เมื่อฉินอวี้โม่และคนอื่น ๆ เดินเข้ามา ภายในภัตตาคารมีลูกค้าคนอื่นเพียงไม่มากนัก และเมื่อครู่ก็มีสตรีสองคนที่เพิ่งก้าวเข้ามา
ทั้งสองบังเอิญได้ยินบทสนทนาของพวกนางพอดิบพอดีจึงเดินตรงมายังโต๊ะของฉินอวี้โม่และคนอื่น ๆ ด้วยสีหน้าที่เผยความรังเกียจอย่างชัดเจน
“หวังเผยยวี่ นี่เจ้าต้องการมีปัญหารึ ?!”
เจียงจิ้งลุกพรวดและกล่าวเสียงดังขณะจ้องหน้าสตรีผู้ที่กล่าววาจาเมื่อครู่
“เหอะ เจียงจิ้ง ข้าเพียงพูดความจริงเท่านั้น จากความสามารถของพวกเจ้า ต่อให้หาคนมาเพิ่มก็ไร้ประโยชน์ ความสามารถของพวกเจ้ายังห่างไกลไปจากกลุ่มของข้านักและความนิยมของพวกเจ้าก็เทียบกับศิษย์พี่ฉินเสี่ยวเยี่ยนไม่ได้ พวกเจ้าไม่มีทางชนะหรอก !”
สตรีนามว่า ‘หวังเผยยวี่’ แค่นเสียงเย็นชาและกล่าววาจาดูแคลน ทว่าเมื่อสังเกตเห็นฉินอวี้โม่และเหลิ่งซวงเสวี่ยที่นั่งอยู่ตรงกลาง นางก็ชะงักไปเล็กน้อย
นับตั้งแต่เดินเข้ามา นางไม่ทันสังเกตคนแปลกหน้าทั้งสองและคิดเพียงว่าพวกนางเป็นตัวช่วยที่เจียงจิ้งและสหายหามาร่วมกลุ่มเท่านั้น ทว่าเมื่อมองดูอย่างละเอียด หัวใจของนางก็เกิดความตื่นตระหนกขึ้นมาอย่างไม่ทราบสาเหตุ
ทั้งรูปลักษณ์ภายนอกและอากัปกิริยาของพวกนางล้วนน่าอัศจรรย์อย่างแท้จริง สิ่งที่สำคัญคือรูปลักษณ์ของทั้งสองก็ไม่ด้อยไปกว่าศิษย์พี่ฉินเสี่ยวเยี่ยนของนางแม้แต่น้อย
“เฮ้ พวกเจ้าทั้งสองคือศิษย์น้องที่เข้ามาใหม่สินะ ?”
นางพยายามสงบสติอารมณ์ขณะเอ่ยถามฉินอวี้โม่และเหลิ่งซวงเสวี่ย
อย่างไรก็ตาม ฉินอวี้โม่และเหลิ่งซวงเสวี่ยเมินหวังเผยยวี่ไปโดยตรงเนื่องจากไม่ต้องการเปลืองความสนใจไปกับคนหยาบคายเช่นนี้ ยิ่งไปกว่านั้น พวกนางสัมผัสได้ว่าเจียงจิ้งและคนอื่น ๆ ไม่ถูกชะตากับสตรีผู้นี้เท่าใดนัก ในเมื่อตอนนี้นางและกลุ่มของศิษย์พี่เหล่านี้เป็นมิตรสหายกันแล้ว พวกนางก็ไม่จำเป็นต้องสนใจหรือไว้หน้าอีกฝ่าย
“ข้ากำลังพูดกับเจ้าอยู่ นี่เจ้าหูหนวกหรืออย่างไร ?!”
เมื่อเห็นว่าตนถูกเมิน สีหน้าของหวังเผยยวี่ก็บิดเบี้ยวเหยเกทันที นางเป็นสมาชิกของกลุ่มที่คว้าอันดับหนึ่งในการแข่งขันของสตรีติดต่อกันหลายครา ทว่าศิษย์น้องหน้าใหม่ทั้งสองกลับอาจหาญถึงขั้นเมินเฉยนางอย่างไม่ไว้หน้า
“ศิษย์พี่ทั้งหลาย เมื่อครู่มีใครพูดอะไรกับเราหรือไม่เจ้าคะ ?”
ฉินอวี้โม่ยังคงเมินหวังเผยยวี่ต่อไปและหันไปเอ่ยถามเจียงจิ้งพร้อมรอยยิ้ม
“ไม่นะ ศิษย์น้องอวี้โม่คงจะหูฝาดไป เมื่อครู่มีเพียงแมลงหวี่แมลงวันบินผ่านมาเท่านั้นและอีกประเดี๋ยวก็คงจะบินผ่านไป ฮ่า ๆ ๆ อย่าสนใจเลย”
แน่นอนว่าเจียงจิ้งให้ความร่วมมือเป็นอย่างดี นางหัวเราะชอบใจและเปรียบหวังเผยยวี่เป็นดั่งเพียงแมลงวันที่ไม่ควรค่าแก่ความสนใจ
“โอ้ เป็นเช่นนั้นนี่เอง”
ฉินอวี้โม่พยักศีรษะ ในขณะที่หวังเผยยวี่ทำได้เพียงกระทืบเท้าด้วยความไม่พอใจ
“บัดซบเอ๊ย ! คอยดูเถอะ หากขลุกอยู่กับคนพวกนี้ สักวันเจ้าจะต้องเสียใจ !”
หวังเผยยวี่สบถและกล่าวทิ้งท้ายก่อนหันหลังเดินจากไป หากต้องต่อสู้กันที่นี่ นางทราบดีว่าเอาชนะคนเหล่านี้ไม่ได้อย่างแน่นอน มีเพียงการพึ่งพาความนิยมของฉินเสี่ยวเยี่ยนในการประกวดร้องเล่นเต้นรำเท่านั้นที่นางจะมีโอกาสเอาชนะสตรีเหล่านี้ หากเป็นการต่อสู้ในด้านพลังความแข็งแกร่ง แม้แต่ฉินเสี่ยวเยี่ยนก็เอาชนะเจียงจิ้งและสหายไม่ได้
“ศิษย์น้องอวี้โม่ ศิษย์น้องเหลิ่ง เจ้าทั้งสองไม่ต้องสนใจนางหรอก นางเป็นเพียงตัวตลกที่โดดเด่นขึ้นมาได้เพียงเพราะอยู่ในกลุ่มของฉินเสี่ยวเยี่ยนเท่านั้น หากเจ้าไม่ชอบนาง พวกเราจะสั่งสอนนางให้เอง”
เจียงฉากล่าวขึ้น แม้นางจะเป็นสตรีที่อ่อนโยนและดูใจเย็น นางก็ยังควบคุมอารมณ์ไม่ได้เมื่อเผชิญหน้ากับหวังเผยยวี่ซึ่งเป็นตัวตลกที่กระโดดโลดเต้นอยู่ตลอดเวลา
“ศิษย์น้องอวี้โม่ เราจะไม่ทำให้เจ้าลำบากใจ หากไม่ต้องการเข้าร่วมกลุ่มของเรา เราก็จะไม่บังคับเจ้า หากหมดหนทางจริง ๆ พวกเราก็จะไม่เข้าร่วมการแข่งขันในครานี้และปล่อยให้คนพวกนั้นประสบความสำเร็จไป อย่างไรก็ตาม รอให้ถึงการประชันฝีมือของหอชั้นในก่อนเถอะ ข้าจะจัดการพวกนางให้น่วมเลยคอยดู !”
เจียงจิ้งโบกกำปั้นไปมาและกล่าวอย่างจริงจัง ในเมื่อเอาชนะด้วยการร้องเพลงและเต้นรำไม่ได้ นางก็จะรอจนถึงการประชันฝีมือของหอชั้นใน เมื่อถึงตอนนั้น นางจะแสดงให้ทุกคนได้เห็นว่าพวกตนทรงพลังเพียงใด
“ศิษย์พี่ทั้งหลาย พวกเรายังไม่ได้ปฏิเสธเลยเจ้าค่ะ”
ฉินอวี้โม่คลี่ยิ้มและกล่าวด้วยวาจาที่ทำให้ทุกคนตื่นเต้นขึ้นมา
“ศิษย์พี่เหลิ่งและข้ากำลังจะตอบตกลง ทว่าถูกขัดจังหวะโดยแมลงวันที่บินผ่านมาเสียก่อน พวกเราไม่มีทางพลาดเรื่องสนุก ๆ เช่นนี้แน่นอนเจ้าค่ะ ครานี้อันดับหนึ่งในการแข่งขันจะต้องตกเป็นของกลุ่มพวกเรา !”
แววตาของฉินอวี้โม่เปี่ยมไปด้วยความมั่นใจ ไม่ว่าจะเป็นการร้องเล่นเต้นรำหรือการต่อสู้ประชันฝีมือ นางก็ไม่มีทางพ่ายแพ้ต่อคนเช่นหวังเผยยวี่ สำหรับตำแหน่งอันดับหนึ่งในครานี้ นางต้องการจะคว้ามันมาครองให้ได้ !
“ว้าว ! เยี่ยมไปเลย หากมีเจ้าทั้งสองเพิ่มมา กลุ่มของเราไม่แพ้แน่ !”
เจียงจิ้งและลั่วซือถึงขั้นกระโดดด้วยความตื่นเต้น หลี่ก่วนก่วนก็เกือบจะร้องไห้ออกมาในขณะที่เจียงฉาและลั่วฉิงดูสงบนิ่งกว่ามาก อย่างไรก็ตาม พวกนางก็รู้สึกตื่นเต้นไม่แพ้กัน
“วู้วว ! วู้ววว ! เยี่ยมไปเลย ! ในที่สุดข้าก็จะไม่ถูกคนพวกนั้นหยามหน้าอีกต่อไป การถูกตัวตลกเช่นนั้นเยาะเย้ยซ้ำแล้วซ้ำเล่าช่างเป็นเรื่องที่น่าอับอายยิ่งนัก”
เจียงจิ้งยังคงกล่าวด้วยความตื่นเต้นขณะนั่งลงและเกาะแขนฉินอวี้โม่พร้อมกับแสร้งทำหน้าบูดบึ้งออกมา
“ไม่ต้องห่วงเจ้าค่ะ ข้าจะคว้าอันดับหนึ่งมาให้กับทุกคน !”
ฉินอวี้โม่ยังคงเปี่ยมไปด้วยความมั่นใจไม่เปลี่ยนแปลง หากเป็นการแข่งขันในแง่ของพลังการต่อสู้ ตอนนี้นางก็ยังไม่มั่นใจเต็มร้อย อย่างไรก็ตาม สำหรับการประกวดร้องเล่นเต้นรำ คนเหล่านั้นจะเทียบชั้นกับนางได้อย่างไร….
น่าเสียดายที่ฉินอวี้โม่ไม่ทราบเลยว่าตัวนางกำลังประเมินสหายร่วมกลุ่มสูงจนเกินไป…
ครึ่งชั่วยามต่อมา ณ ห้องซ้อมการแสดง ฉินอวี้โม่มองดูบรรดาศิษย์พี่ที่กำลังแหกปากร้องเพลงกันอย่างเสียงหลงและต้องการหมดสติให้รู้แล้วรู้รอด
ใบหน้าของเหลิ่งซวงเสวี่ยก็ดูมืดมนเล็กน้อยเช่นกัน คิดไม่ถึงเลยว่าเจียงจิ้งและคนอื่น ๆ จะ…ย่ำแย่กันถึงเพียงนี้ !
“ศิษย์พี่ทั้งหลาย ข้าสงสัยใคร่รู้จริง ๆ ด้วยการร้องเพลงและการเต้นเช่นนี้ พวกท่านคว้าอันดับสองหรือสามมาได้อย่างไรกัน ?”
ฉินอวี้โม่อดไม่ได้ที่จะเอ่ยถามและรู้สึกสงสัยเกี่ยวกับเกณฑ์การให้คะแนนของการประกวดร้องเล่นเต้นรำนี้ เพราะจากการแสดงที่เห็นในตอนนี้ เจียงจิ้งและคนเหล่านี้คงจะใช้เส้นสายหรือใช้กลอุบายบางอย่าง มิฉะนั้นพวกนางจะต้องครองอันดับรั้งท้ายอย่างแน่นอน
“ศิษย์น้องทั้งสอง การแสดงของเราแย่ถึงเพียงนั้นเลยหรือ ?”
เจียงจิ้งและคนอื่น ๆ เดินตรงเข้ามาหาฉินอวี้โม่พลางกะพริบตาด้วยท่าทางที่น่าเห็นใจ พวกนางมั่นใจว่าแสดงผลงานที่ดีที่สุดออกมาแล้ว
“ไม่แย่หรอก เพียงแต่พวกเราไม่ทราบด้วยซ้ำว่าเมื่อครู่พวกท่านกำลังทำอะไรกัน !”
สีหน้าของฉินอวี้โม่จริงจังขึ้นมาทันที ในที่สุดนางก็เข้าใจแล้วว่าเหตุใดศิษย์พี่เหล่านี้จึงเอาชนะกลุ่มของฉินเสี่ยวเยี่ยนไม่ได้
รูปลักษณ์และเสน่ห์ของศิษย์พี่เหล่านี้ถือว่าอยู่ในเกณฑ์ที่ดีเยี่ยม หากแต่ปัญหาใหญ่คือการร้องเพลงและการเต้นรำของพวกนางนั่นเอง
เพลงที่สมาชิกทั้งห้าเตรียมไว้ถือว่าเป็นเพลงที่ยอมรับได้และเป็นเพลงที่สตรีหลายคนในดินแดนเคยได้ยินมาซึ่งก็คือ ‘จันทร์กระจ่างฟ้าจักมีในยามใด’ มันเป็นเพลงที่เต็มไปด้วยรูปแบบของความเก่าแก่โบราณซึ่งถ่ายทอดอารมณ์ของความโศกเศร้าและง่ายที่จะทำให้ผู้คนดื่มด่ำไปกับมัน เพียงแต่ระดับฝีมือการร้องเพลงของพวกนางก็สะเทือนทั้งใต้หล้าได้อย่างแท้จริง
แม้ด้วยน้ำเสียงที่อบอุ่นและนุ่มนวล ทว่าการร้องเพลงของเจียงฉาก็แทบจะทำให้จิตวิญญาณของฉินอวี้โม่หลุดออกมาจากร่าง เสียงของคนอื่น ๆ ก็มีลักษณะเฉพาะของตนเองเช่นกัน ไม่ว่าจะเป็นความหนักแน่น ความสง่างาม ความแหบพร่าและความเย็นชา พวกนางทั้งห้าที่รวมกลุ่มกันถือว่าเป็นปาฏิหาริย์ในตัวเอง ผู้ที่ร้องเพลงได้ไพเราะที่สุดก็คือเจียงจิ้ง อย่างไรก็ตาม การร้องเพลงของนางก็ยังขาดความเรียบลื่นและขาดเสน่ห์ที่พึงมี
สำหรับการเต้น มันเป็นสิ่งที่ดูไม่ได้ยิ่งกว่า พวกนางไม่ต่างจากกลุ่มหุ่นยนต์ที่ขยับร่างกายไปมาแม้แต่น้อย ฉินอวี้โม่มั่นใจได้เลยว่าการมองเด็กน้อยอายุห้าขวบกลิ้งตุ๊กตาตัวโปรดไปมาคงจะดูดียิ่งกว่าการเต้นรำของศิษย์พี่เหล่านี้เสียอีก
“อึก…แล้วพวกเราควรทำอย่างไรดี ?”
เจียงฉาและสหายทั้งสี่ตระหนักถึงปัญหาของพวกตนดี ทว่าไม่มีผู้ใดชำนาญในการแสดงเหล่านี้ ต่อให้ทราบถึงปัญหา พวกนางก็ไม่สามารถพัฒนาหรือเปลี่ยนแปลงสิ่งใดได้ เวลานี้ สายตาที่พวกนางจับจ้องไปยังฉินอวี้โม่จึงเปี่ยมไปด้วยความคาดหวัง