ภายในนิกายหมื่นกระบี่ เขตที่พักของหอชั้นในแตกต่างไปจากหอชั้นนอกอยู่พอสมควร
หอชั้นในของนิกายหมื่นกระบี่ตั้งอยู่บนยอดของภูเขาเมฆาและมีพื้นที่น้อยกว่าหอชั้นนอกมาก เพราะเหตุนั้น ที่พักของหอชั้นในจึงแตกต่างไปจากหอชั้นนอกซึ่งมีเรือนแยกจากกันเป็นอิสระ
หอชั้นในมีหอพักรวมสี่อาคารซึ่งล้วนเป็นอาคารสูงสี่ชั้น ในบรรดาหอพักทั้งหมด อาคารหนึ่งจะเป็นของศิษย์สตรีในขณะที่อีกสามหอพักเต็มไปด้วยศิษย์ที่เป็นบุรุษ
หลังจากส่งฉินอวี้โม่และเหลิ่งซวงเสวี่ยไปยังหอพักสำหรับสตรีและพูดคุยกับผู้อาวุโสสตรีที่ทำหน้าที่ดูแลความเรียบร้อยของหอพัก ว่านจินก็ขอตัวกลับไปยังที่พักของตน
“เรามีห้องพักห้าห้องในแต่ละชั้นและศิษย์ห้าคนจะพักอยู่ในห้องเดียวกัน เจ้าทั้งสองจงไปยังห้องหมายเลขสี่บนชั้นที่สามซึ่งเตรียมไว้พิเศษสำหรับศิษย์ที่มาจากหอชั้นนอก นี่คือกุญแจของพวกเจ้า อีกอย่าง…หอพักของเราก็มีกฎระเบียบอยู่เช่นกัน พวกเจ้าควรจะหาเวลาศึกษามันอย่างละเอียด”
ผู้อาวุโสสตรีซึ่งเป็นผู้ดูแลหอพักของสตรีมีพลังที่บรรลุถึงขอบเขตเทวราชสี่ดาราแล้วซึ่งไม่ถือว่าอ่อนแอหรือแข็งแกร่งจนเกินไป นางพูดคุยกับฉินอวี้โม่และเหลิ่งซวงเสวี่ยเล็กน้อยก่อนปล่อยให้พวกนางขึ้นไปยังห้องพักของตน
ฉินอวี้โม่กล่าวขอบคุณผู้อาวุโสและขึ้นไปยังชั้นที่สามของอาคารทันที
ห้องพักหมายเลขสี่บนชั้นที่สามตั้งอยู่ทางซ้ายของชั้นและอยู่ตรงข้ามกับห้องหมายเลขห้าซึ่งเป็นห้องว่างอยู่ในตอนนี้
นอกเหนือจากสองห้องดังกล่าว อีกสามห้องที่เหลือในชั้นเดียวกันล้วนมีผู้พักอาศัยอยู่แล้ว
ฉินอวี้โม่ไขกุญแจเปิดประตูห้องก่อนเดินเข้าไปและต้องรู้สึกตกตะลึงกับโครงสร้างของห้องพัก
ภายในนิกายหมื่นกระบี่ ห้องพักของหอชั้นในมีโครงสร้างที่ทันสมัยอย่างมากซึ่งแบ่งออกเป็นหกห้องและหนึ่งห้องโถง ได้แก่ ห้องนอนคู่สองห้อง ห้องนอนเดี่ยวหนึ่งห้อง ห้องครัวหนึ่งห้อง ห้องน้ำสองห้องและห้องโถงขนาดใหญ่
นี่เป็นครั้งแรกที่เหลิ่งซวงเสวี่ยได้เห็นที่พักในลักษณะนี้ นางจึงสงสัยใคร่รู้ไม่น้อย
ฉินอวี้โม่เริ่มสำรวจห้องนอนทั้งหมดพลางพิจารณาว่าควรจัดสรรห้องนอนกันอย่างไร
โชคดีที่ห้องพักของที่นี่เป็นห้องสำหรับห้าคน เมื่อเถาเซี่ยวเซี่ยว เถียนซินและสวีเยว่มาที่นี่ พวกนางทั้งห้าจะได้พักร่วมกัน
จากลักษณะนิสัยส่วนตัว เห็นได้ชัดว่าเหลิ่งซวงเสวี่ยไม่ชอบการพักร่วมกับคนอื่น เพราะเหตุนั้น ฉินอวี้โม่จึงตัดสินใจที่จะยกห้องนอนเดี่ยวให้กับนาง
สำหรับห้องนอนคู่อีกสองห้องที่เหลือ นางและเถาเซี่ยวเซี่ยวจะพักร่วมกันในห้องหนึ่ง ในขณะที่เถียนซินและสวีเยว่จะพักในอีกห้องหนึ่งซึ่งถือเป็นการจัดสรรที่สะดวกสำหรับทุกคน
“ศิษย์พี่เหลิ่ง ท่านจะจับจองห้องนอนเดี่ยวในขณะที่ข้านอนห้องเดียวกับเซี่ยวเซี่ยวหรือไม่ ? หรือท่านต้องการจะพักกับข้าหรือเซี่ยวเซี่ยว ?”
แม้ตัดสินใจเช่นนั้นแล้ว ฉินอวี้โม่ก็ยังถามความคิดเห็นของเหลิ่งซวงเสวี่ยก่อน
“ข้าจะพักในห้องนอนเดี่ยว”
เป็นจริงดังที่คิดไว้ เหลิ่งซวงเสวี่ยเลือกห้องนอนเดี่ยวเพื่อพักเพียงลำพัง แม้เคยพักในเรือนหลังเดียวกับฉินอวี้โม่และเถาเซี่ยวเซี่ยวมาก่อนและไม่รู้สึกอึดอัดเมื่ออยู่กับพวกนาง ทว่าเมื่อนึกถึงเสียงเจื้อยแจ้วของเด็กสาวช่างจ้อ นางก็อดรู้สึกปวดหัวขึ้นมาไม่ได้
“ตกลง ถ้าเช่นนั้นข้าจะพักอยู่ในห้องนี้และรอให้หนูอ้วนเถามาพักอยู่กับข้า”
ฉินอวี้โม่เลือกห้องนอนคู่ที่อยู่ถัดจากห้องของเหลิ่งซวงเสวี่ยเนื่องจากอีกห้องหนึ่งอยู่ห่างออกไปเล็กน้อย
หลังจากเลือกห้องนอน ทั้งสองก็เตรียมความพร้อมเล็กน้อยและเดินไปยังห้องโถงด้วยกัน
ภายในห้องโถง เก้าอี้ยาวและโต๊ะกาแฟถูกจัดวางไว้อย่างเป็นระเบียบ อีกทั้งยังมีแจกันดอกไม้หลายใบตั้งอยู่บนโต๊ะเหล่านั้นซึ่งแผ่กลิ่นหอมกระจายไปทั่วห้อง
ในเวลานี้มีสมุดเล่มเล็กวางอยู่บนโต๊ะกาแฟซึ่งเป็นคู่มือแนะนำของนิกายหมื่นกระบี่และระบุกฎระเบียบของนิกายหมื่นกระบี่ที่ศิษย์ในต้องปฏิบัติตาม
ฉินอวี้โม่และเหลิ่งซวงเสวี่ยหยิบสมุดเล่มเล็กขึ้นมาศึกษาจนมีความเข้าใจเกี่ยวกับกฎระเบียบของหอชั้นในเพิ่มมากขึ้น
เช่นเดียวกับหอชั้นนอก กฎเกณฑ์ต่าง ๆ ของหอชั้นในเป็นสิ่งที่ทำความเข้าใจได้ไม่ยากและสอดคล้องตามหลักสามัญสำนึก
ศิษย์ทั้งหมดของหอชั้นในของนิกายหมื่นกระบี่จะไม่ได้รับอนุญาตให้ทำร้ายศิษย์คนอื่น ๆ หรือกระทำสิ่งใดที่เป็นการทำให้นิกายหมื่นกระบี่ได้รับความเสื่อมเสีย การดวลฝีมือตามปกติเป็นเรื่องที่ยอมรับได้ เพียงแต่ทุกคนจะต้องมีความบันยะบันยังอยู่เช่นกัน
ยิ่งไปกว่านั้น หอชั้นในของนิกายหมื่นกระบี่ก็จะจัดการประเมินขึ้นในทุก ๆ ปี ซึ่งศิษย์ผู้ที่ล้มเหลวในการประเมินดังกล่าวก็จะถูกส่งกลับไปที่หอชั้นนอก
โดยปกติแล้วไม่มีสิ่งใดที่ศิษย์ในต้องทำมากนัก ทุกคนจึงสามารถเก็บตัวเพื่อฝึกฝนในห้องพักของตนหรือไปที่ลานประลองยุทธ์เพื่อดวลฝีมือและเรียนรู้จากศิษย์คนอื่น ๆ รวมถึงไปที่หอสมุดของหอชั้นในเพื่อศึกษาทักษะยุทธ์ที่ถูกรวบรวมไว้โดยนิกายหมื่นกระบี่ได้
ในบริเวณหอชั้นในก็มีภัตตาคารอยู่สามแห่งด้วยกัน ซึ่งศิษย์สามารถเลือกสถานที่รับประทานอาหารได้ตามต้องการ
บรรดาผู้อาวุโสของหอชั้นในไม่ได้พักอยู่ในอาณาเขตหอพักของศิษย์ ทว่าพักอยู่ในอาคารทางตะวันตกซึ่งมีสภาพแวดล้อมที่สะดวกสบายกว่าที่นี่มาก
นอกเหนือจากบรรดาผู้อาวุโส หากไม่มีธุระจำเป็น ศิษย์ในจะไม่ได้รับอนุญาตให้เข้าไปในอาณาเขตที่พักของผู้อาวุโส
หลังจากศึกษากฎระเบียบของหอชั้นใน ฉินอวี้โม่และเหลิ่งซวงเสวี่ยก็มีความเข้าใจอย่างแจ่มแจ้ง ทั้งสองจึงวางสมุดเล่มเล็กลงบนโต๊ะตามเดิมและตัดสินใจออกไปสำรวจนอกหอพัก
เนื่องจากยังไม่ได้รับประทานอาหาร ทั้งสองจึงมุ่งหน้าตรงไปยังภัตตาคารแห่งหนึ่งด้วยกัน
อย่างไรก็ตาม ทันทีที่ออกจากห้องพักของพวกตน ประตูของห้องหมายเลขสามซึ่งอยู่ไม่ไกลนักก็ถูกเปิดออกและสตรีกลุ่มหนึ่งก้าวออกมา
สตรีเหล่านั้นชะงักไปเล็กน้อยเมื่อเห็นฉินอวี้โม่และเหลิ่งซวงเสวี่ยก้าวออกมาจากห้องหมายเลขสี่ พวกนางก็ไม่รอช้าและเดินตรงเข้ามาพร้อมรอยยิ้มกว้างทันที
“เจ้าทั้งสองคงจะเป็นศิษย์น้องที่เพิ่งมาจากหอชั้นนอกสินะ”
หนึ่งในสตรีที่มีอายุประมาณยี่สิบห้าปีซึ่งดูอ่อนโยนและเป็นมิตรเดินเข้ามาและเอ่ยปากขึ้นโดยไม่มีท่าทีเป็นปฏิปักษ์ใด ๆ
“สวัสดีศิษย์พี่ทุกคน ข้าคือฉินอวี้โม่ ส่วนนี่คือเหลิ่งซวงเสวี่ย เราทั้งสองเพิ่งมาถึงที่หอชั้นในแห่งนี้”
ในเมื่อฝ่ายตรงข้ามไม่มีท่าทีเป็นปฏิปักษ์ใด แน่นอนว่าฉินอวี้โม่ก็ไม่มีทางทำตัวเสียมารยาทกับพวกนาง นางเพียงคลี่ยิ้มและกล่าวแนะนำตัวออกไป
“ข้าเจียงฉาและนี่คือน้องสาวของข้านามว่าเจียงจิ้ง ส่วนสามคนนี้คือลั่วซือ ลั่วฉิงและหลี่ก่วนก่วน พวกเราเป็นศิษย์ที่เข้ามาในหอชั้นในก่อนหน้าพวกเจ้าประมาณปีหนึ่ง”
ศิษย์พี่นามว่า ‘เจียงฉา’ กล่าวแนะนำตนเองและคนอื่น ๆ ให้ฉินอวี้โม่ได้รู้จัก
ฉินอวี้โม่ทักทายคนเหล่านั้นในขณะที่เหลิ่งซวงเสวี่ยเพียงพยักศีรษะและกล่าวทักทายสั้น ๆ
“ศิษย์น้องผู้นี้ดูจะไม่ค่อยพูดสินะ ?”
แม้เห็นท่าทางเย็นชาของเหลิ่งซวงเสวี่ย สตรีเหล่านั้นก็ไม่ขุ่นเคืองใจแม้แต่น้อยและกล่าวพร้อมรอยยิ้ม
“ใช่แล้วเจ้าค่ะ ศิษย์พี่เหลิ่งมักจะเงียบเป็นปกติ ศิษย์พี่ทั้งหลายอย่าถือสาไปเลย”
ฉินอวี้โม่พยักศีรษะและกล่าวอธิบาย
“มิใช่เรื่องแปลกหรอก ทุกคนมีลักษณะนิสัยที่แตกต่างกัน ต่อให้ไม่ชอบพูดก็มิใช่เรื่องใหญ่ ศิษย์น้องอวี้โม่ เจ้าจะสุภาพเกินไปแล้ว”
เจียงฉาเป็นคนอ่อนโยนและจิตใจดี ในขณะที่เจียงจิ้งน้องสาวของนางเป็นสตรีที่ตรงไปตรงมาและเจ้าอารมณ์มากกว่า ในเวลานี้ นางก้าวออกมาข้างหน้าและแตะไหล่ฉินอวี้โม่เบา ๆ โดยไม่ถือสาแม้แต่น้อยว่าเหลิ่งซวงเสวี่ยจะเป็นคนช่างจ้อหรือไม่
“ศิษย์น้องทั้งสองกำลังจะไปที่ใดกันหรือ ?”
ลั่วฉิงเอ่ยถามด้วยเสียงเบาขณะมองฉินอวี้โม่และเหลิ่งซวงเสวี่ยด้วยความสงสัยใคร่รู้
ในขณะเดียวกัน หลี่ก่วนก่วนและลั่วซือก็มองฉินอวี้โม่อย่างไม่กะพริบตาราวกับกำลังมองดูสมบัติล้ำค่าที่พบเห็นได้ยาก
“เหตุใดศิษย์พี่ทั้งสองจึงมองข้าเช่นนั้นเล่า ? มีอะไรเปื้อนหน้าข้าหรือเจ้าคะ ?”
ฉินอวี้โม่จับใบหน้าของตนเองโดยไม่รู้ตัวเนื่องจากรู้สึกว่าอาจมีสิ่งใดติดอยู่บนใบหน้าของตนเอง
“มิใช่หรอก เพียงแต่ศิษย์น้องงดงามมากเกินไป !”
หลี่ก่วนก่วนกล่าวขึ้นทว่ายังไม่ละสายตาไปแม้แต่อึดใจเดียว
“ศิษย์น้องอวี้โม่ อย่าสนใจสองคนนั้นเลย พวกนางเป็นเช่นนี้เสมอเมื่อได้ยลโฉมสตรีงาม”
เจียงจิ้งชำเลืองมองหลี่ก่วนก่วนและลั่วซือพลางทำท่าทางรังเกียจและกล่าวต่อ “ตอนแรกที่พบข้า ทั้งสองก็มีปฏิกิริยาเช่นนี้”
“อ๊ะ ! เจียงจิ้ง อย่าหลงตัวเองไปนักเลย เจ้ายังห่างชั้นไปจากศิษย์น้องอวี้โม่อีกมากนัก”
ลั่วซือเรียกสติกลับจากภวังค์และกล่าวด้วยท่าทางรังเกียจไม่แพ้กัน