สายตาคาดหวังของทุกคนทำให้ฉินอวี้โม่ตระหนักถึงภาระอันหนักอึ้งที่ถาโถมเข้ามา ซึ่งเป็นปัญหาที่แก้ยากยิ่งกว่าการทะลวงพลังที่ผ่าน ๆ มาเสียอีก
เดิมทีนางคิดว่าการเข้าร่วมหอชั้นในจะหมายถึงการได้เก็บตัวและฝึกฝนอย่างเงียบ ๆ สักระยะ ทว่าตอนนี้เกรงว่านางจะไม่มีช่วงเวลาฝึกฝนด้วยซ้ำ ในช่วงหลายวันหลังจากนี้ นางจะต้องใช้เวลาไปกับการช่วยเจียงจิ้งและคนอื่น ๆ ฝึกซ้อมจนกระทั่งกลายเป็นกลุ่มศิลปินสตรีที่ทำการแสดงได้อย่างสมบูรณ์แบบ ก่อนที่จะถึงตอนนั้น ตัวนางจะไม่มีเวลาบ่มเพาะฝึกวิชาดังที่จินตนาการไว้
“ทุกคนนั่งลงก่อนเถอะ”
ฉินอวี้โม่กล่าวและผายมือเชิญทุกคนให้นั่งลง ภารกิจแรกคือการฟังเสียงของแต่ละคนและแบ่งเนื้อร้องตามความเหมาะสม
ทุกคนก็นั่งลงและประพฤติตัวเป็นอย่างดี ราวกับพบอาจารย์ที่เหมาะสมแล้ว
“ข้าได้ฟังศิษย์พี่ทุกคนร้องเพลงแล้ว ตอนนี้เรามาแบ่งเนื้อร้องกันก่อนเถอะ”
ฉินอวี้โม่มองดูเนื้อเพลงของ ‘จันทร์กระจ่างฟ้าจักมีในยามใด’ ในมือและตัดสินใจหารือกับทุกคนก่อน
เจียงฉาและทุกคนก็ไม่คัดค้านขณะรอการมอบหมายจากฉินอวี้โม่อย่างเงียบ ๆ
“ข้าคิดว่าเราจะขับร้องเพลงจันทร์กระจ่างฟ้าจักมีในยามใดแบบธรรมดาไม่ได้ ข้าอยากจะเพิ่มความพิเศษสักหน่อย ศิษย์พี่เจียงฉา…ท่านรับหน้าที่บรรเลงนำเพื่อปูพื้นฐานทำนองเพลงก่อนก็แล้วกัน”
ฉินอวี้โม่เริ่มแบ่งเนื้อร้องตามท่อนต่าง ๆ ตามที่นางคิดว่าเหมาะสมที่สุด ภายในเวลาสิบห้าวันนี้ การที่จะขัดเกลาฝีมือการร้องและการเต้นของทุกคนใหม่เป็นเรื่องที่ยากเย็นเกินไป เพราะเหตุนั้นนางจึงเลือกใช้วิธีการที่เรียบง่ายที่สุด สำหรับเจียงฉาที่ไม่เหมาะสำหรับการร้องเพลงนัก ฉินอวี้โม่ก็สามารถหาสิ่งที่เหมาะสมให้กับนางได้นั่นคือการขับร้องประสานเสียงซึ่งเชื่อว่าเสียงของนางคงจะควบคุมได้
เจียงฉาเข้าใจความหมายของฉินอวี้โม่ทันทีและลองเอื้อนเสียงด้วยรูปแบบที่สนุกสนานซึ่งเป็นสิ่งที่นางรู้สึกตื่นเต้นและชื่นชอบเป็นอย่างมาก
“ศิษย์พี่เจียงจิ้ง เสียงของท่านฟังดูองอาจห้าวหาญและเหมาะสำหรับท่อนแรก เพราะฉะนั้น เนื้อร้องสองประโยคแรกจะเป็นหน้าที่ของท่าน”
ฉินอวี้โม่หันไปหาเจียงจิ้งและมอบหมายท่อน ‘จันทร์กระจ่างฟ้าจักมีในยามใด ยกจอกสุราขึ้นถามต่อฟ้า มิอาจรู้ ว่าวิมานบนสรวงสวรรค์ ณ ยามนี้เป็นปีไหน’ ให้กับนาง
เจียงจิ้งพยักศีรษะด้วยความตื่นเต้นทันที คำร้องเหล่านี้เป็นท่อนที่นางขับร้องได้ดีที่สุด นางจึงมั่นใจว่าจะไม่มีปัญหาใด
ฉินอวี้โม่แบ่งเนื้อร้องในท่อนอื่น ๆ ให้กับทุกคน ทว่ายังไม่มีท่อนใดสำหรับตนเอง
“ศิษย์น้องอวี้โม่ แล้วเจ้าจะร้องท่อนใดหรือ ?”
สายตาของทุกคนเลื่อนไปที่ฉินอวี้โม่และต้องการทราบว่านางเตรียมสิ่งใดไว้ให้กับตนเอง
“อีกไม่นานทุกท่านก็จะได้ทราบเอง”
ฉินอวี้โม่ยกยิ้มมุมปากและกล่าวกระตุ้นความสงสัยใคร่รู้ของทุกคน ทว่าเจียงจิ้งและคนอื่น ๆ ไม่เข้าใจความหมายของนางเท่าใดนัก…
เจียงจิ้งและสหายไม่กล่าวสิ่งใดมากนักขณะเริ่มฝึกซ้อมท่อนร้องที่ได้รับมอบหมาย ฉินอวี้โม่ก็ช่วยพวกนางปรับทำนองเสียงอีกครั้งจนดูเป็นมืออาชีพมากยิ่งขึ้น
ภายในคฤหาสน์เฟิงหัว บรรดาอสูรมายามองดูฉินอวี้โม่ที่จัดสรรการร้องเพลงได้อย่างเป็นมืออาชีพด้วยความฉงนสงสัย ในความทรงจำที่ผ่านมา ดูเหมือนว่าผู้เป็นนายของพวกมันจะไม่เคยศึกษาศาสตร์เหล่านี้ แล้วเหตุใดนางจึงดูเป็นมืออาชีพยิ่งนัก ?
แน่นอนว่าฉินอวี้โม่ไม่อธิบายสิ่งใดและนึกถึงยุคที่ตนจากมา ในช่วงเวลานั้น นางมักจะจับจองไมค์ในการร้องคาราโอเกะและไม่ยอมวางจนถูกสหายที่มีเพียงน้อยนิดตำหนิต่อว่าอยู่เรื่อย ในภายหลัง นางก็ฝึกฝนจนชำนาญในด้านการร้องเพลงจนจัดอยู่ในระดับกึ่งมืออาชีพและมีความสามารถเช่นที่เห็นในตอนนี้
หลังจากจัดแบ่งเนื้อร้องและปรับทำนอง ทุกคนก็เริ่มฝึกซ้อมร่วมกัน พวกนางใช้เวลาตลอดช่วงบ่ายในการฝึกซ้อมกันและเริ่มประสานเสียงกันถึงระดับที่ไม่ทำให้ผู้ฟังปวดหัวอีกต่อไปซึ่งถือว่าประสบความสำเร็จมากทีเดียว
“ข้าไม่เคยคิดเลยว่าจะสามารถร้องเพลงเช่นนี้ได้”
เจียงฉาและคนอื่น ๆมองฉินอวี้โม่ด้วยแววตาชื่นชมยิ่งกว่าเดิมราวกับได้พบอาจารย์สอนร้องเพลงที่สมบูรณ์แบบและเคารพนางมากขึ้นเรื่อย ๆ
ฉินอวี้โม่เพียงยิ้มตอบพวกนางก่อนที่ทุกคนจะมุ่งหน้ากลับไปยังหอพักอย่างมีความสุข
ภายในหอพักสตรี เจียงฉาและทุกคนชวนฉินอวี้โม่และเหลิ่งซวงเสวี่ยไปที่ห้องพักของตนเพื่อรับประทานหม้อไฟร่วมกันท่ามกลางบรรยากาศที่รื่นเริง
ระหว่างที่พวกนางพูดคุยกันอย่างสบาย ๆ เสียงเคาะประตูก็ดังขึ้น
หลังจากเปิดประตูออกไป ทุกคนก็พบกับหวังเผยยวี่ผู้ซึ่งเคยประจันหน้ากันก่อนหน้านี้ ด้านหน้าของนางคือสตรีงามนางหนึ่งที่ดูมีอายุอยู่ในช่วงยี่สิบห้าถึงยี่สิบหกปีซึ่งสวมอาภรณ์ยาวสีขาวที่แผ่กลิ่นอายของเทพเซียนออกมาเล็กน้อย นางคือฉินเสี่ยวเยี่ยน—สตรีงามอันดับหนึ่งของหอชั้นในภายในนิกายหมื่นกระบี่นั่นเอง
“เจ้าทั้งสองคือศิษย์น้องที่เข้ามาใหม่สินะ”
ฉินเสี่ยวเยี่ยนไม่แสดงท่าทีเป็นปฏิปักษ์ใด ๆ ต่อฉินอวี้โม่และเหลิ่งซวงเสวี่ย นางเพียงยิ้มให้กับทั้งสองและกล่าวด้วยน้ำเสียงไพเราะน่าฟัง
“ข้าคือฉินเสี่ยวเยี่ยนและถือเป็นศิษย์พี่ของเจ้าทั้งสอง ในอนาคตหากพวกเจ้าเผชิญกับปัญหาใดในหอชั้นใน พวกเจ้าก็มาหาข้าได้ทุกเมื่อ”
นางกล่าวแนะนำตัวเองอย่างเป็นมิตรและดูเข้าถึงได้ไม่ยาก
ฉินอวี้โม่ลุกขึ้นและแนะนำตัวเองเช่นกัน ในเมื่อฉินเสี่ยวเยี่ยนผู้นี้ไม่แสดงความเป็นปฏิปักษ์ใด ๆ นางก็ไม่จำเป็นต้องเสียมารยาทต่ออีกฝ่าย
“เผยยวี่ สำหรับสิ่งที่เกิดขึ้นในภัตตาคารวันนี้ ข้าได้ยินเรื่องราวจากหลูเยี่ยนแล้ว เจ้าควรขอโทษศิษย์น้องทั้งสอง ถึงอย่างไรเจ้าก็เป็นคนที่เข้าไปก่อกวนศิษย์น้องทั้งสองก่อน”
ฉินเสี่ยวเยี่ยนหันไปกล่าวกับหวังเผยยวี่เพื่อให้นางขอโทษขอโพยฉินอวี้โม่สำหรับสิ่งที่เกิดขึ้นก่อนหน้านี้
“ข้าขอโทษ…”
หวังเผยยวี่ไม่เต็มใจนัก อย่างไรก็ตาม นางไม่กล้าขัดคำสั่งของฉินเสี่ยวเยี่ยนและจำต้องเอ่ยออกไปอย่างห้วน ๆ
“ศิษย์พี่สุภาพเกินไปแล้ว มันเป็นเพียงเรื่องเล็ก ๆ น้อย ๆ เท่านั้นและไม่ต้องเก็บมาคิดหรอกเจ้าค่ะ”
ฉินอวี้โม่ก็ให้เกียรติฉินเสี่ยวเยี่ยนพอสมควร เห็นได้ชัดว่าสตรีผู้นี้แตกต่างไปจากเฉินหว่านเอ๋อร์ในหอชั้นนอก เฉินหว่านเอ๋อร์เป็นสตรีดอกบัวขาวที่หน้าซื่อใจคด แต่สำหรับฉินเสี่ยวเยี่ยนผู้นี้นั้นเห็นได้ชัดว่านางไม่สนใจสิ่งใดมากนักและเพียงแสดงออกตามที่คิด
“ฉินเสี่ยวเยี่ยน อยากจะกินหม้อไฟกับพวกเราหรือไม่ ?”
เจียงจิ้งเอ่ยชวนและไม่แสดงความเป็นปฏิปักษ์ต่อฉินเสี่ยวเยี่ยนเช่นกัน นอกเหนือจากหวังเผยยวี่ที่มักจะหาเรื่องมากวนใจ ความสัมพันธ์ของศิษย์ในส่วนใหญ่ก็ถือว่าอยู่ในระดับที่ดี แม้แต่ฉินเสี่ยวเยี่ยนที่อยู่กลุ่มเดียวกับหวังเผยยวี่ พวกนางก็เป็นอันหนึ่งอันเดียวกันกับศิษย์คนอื่น ๆ เมื่อเกิดเรื่องกับโลกภายนอก
“ไม่ดีกว่า ข้าเพียงได้ยินว่าศิษย์น้องที่เข้ามาใหม่สองคนอยู่ที่นี่จึงอยากจะมาทักทายเท่านั้น พวกเจ้าเชิญกินต่อไปเถอะ เราจะไม่รบกวนแล้ว”
แม้ไม่มีความบาดหมางและมีความสัมพันธ์ที่ปกติต่อกัน การนั่งรับประทานอาหารร่วมกันก็เป็นสิ่งที่ดูจะสนิทสนมกันมากเกินไป เพราะเหตุนั้น ฉินเสี่ยวเยี่ยนจึงกล่าวปฏิเสธออกไปโดยตรง
“ถ้าเช่นนั้นก็เชิญเถอะ แต่ขอบอกไว้เลยว่าในอีกสิบห้าวันข้างหน้า เราจะทำให้พวกเจ้าต้องตกใจแน่ !”
ลั่วซืออดกล่าวออกไปไม่ได้
“ตกลง เราจะรอดู”
ฉินเสี่ยวเยี่ยนกล่าวตอบพร้อมรอยยิ้มก่อนหันหลังจากไปพร้อมกับหวังเผยยวี่และคนอื่น ๆ
ฉินอวี้โม่และทุกคนก็กลับเข้าไปในห้องพักและรับประทานหม้อไฟกันต่อไป
“ศิษย์น้องอวี้โม่ แม้พวกเราศิษย์ในจะมีเรื่องขัดแย้งหรือดวลฝีมือกันเป็นครั้งคราว เราก็มีหลักปฏิบัติที่สำคัญนั่นคือเราจะสามารถรังแกกันเองได้เท่านั้น และคนอื่น ๆ ไม่มีสิทธิ์มารังแกเรา ต่อให้เป็นศิษย์บุรุษก็ตาม เพราะเหตุนั้น แม้เราจะมีความสัมพันธ์เชิงคู่แข่งกับฉินเสี่ยวเยี่ยน แต่ความสัมพันธ์ระหว่างพวกเราก็ถือว่าไม่เลวร้าย”
เจียงฉาและสหายอธิบายกับฉินอวี้โม่อย่างละเอียดเพื่อให้พวกนางจดจำเรื่องนี้ไว้สำหรับอนาคตข้างหน้า
“เราเข้าใจแล้ว”
ฉินอวี้โม่และเหลิ่งซวงเสวี่ยพยักศีรษะและรู้สึกพึงพอใจกับการที่ศิษย์สตรีของหอชั้นในเข้ากันได้ดี
“อีกอย่าง…ตอนนี้กลุ่มของเราเป็นกลุ่มเจ็ดคนแล้วและใช้ชื่อเดิมไม่ได้อีกต่อไป เราคิดชื่อกลุ่มใหม่กันเถอะ”
หลี่ก่วนก่วนซึ่งนิ่งเงียบอยู่นานกล่าวถึงสิ่งที่ถือว่าสำคัญเป็นอย่างมาก
“ชื่อเดิมของพวกท่านคืออะไรหรือ ?”
ฉินอวี้โม่เอ่ยถามด้วยความใคร่รู้ พิจารณาจากลักษณะนิสัยของเจียงฉาและสหายทั้งสี่ เชื่อว่าชื่อกลุ่มของพวกนางจะไม่ทำให้นาง ‘ผิดหวัง’ อย่างแน่นอน !