ภาค 10 ขี่วายุทะลายคลื่นหมื่นลี้ บทที่ 1014 หงส์อมตะร่ำไห้เป็นโลหิต

ตำนานศิษย์พี่เจ้าปฐพี

ประมุขทักษิณจวงเซินที่ออกจากเขตเพลิงทักษิณ มุ่งหน้าไปยังเขตมหานภากลางถึงแปดเก้าปี ในที่สุดก็กลับเนินต้นจักรพรรดิบนเขาลีลาหงส์แล้ว

สำหรับคนธรรมดาที่มีชีวิตแค่ร้อยปี เวลาแปดเก้าปีเป็นเวลาที่ไม่น้อยแล้ว แต่สำหรับยอดฝีมือที่ฝึกฝนวรยุทธ์ และมีระดับพลังฝึกปรือสูงล้ำ เป็นไปได้อย่างยิ่งว่าการเข้าฌานครั้งหนึ่งจะใช้เวลามากกว่าสิบปี

ประมุขทักษิณจวงเซินเข้าฌานฝึกฝนครั้งล่าสุด ใช้เวลาเกือบยี่สิบปี

เพียงแต่ในตอนนั้นไม่เคยมีครั้งไหนที่ทำให้จวงเซินเกิดความรู้สึกว่าสิ่งของอยู่มนุษย์ไม่[1]มาก่อน

ขณะนี้เขานั่งอยู่บนที่นั่งหลักในตำหนักใหญ่ของสำนัก มองดูผู้คนตรงหน้าตาไม่กะพริบ เทียบกับในอดีต ใบหน้าของจวงเซินไม่มีการเปลี่ยนแปลงแม้แต่น้อย เขายังคงมีใบหน้าผอมแห้ง ค่อนข้างองอาจ ดูเหมือนมีอายุราวๆ สามสิบปี ผมสีขาว มัดเป็นมวยง่ายๆ

แต่ว่าขณะมองคนตรงหน้า จวงเซินปั้นสีหน้าเย็นชายิ่ง

ราชาอัคคีเผิงเฮ่อ ลูกศิษย์ซึ่งที่แล้วมาค่อนข้างแปลกแยก และเป็นพ่อเขยของบุตรีของเขาหายไปแล้ว

จางซู่เหรินต้นจักรพรรดิสะกดภูผาซึ่งถึงแม้จะไม่ได้สนิทเท่าเผิงเฮ่อ แต่ก็ให้ความเคารพจวงเซิน ประพฤติตัวอย่างเหมาะสม ทำให้เขาเชื่อมั่นมาตลอดก็หายตัวไปเช่นกัน

เนตรหงส์หยวนเสี่ยนเฉิง ลูกศิษย์ที่เขาแสนภาคภูมิใจ และใช้ความพยายามชุบเลี้ยงขึ้นมาอย่างเต็มที่ ก็หายไปไม่ต่างกัน

นอกจากนี้แล้ว เนินต้นจักรพรรดิยังมีอีกหลายคน ที่ไม่อาจปรากฏตัวขึ้นในตำหนักตรงหน้าได้ตลอดกาล

สุดท้ายยังมีบุตรชายที่เขาให้กำเนิด จวงเจาฮุย…

จวงเซินมองห้องโถงที่บางตาตรงหน้า เงียบงันไม่กล่าววาจา

ในกลุ่มคนมีบุรุษวัยกลางคนที่แต่งกายแบบนักศึกษาผู้หนึ่งเอ่ยว่า “ศิษย์พี่จางกับศิษย์น้องเผิงไม่อยู่แล้ว ฝั่งตะวันออกเฉียงใต้มีสภาวะยิ่งใหญ่ พวกเราได้แต่รักษาเขาลีลาหงส์ไว้ รอศิษย์พี่จวงท่านกลับมา”

จวงเซินมองนักศึกษาวัยกลางคนผู้นั้น เอ่ยอย่างแชมช้า “ศิษย์น้องเหมา ลำบากเจ้าแล้ว”

นักศึกษาวัยกลางคนก้มหน้ากล่าว “ศิษย์พี่เจ้าสำนักโปรดตัดสินใจด้วย”

คนผู้นี้ย่อมเป็นเหมาหยวนเซิง ‘หงส์กู่ร้องแดนใต้’ จอมยุทธ์ศักดิ์สิทธิ์ขั้นเก้าที่เหลือรอดอยู่ในสายสืบทอดของเนินต้นจักรพรรดิแห่งเขาลีลาหงส์ และได้รับการขนานนามเท่าเผิงเฮ่อและจางซู่เหริน

เขากับเผิงเฮ่อ รวมถึงประมุขทักษิณจวงเซินเป็นลูกศิษย์ที่มีอาจารย์คนเดียวกัน

หลายร้อยปีก่อนหน้านี้ สมัยที่อาจารย์ของจวงเซินควบคุมสำนัก และคนรุ่นก่อนเป็นผู้ตัดสินใจ ความจริงแล้วเหมาหยวนเซิงเป็นคนที่ได้รับการเอาใจใส่มากที่สุด

ในตอนนั้นเมื่อเทียบกับจวงเซินแล้ว อาจารย์ของพวกเขารักใคร่เหมาหยวนเซิงมากกว่า ถึงขั้นที่เคยต้องการให้เหมาหยวนเซิงรับช่วงต่อจากตนเอง และสืบทอดเนินต้นจักรพรรดิต่อ เพียงแต่ว่าต่อมา จวงเซินที่ตอนเป็นเด็กค่อนข้างธรรมดา กลับยิ่งมายิ่งพัฒนา สุดท้ายก็ตามทัน

อาจารย์ของพวกเขาเสียชีวิตเพราะอุบัติเหตุ จึงไม่ได้ตัดสินใจตัวเลือกเจ้าสำนัก

สุดท้ายจวงเซินเหนือกว่า

ทว่าเนินต้นจักรพรรดิแห่งเขาลีลาหงส์ก็เจริญรุ่งเรือง ม้วนคัมภีร์ร่างหงส์อมตะยิ่งมายิ่งถูกปรับปรุงให้สูงล้ำขึ้นด้วยมือของเขาจริงๆ

จนกระทั่งต่อมา จวงเซินได้เลื่อนสู่ระดับประมุขในหมู่คน เขาลีลาหงส์ปีนขึ้นสู่จุดสูงสุดของประวัติศาสตร์ของตัวเอง

จวงเซินกลับไม่ได้กดดันเหมาหยวนเซิง แต่ว่าในผู้ทรงอำนาจที่อยู่ในระดับจอมยุทธ์ศักดิ์สิทธิ์ขั้นเก้าสามคนของเนินต้นจักรพรรดิ ความสัมพันธ์ระหว่างเหมาหยวนเซิงกับจวงเซินย่อมเหินห่างที่สุดอย่างไม่ต้องสงสัย

จางซู่เหรินรับคำสั่งคอยสะกดเขารอบวงที่อยู่บริเวณจุดตัดของตะวันออกและทิศใต้ แม้เหมือนไกล แต่กลับได้รับความเชื่อใจจากจวงเซินมากกว่า

ถ้าหากเป็นงานที่ยากจริงๆ หยวนเสี่ยนเฉิง ลูกศิษย์ที่จวงเซินให้ความสำคัญที่สุดย่อมไม่ถูกเรียกใช้

ในตอนที่จวงเซินไปที่เขตมหานภากลาง คนที่เฝ้าเนินต้นจักรพรรดิบนเขาลีลาหงส์แทนเขา เป็นเผิงเฮ่อราชาอัคคีที่มีความสัมพันธ์แนบแน่นมากที่สุด

หลังจากตอนนั้น ตัวเหมาหยวนเซิงความจริงก็เก็บตัวเงียบมาโดยตลอด หงส์กู่ร้องแดนใต้ในอดีต บัดนี้จึงดูไม่สมกับฉายาอยู่บ้าง

ครั้งนี้เป็นเพราะจางซู่เหรินกับเผิงเฮ่อสิ้นชีวิต เหมาหยวนเซิงจึงค่อยกลับมาควบคุมสถานการณ์ใหญ่ที่เนินต้นจักรพรรดิ

ในฐานะยอดฝีมือที่เป็นรองเพียงจวงเซินแห่งเนินต้นจักรพรรดิ เหมาหยวนเซิงกลับสงบเสงี่ยมกว่าเดิม

“ตัดสินใจหรือ” จวงเซินปั้นสีหน้าเรียบเฉย ไม่มีอารมณ์ใด แต่ว่าจอมยุทธ์เนินต้นจักรพรรดิทุกคนที่อยู่รอบๆ ต่างรู้สึกได้ว่าโลกที่ตนอยู่คล้ายกับกำลังลุกไหม้ขึ้นมา

ตรงหน้ามีหงส์อมตะเพลิงตัวหนึ่งสบายปีกส่งเสียงกู่ร้อง แต่ว่ามีน้ำตาโลหิตไหลออกมาจากสองตา

ขณะมองภาพมายามของหงส์อมตะที่ร่ำไห้เป็นสายเลือดตรงหน้า ทุกคนก็เงียบเป็นเป่าสาก

ภาพมายาหายไป จวงเซินยังคงไม่แสดงสีหน้า คล้ายกับไม่มีความรู้สึกใดๆ ทั้งสิ้น แต่ทุกคนต่างทราบว่า เหตุการณ์ที่เหมือนกับภาพมายามเมื่อครู่ ความจริงแล้วเป็นการแสดงความคิดในก้นบึ้งหัวใจของจวงเซินออกมา

“เนินต้นจักรพรรดิของข้ามีคนสามสิบเจ็ดคนตายด้วยน้ำมือของโจรน้อยแซ่เยี่ยนนั่น”

จวงเซินผุดกายลุกขึ้น “ในนี้ยังมีจอมยุทธ์ศักดิ์สิทธิ์ขั้นสะพานเซียนระยะท้ายสองคน มีลูกศิษย์ที่ข้าภูมิใจที่สุด และมีผู้สืบทอดที่โดดเด่นทีสุดในกลุ่มคนหนุ่มสาวของสำนักเรา อีกทั้งมีบุตรชายของข้าด้วย”

เขามองเหมาหยวนเซิง “ถ้าคราครั้งนี้ข้าไปไม่กลับ ศิษย์น้องเหมาเจ้าจงรับตำแหน่งเจ้าสำนักต่อ”

เหมาหยวนเซิงก้มหน้า “ข้าขอติดตามศิษย์พี่ไปฝั่งตะวันออกเฉียงใต้ด้วย”

“เจ้าว่าอะไรนะ” จวงเซินขมวดคิ้วขาว “การสืบทอดของพรรคเราไม่อาจถูกตัด”

เหมาหยวนเซิงเงยหน้ามองไปยังจวงเซิน

จวงเซินว่า “ไม่ว่าพวกเสี่ยนเฉิงจะตายเพราะอะไร ความจริงก็คือตายบนเขารอบวง”

“ข้ากลับมาแล้ว แต่เฉาเจี๋ยก็กลับมาเช่นกัน ถ้าหากต่อสู้กันที่เขารอบวง ผลลัพธ์ก็คาดเดาลำบากยิ่ง”

เหมาหยวนเซิงเงียบงัน จากนั้นค่อยเอ่ยว่า “เช่นนั้นศิษย์พี่ไฉน…”

จวงเซินกล่าวอย่าเรียบเฉย “ในอดีตเพื่อแก้แค้นให้แก่ท่านอาจารย์ ข้าที่อยู่ในระดับจอมยุทธ์ศักดิ์สิทธิ์ขั้นเจ็ดจึงกล้าสู้กับศัตรูที่อยู่ในระดับจอมยุทธ์ศักดิ์สิทธิ์ขั้นเก้า”

“วันนี้ข้าควบคุมทิศใต้ หรือว่าท่องในยุทธภพนานเท่าไร ความกล้าก็ยิ่งน้อยลงเท่านั้นหรือ”

เหมาหยวนเซิงเงียบเสียง ครู่ต่อมาค่อยเอ่ยว่า “นี่คือเหตุผลที่ท่านคือ ‘หงส์ทะยานสวรรค์’ ส่วนข้าคือ ‘หงส์กู่ร้องแดนใต้’ หรือ”

“ข้าอาจจะตายเร็วกว่าเจ้า” จวงเซินเอ่ยอย่างเฉื่อยชา “ข้าแกร่งกว่าเจ้า แต่ก็มีคนแกร่งกว่าข้า”

“กระนั้นก็อย่าคิดว่าข้าถูกความโกรธครอบงำ ข้าใจเย็นยิ่งกว่าตอนไหนๆ เสียอีก”

“จ่ายราคาเพื่อแก้แค้นโดยไม่สนใจทุกสิ่ง ตอนแรกคือการแก้แค้น ต่อจากนั้นจึงเป็นการจ่ายราคาโดยไม่สนใจทุกสิ่ง”

พอได้ฟังคำพูดของจวงเซิน พวกเหมาหยวนเซิงที่เป็นจอมยุทธ์เนินต้นจักรพรรดิก็ฮึกเหิมเล็กน้อย

ในตอนนั้นเอง มิติด้านนอกเนินต้นจักรพรรดิก็สั่นไหวเหมือนกับระลอกน้ำ

เงาคนเงาหนึ่งเดินเข้ามา

การมาของเขาไม่ได้สร้างความตระหนกในให้แก่ใครบนเนินต้นจักรพรรดิ มีเพียงจวงเซินที่สัมผัสได้ “พี่หลางมาแล้ว จวงเซินขออภัยที่ต้อนรับได้ไม่ทั่วถึง”

“พี่หลาง? หลาง…” พวกเหมาหยวนเซิงได้ยินต่างงงงวย รู้สึกยินดี “ประมุขประจิมมาถึงแล้ว”

จวงเซินเอ่ยอย่างเรียบเฉย “ต่อให้ไม่มีเรื่องของพวกเจาฮุยและเสี่ยนเฉิง ข้าก็ได้เชิญให้พี่หลางมาเป็นแขกของเนินต้นจักรพรรดิ เพื่อวางแผนรับมือตะวันออกเฉียงใต้”

ขณะที่พูด บุรุษวัยกลางคนผู้หนึ่งก็เดินเข้ามา “พี่จวง เรื่องราวข้าได้ฟังมาแล้ว อย่าเศร้าไปเลย”

จอมยุทธ์เนินต้นจักรพรรดิเห็นเขา ก็พากันคารวะ “คำนับประมุขประจิม”

ผู้มาเยือนคือผู้ปกครองเขตกระฟ้าประจิม เจ้าสำนักเขาทุ่งวิจิตร หลางชิง

“ในเมื่อพี่หลางทราบแล้ว ข้าก็ไม่จำเป็นต้องกล่าวมากความ” จวงเซินว่า “ไม่ทราบว่าพี่หลางจะยินยอมช่วยเหลือข้าอีกแรงหรือไม่”

………………..

[1]สิ่งของอยู่มนุษย์ไม่ สำนวนจีน หมายถึง เมื่อเวลาผ่านไปสิ่งของยังเป็นสิ่งของ แต่คนเปลี่ยนแปลงไปไม่ใช่คนเดิมอีกแล้ว แสดงถึงเวลาที่ยาวนานมาก