความหวังดีของนายท่านแล้ว ที่จริงอยู่คนเดียวก็ดีมากแล้ว…ถ้านายท่านรู้สึกว่าข้าอยู่ในจวนผู้สำเร็จราชการแล้วไม่เหมาะสม ย้ายข้าออกไปก็ได้” ประโยคสุดท้ายเหมือนจะพูดล้อเล่น
เหมียวอี้รีบโบกมือ “มู่หรง เจ้าอย่าพูดซี้ซั้ว ไม่ได้มีเจตนาจะไล่เจ้าสักหน่อย แค่หวังให้เจ้ามีที่พักพิงที่ดีสักคน เส้นทางฝึกตนนั้นยาวนาน ไร้คนเคียงข้างจะไม่เหงาหรอกหรือ!”
ในขณะนี้เอง หยางเจาชิงที่อยู่ข้างการเตือนว่า “นายท่าน กลับมาแล้ว”
เหมียวอี้เหลือบตาขึ้นทางประตู หรี่ตาเล็กน้อย เหยียนซิวและปี้เยว่ที่ผ่านการตรวจสอบจากทหารยามแล้วกำลังยืนเคียงกันอยู่ข้างหน้า ข้างหลังมีคนตามมาสี่คน กำลังเดินมาทางนี้ด้วยกัน
ส่วนเยี่ยนเป่ยหงก็ไม่ได้มาที่นี่ หลังจากมองส่งพวกเหยียนซิวเข้าแดนรัตติกาลแล้ว เขาก็จากไปทันที
………………