ฉินอวี้โม่และเหลิ่งซวงเสวี่ยได้รับสิทธิ์ในการเข้าร่วมกับหอชั้นในได้โดยตรง เพราะเหตุนั้นจึงไม่มีความจำเป็นที่พวกนางจะต้องเข้าร่วมการคัดเลือกและสามารถเข้าไปยังหอชั้นในได้โดยตรง
หนึ่งวันหลังจากการประเมินของหอชั้นนอก ทั้งสองก็มุ่งหน้าเข้าไปยังหอชั้นในภายใต้การนำทางของผู้อาวุโสฉี
เมื่อมาถึง ผู้อาวุโสนามว่า ‘ว่านเฉวียน’ ผู้ซึ่งทำหน้าที่ดูแลความเรียบร้อยทั่วไปในแต่ละวันของหอชั้นในก็ออกมารับตัวฉินอวี้โม่และเหลิ่งซวงเสวี่ยที่ทางเข้าก่อนนำทางพวกนางไปพบกับผู้อาวุโสใหญ่ของหอชั้นใน
“อันที่จริง ข้าจะต้องพาเจ้าทั้งสองไปพบกับท่านจ้าวนิกาย ทว่าตอนนี้ท่านจ้าวนิกายกำลังเก็บตัวฝึกวิชาอยู่ ข้าจึงจะพาพวกเจ้าไปพบกับผู้อาวุโสใหญ่ก่อน เมื่อท่านจ้าวนิกายออกมา การคัดเลือกของหอชั้นในก็คงจะสิ้นสุดลงพอดี เมื่อถึงตอนนั้น พวกเจ้าจะได้ไปรายงานตัวพร้อมกับศิษย์คนอื่น ๆ”
ว่านเฉวียนกล่าวอธิบาย แม้ไม่จำเป็นต้องอธิบายต่อฉินอวี้โม่หรือศิษย์คนใด เขาก็ยังถือโอกาสแจ้งให้พวกนางได้ทราบ
“ขอบคุณท่านผู้อาวุโสที่ชี้แนะเจ้าค่ะ เราทราบแล้ว”
ฉินอวี้โม่และเหลิ่งซวงเสวี่ยไม่แสดงความคิดเห็นใดขณะเดินตามว่านเฉวียนไปพบกับผู้อาวุโสใหญ่
ผู้อาวุโสใหญ่ของนิกายหมื่นกระบี่คือบุรุษชราที่ฉินอวี้โม่เคยพบหน้ามาก่อนแล้ว เขาคือผู้อาวุโสที่มีนามว่า ‘ว่านหรูชู’ ซึ่งฝากฝังให้นางเข้าร่วมกับหอชั้นนอกของนิกายหลังจากปรากฏตัวในนิกายหมื่นกระบี่โดยบังเอิญนั่นเอง
เมื่อเห็นฉินอวี้โม่และเหลิ่งซวงเสวี่ยที่เดินตามว่านเฉวียนเข้ามา ว่านหรูชูก็ไม่มีท่าทีแปลกใจแต่อย่างใด
เขาจับตาดูความเคลื่อนไหวของหอชั้นนอกอยู่เป็นประจำ แม้มิได้ให้ความสำคัญกับเรื่องใดเป็นพิเศษ เขาก็ทราบถึงสถานการณ์ต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นเป็นอย่างดี
ในความเป็นจริง เขาก็ค้นพบความพิเศษเหนือธรรมชาติของฉินอวี้โม่ตั้งแต่ครานั้นแล้ว และการที่นางไต่เต้ามาได้อย่างรวดเร็วเพียงนี้ก็ถือเป็นการยืนยันสัญชาตญาณของเขาเท่านั้น
“แม่สาวน้อย ในที่สุดก็ได้พบกันอีก”
เขายิ้มให้กับฉินอวี้โม่และส่งสัญญาณให้ว่านเฉวียนกลับไปจัดการธุระของตนต่อ
ว่านเฉวียนก็สังเกตเห็นว่าว่านหรูชูและฉินอวี้โม่ดูจะรู้จักกันมาก่อน ทว่าเขาก็ไม่ได้กล่าวสิ่งใดและกลับออกไปทันที ส่งผลให้เหลือเพียงสามคนในเรือน
“ขอบคุณสำหรับความเมตตาของผู้อาวุโสในวันนั้นเจ้าค่ะ”
ฉินอวี้โม่ประกบกำปั้นเข้าด้วยกันและโค้งคำนับให้กับว่านหรูชู หากมิใช่เพราะเขาตัดสินใจส่งนางออกไปที่หอชั้นนอกในวันนั้น โอกาสมากมายที่นางได้รับก็คงจะหลุดมือไปและไม่มีทางที่จะพิชิตนิกายพันปีศาจมาได้อย่างง่ายดายเพียงนี้
“ทั้งหมดนี้เป็นเพราะโชคชะตาของเจ้าเอง แม่สาวน้อยเอ๋ย มันไม่เกี่ยวอะไรกับชายแก่ผู้นี้หรอก”
ว่านหรูชูกล่าวพร้อมรอยยิ้มขณะผายมือเชิญให้ฉินอวี้โม่และเหลิ่งซวงเสวี่ยนั่งลงและรินน้ำชาให้กับพวกนาง
“ในเมื่อตอนนี้เจ้ากลายเป็นจ้าวนิกายของนิกายพันปีศาจแล้ว ต่อไปเจ้าต้องจัดการดูแลนิกายพันปีศาจให้ดีและอย่าทำให้นิกายหมื่นกระบี่ของเราต้องขายหน้าเชียวล่ะ !”
ฉินอวี้โม่เป็นศิษย์ของนิกายหมื่นกระบี่และการกระทำของนางก็ถือเป็นตัวแทนของนิกาย ต่อให้ในอนาคตนางจะกลับไปที่นิกายพันปีศาจและควบคุมดูแลที่นั่นอย่างเป็นทางการ นางก็ยังถือเป็นหน้าเป็นตาของนิกายหมื่นกระบี่ ถึงอย่างไรฉินอวี้โม่ก็เป็นคนที่ว่านหรูชูทาบทามมาด้วยตัวเอง เป็นธรรมดาที่เขาจะไม่ต้องการให้ชื่อเสียงที่ดีมาช้านานของนิกายหมื่นกระบี่ต้องเสื่อมเสียไป
“ท่านผู้อาวุโสใหญ่ไม่ต้องกังวลเจ้าค่ะ ข้าจะประพฤติตัวเป็นอย่างดี”
ฉินอวี้โม่พยักศีรษะและยืนยันว่าจะไม่กระทำสิ่งใดที่ส่งผลเสียมาถึงนิกายหมื่นกระบี่
“ในหอชั้นในของเราก็ถูกแบ่งออกเป็นหลายฝ่ายและเจ้าสามารถเลือกผู้อาวุโสที่โปรดปรานเพื่อเข้าร่วมได้ แน่นอนว่าหากโชคดีมากพอ เจ้าก็มีโอกาสได้เป็นศิษย์ของท่านจ้าวนิกายโดยตรง อย่างไรก็ตาม สิ่งนั้นจะมีโอกาสเกิดขึ้นในอีกสามเดือน ตอนนี้เจ้าเป็นศิษย์อิสระของหอชั้นใน ตราบใดที่ปฏิบัติตามกฎของหอชั้นใน เจ้าก็ไม่จำเป็นต้องเข้าร่วมกับฝ่ายใด”
ว่านหรูชูรู้สึกถูกชะตากับฉินอวี้โม่และอยากพูดคุยกับนางมากยิ่งขึ้น สำหรับเรื่องของหอชั้นใน หน้าที่ของเขาก็มีเพียงการพานางไปพบกับศิษย์คนอื่น ๆ และแนะนำให้รู้จักกันเท่านั้น
ฉินอวี้โม่พยักศีรษะแสดงความเข้าใจ ทว่าความคิดบางอย่างก็แอบผุดขึ้นมาในใจของนาง หากไม่มีสิ่งใดผิดพลาด นางก็ต้องการเข้าร่วมกับฝ่ายของว่านหรูชู นางเองก็รู้สึกประทับใจและถูกชะตากับผู้อาวุโสใหญ่ของนิกายหมื่นกระบี่เป็นอย่างมาก เขาเป็นบุรุษที่ทั้งซื่อตรงและมีศีลธรรมอยู่ในหัวใจซึ่งเป็นผู้อาวุโสที่ควรค่าแก่ความเคารพอย่างแท้จริง
“เสี่ยวอวี้โม่ สิ่งที่เกิดขึ้นในหมู่บ้านกล้วยไม้เมฆาก่อนหน้านี้ เจ้าปิดบังสิ่งใดไปจากเราหรือไม่ ?”
ต้องกล่าวเลยว่าว่านหรูชูก็ชาญฉลาดยิ่งนักและคาดเดาได้ว่ายังมีเรื่องราวบางอย่างในหมู่บ้านกล้วยไม้เมฆาที่ฉินอวี้โม่ไม่ได้แจ้งให้พวกเขาทราบ
“ท่านผู้อาวุโสใหญ่ มีเรื่องบางอย่างเกิดขึ้นจริงเจ้าค่ะ เพียงแต่ข้ายังบอกท่านไม่ได้ในตอนนี้ ข้ายืนยันได้เพียงว่าสิ่งเหล่านั้นไม่เป็นภัยต่อนิกายหมื่นกระบี่ของเราและไม่ได้ละเมิดกฎของนิกาย สำหรับจุดมุ่งหมายในชีวิตของข้าและเรื่องอื่น ๆ ข้าขอไม่กล่าวถึงเจ้าค่ะ”
ฉินอวี้โม่ไม่ปฏิเสธ ทว่าแสดงทัศนคติออกไปเช่นนี้ นางเชื่อว่าทุกคนย่อมมีความลับเป็นของตนเองและนางจะไม่ถูกบังคับให้เปิดเผยในสิ่งที่ไม่ต้องการอย่างแน่นอน
“เอาล่ะ การที่ได้ทราบเช่นนั้นก็เพียงพอแล้ว”
เป็นจริงดังที่คิดไว้ ว่านหรูชูเพียงพยักศีรษะและไม่เอ่ยถามสิ่งใดต่อไป
แม้ว่าเขาจะสงสัยใคร่รู้เกี่ยวกับสิ่งที่เกิดขึ้นในหมู่บ้านกล้วยไม้เมฆาเป็นอย่างยิ่ง ทว่าในเมื่อฉินอวี้โม่และคนอื่น ๆ ต้องการปิดบังไว้ พวกนางก็คงจะมีเหตุผลบางอย่างในการทำเช่นนั้นและไม่มีความจำเป็นที่เขาจะต้องบีบเค้นหาความจริงจากพวกนาง
หลังจากพูดคุยกันในเรือนของเขาเป็นพักใหญ่ ว่านหรูชูก็เรียกศิษย์คนหนึ่งเข้ามาเพื่อให้เขานำตัวฉินอวี้โม่และเหลิ่งซวงเสวี่ยไปยังเรือนที่พักของพวกนาง
ศิษย์ผู้นั้นก็มิใช่ใครอื่น เขาคือศิษย์พี่ว่านจินที่พาฉินอวี้โม่ไปส่งที่หอชั้นนอกของนิกายหมื่นกระบี่ในก่อนหน้านี้นั่นเอง
“ฮ่า ๆ ๆ ศิษย์น้องอวี้โม่ ไม่ได้พบกันเสียนาน”
ว่านจินกล่าวทักทายฉินอวี้โม่พร้อมรอยยิ้มและมองนางด้วยแววตาเจือความประหลาดใจเล็กน้อย
ฉินอวี้โม่ในปัจจุบันแตกต่างไปจากตอนที่เขาไปส่งที่หอชั้นนอกอยู่ไม่น้อย ในครานั้น นางจงใจปรับเปลี่ยนรูปลักษณ์ภายนอกของตนเองส่งผลให้ดูธรรมดาไร้ความโดดเด่นมากกว่าในตอนนี้
ฉินอวี้โม่ที่อยู่ตรงหน้าเขาในตอนนี้ดูงดงามขึ้นมากและถือเป็นหญิงงามล่มเมืองอย่างแท้จริง แม้แต่เหลิ่งซวงเสวี่ยข้างกายนางที่มีความงามและเสน่ห์ในแบบของตนเองก็ยังดูด้อยกว่าเล็กน้อย
“ไม่ได้พบกันเสียนาน ศิษย์พี่ว่านจิน”
ฉินอวี้โม่กล่าวทักทายว่านจินด้วยรอยยิ้มกว้างเช่นกันและไม่รู้สึกห่างเหินแต่อย่างใด ว่านจินเป็นคนตรงไปตรงมาและเข้ากับผู้อื่นได้ง่าย ในภายภาคหน้า หากมีข่าวใดในหอชั้นใน ฉินอวี้โม่ก็สามารถสอบถามจากเขาได้
“ศิษย์น้องอวี้โม่ ในช่วงที่ผ่านมานี้ ข้าก็ได้ยินเรื่องราวของหอชั้นนอกมาไม่น้อย ผลงานของเจ้าช่างน่าทึ่งจริง ๆ หากเข้าร่วมกับนิกายหมื่นกระบี่มาตั้งแต่เนิ่น ๆ เจ้าจะต้องได้ครองอันดับดี ๆ ในทำเนียบสวรรค์ของหอชั้นในอย่างแน่นอน”
ว่านจินกล่าวพร้อมยกนิ้วโป้งให้กับฉินอวี้โม่ เป็นเพราะฉินอวี้โม่ ในช่วงที่ผ่านมานี้เขาจึงพยายามสืบข่าวเกี่ยวกับหอชั้นนอก เมื่อได้ทราบว่านางแสดงฝีมือได้อย่างโดดเด่นและได้รับอันดับหนึ่งในการประเมินของหอชั้นนอก เขาก็สงสัยใคร่รู้เกี่ยวกับศิษย์น้องผู้นี้มากยิ่งขึ้น
“ขอบคุณศิษย์พี่ว่านจินสำหรับคำชมเจ้าค่ะ แต่ถึงข้าจะเข้ามาช้าสักหน่อย อีกไม่นานชื่อของข้าก็จะอยู่ในทำเนียบสวรรค์อย่างแน่นอน”
ฉินอวี้โม่กล่าวอย่างติดตลก ทว่าแววตาของนางกลับเปี่ยมไปด้วยความมั่นใจ
“นั่นเป็นเรื่องที่แน่นอน ด้วยพรสวรรค์และความแข็งแกร่งของศิษย์น้องอวี้โม่ การที่เจ้าจะได้ส่องสว่างเฉิดฉายเป็นเรื่องที่จะเกิดขึ้นในไม่ช้าก็เร็ว ฮ่า ๆ ๆ”
ว่านจินชะงักเล็กน้อยก่อนกล่าวพร้อมหัวเราะชอบใจ
“จะว่าไปแล้ว…ข้ายังไม่ทราบเลยว่าศิษย์น้องผู้นี้มีชื่อเสียงเรียงนามว่าอย่างไร ?”
สายตาของว่านจินเลื่อนไปหยุดที่เหลิ่งซวงเสวี่ยผู้ซึ่งนิ่งเงียบมาตั้งแต่ต้นและเอ่ยถามอย่างสงสัยใคร่รู้
“เหลิ่งซวงเสวี่ย”
เจ้าหญิงน้ำแข็งเอ่ยเพียงสั้น ๆ สามพยางค์ด้วยใบหน้าที่เรียบเฉยและนิ่งเงียบไปอีกครั้ง
“ที่แท้ก็เป็นศิษย์น้องเหลิ่งนี่เอง ยินดีที่ได้รู้จัก”
ว่านจินแนะนำตัวเองก่อนหันไปพูดคุยกับฉินอวี้โม่ต่อ
ขณะพูดคุยกัน ทั้งสามก็เดินมาถึงข้างหน้าอาณาเขตที่พักของหอชั้นใน
อย่างไรก็ตาม ตอนนี้เป็นเวลาเที่ยงวัน ทุกคนจึงเก็บตัวอยู่ในห้องของตนเองและมีเพียงไม่กี่คนที่ปรากฏตัวอยู่ข้างนอก เพราะเหตุนั้น การมาถึงของฉินอวี้โม่และเหลิ่งซวงเสวี่ยจึงไม่ดึงดูดความสนใจของผู้ใด