เมื่อได้ยินฉินอวี้โม่เอ่ยถามถึงชื่อกลุ่มเดิม เจียงจิ้งและทุกคนก็มีท่าทีตื่นเต้นขึ้นมา
“ศิษย์น้องทั้งสอง จงฟังให้ดีล่ะ พวกเจ้าจะต้องรู้สึกชื่นชมเทิดทูนขึ้นมาเมื่อได้ยินชื่อเดิมของกลุ่มเรา”
หลี่ก่วนก่วนกระแอมเล็กน้อยและกล่าวต่อด้วยน้ำเสียงที่ชัดถ้อยชัดคำ “ชื่อกลุ่มห้าคนของเราคือ…”
“ข้าขอพูด ข้าจะพูดเอง !”
ลั่วซือเอามือปิดปากหลี่ก่วนก่วนอย่างรวดเร็ว สำหรับเรื่องสำคัญเช่นนี้ แน่นอนว่านางต้องการนำเสนอด้วยตัวเองและมีสีหน้าที่จริงจังอย่างเห็นได้ชัด
“ชื่อของเราคือ…ห้าราชินีบุปผา !”
ลั่วซือแสดงสีหน้าที่จริงจังมากยิ่งขึ้น ทว่าก่อนที่นางจะมีโอกาสกล่าวออกมา เจียงฉากลับแทรกขึ้นมาอย่างกะทันหันและเปิดเผยชื่อกลุ่มตัดหน้านางเสียก่อน
“…”
ฉินอวี้โม่และเหลิ่งซวงเสวี่ยถึงขั้นพูดไม่ออกไปชั่วขณะ
ต้องยอมรับว่าห้าราชินีบุปผาเป็นชื่อที่โดดเด่นและมีเอกลักษณ์เป็นอย่างมาก ต่อให้จะเคยได้ยินเพียงครั้งเดียว ทุกคนก็ไม่มีทางที่จะลืมเลือนชื่อนี้ไปได้
“เป็นอย่างไรเล่า ? เจ้าทั้งสองชื่นชมความสามารถในการตั้งชื่อของเราหรือไม่ ? นี่คือชื่อที่เราทั้งห้าคนคิดค้นขึ้นมาหลังจากหารือกันนานสามวันเชียวล่ะ”
เจียงจิ้งกล่าวกับฉินอวี้โม่ด้วยสีหน้าที่มั่นอกมั่นใจอย่างเต็มเปี่ยม ราวกับกำลังรอคำชมเชย
“มันเป็นชื่อที่จดจำได้ง่ายจริง ๆ”
ฉินอวี้โม่ไตร่ตรองครู่หนึ่งเพื่อสรรหาคำตอบที่เหมาะสมที่สุด เดิมทีนางคิดว่าด้วยระดับของเจียงฉาและคนเหล่านี้ พวกนางควรจะใช้ชื่ออย่างห้าบุปผาทองคำหรือชื่อในทำนองนั้น คิดไม่ถึงเลยว่าชื่อที่พวกนางเลือกใช้จะโดดเด่นและลืมไม่ลงยิ่งกว่าที่คิดไว้เสียอีก พวกนางถึงขั้นเรียกตนเองว่าเป็นราชินีบุปผา
“แล้วกลุ่มของฉินเสี่ยวเยี่ยนใช้ชื่อว่าอย่างไรหรือ ?”
นางเปลี่ยนประเด็นสนทนาและสงสัยใคร่รู้เกี่ยวกับชื่อกลุ่มของฉินเสี่ยวเยี่ยนผู้ซึ่งดูอ่อนโยนและจิตใจดีผู้นั้น
“ดูเหมือนจะเป็นนกจีจิวขันร้องเรียกหาคู่ มันเป็นชื่อที่เข้าใจยากจริง ๆ”
เจียงจิ้งครุ่นคิดครู่หนึ่งก่อนเปิดเผยชื่อกลุ่มของฉินเสี่ยวเยี่ยนออกมา
ในความเป็นจริง ชื่อกลุ่มของฉินเสี่ยวเยี่ยนก็เรียบง่ายและไม่ซับซ้อน พวกนางเลือกใช้ประโยคจากบทกวีในตำราซึ่งเป็นบทกวีที่ติดหูยิ่งนัก ทุกคนที่เคยอ่านตำรามาบ้างล้วนทราบถึงต้นกำเนิดของชื่อนี้
นกจีจิวขันร้องเรียกหาคู่, อยู่บนเกาะแก่งกลางแม่น้ำ
สาวงามแสนดีเอย, เจ้าเป็นที่หมายปองของชายหนุ่ม…
*มาจากบทกวีจีน “นกจีจิวขันคู”
ต้องยอมรับว่าฉินเสี่ยวเยี่ยนผู้นั้นดูจะน่าสนใจไม่น้อย
“เอาล่ะ ในเมื่อใช้ชื่อเก่ากันไม่ได้อีกแล้ว เราก็คิดหาชื่อใหม่กันเถอะ”
ถึงอย่างไรตอนนี้พวกนางก็มีสมาชิกถึงเจ็ดคน เพราะเหตุนั้น ชื่อเดิมอย่างห้าราชินีบุปผาจึงไม่เหมาะสมอีกต่อไปและควรเปลี่ยนแปลงชื่อใหม่
“หรือเราจะเปลี่ยนเป็นเจ็ดราชินีบุปผาหรือเจ็ดบุปผาทองคำดี ?”
หลี่ก่วนก่วนและลั่วซือถกเถียงกันครู่หนึ่ง ทว่าเมื่อได้ยินว่าต้องคิดค้นชื่อกลุ่มใหม่ พวกนางก็กลับมาเข้าร่วมบทสนทนาอีกครา
“เลือกคำหนึ่งมาจากชื่อของเราทุกคนก็แล้วกัน”
แม้ใช้เวลาเป็นครู่ใหญ่ ฉินอวี้โม่เองก็ไม่อาจคิดหาชื่อที่ไพเราะหรือน่าสนใจได้ นางจึงตัดสินใจเลือกใช้หนึ่งคำจากชื่อแซ่ของทุกคนก่อนนำมารวมกันและดูว่าจะคิดค้นชื่อใหม่อย่างไรต่อ
แน่นอนว่าทุกคนไม่คัดค้านและร่วมกันคิดชื่ออย่างจริงจัง
ทุกคนพิจารณาและเลือกคำหนึ่งอย่างรวดเร็ว สุดท้ายคำที่ได้ออกมาก็ได้แก่ อวี้ ฉา ซือ จิ้ง ฉิง ซวงและก่วน
“ก่วนฉิงซืออวี้จิ้งซวงฉา…ข้าคิดว่าชื่อนี้ฟังดูเข้าท่าดี”
“ฟังดูเหมือนบทกวีและน้ำชาสักอย่าง ทว่ามันก็ฟังดูไพเราะทีเดียว”
ลั่วซือเอามือเท้าคางและเน้นย้ำชื่อกลุ่มใหม่ซ้ำ ๆ หลายคราพลางคิดว่ามันเป็นชื่อที่ไพเราะพอสมควร สำหรับผู้ที่รู้จักพวกนางก็จะคาดเดาได้ไม่ยากว่าชื่อกลุ่มใหม่มาจากคำหนึ่งจากชื่อของสมาชิกทั้งเจ็ด ทว่าหากไม่รู้จักกัน มันก็จะแปลออกเป็นบทกวีและน้ำชา
การตั้งชื่อกลุ่มสตรีอย่างบทกวีและน้ำชาถือว่าเป็นชื่อที่น่าสนใจไม่น้อย
ทุกคนพยักศีรษะแสดงความเห็นด้วยและปรารถนาที่จะวิ่งออกไปป่าวประกาศให้ทุกคนได้ทราบถึงชื่อกลุ่มใหม่ของพวกตนโดยเร็วที่สุด
“กลุ่มของเราได้ชื่อใหม่แล้ว พรุ่งนี้ทุกคนต้องฝึกซ้อมเนื้อร้องของตนเองอีกหนึ่งวันและเราจะเริ่มฝึกซ้อมการเต้นรำประกอบเนื้อร้องในวันมะรืน”
ฉินอวี้โม่ยังต้องพิจารณาถึงการร่ายรำที่เหมาะสมสำหรับบทเพลงจันทร์กระจ่างฟ้าจักมีในยามใด บทเพลงที่ถูกปรับแต่งมานี้เต็มไปด้วยเสน่ห์ในแบบโบราณ เพราะฉะนั้นการเต้นรำที่สง่างามและสงวนตัวจึงถือว่าเหมาะสมที่สุด
หลังจากรับประทานหม้อไฟเสร็จสิ้น ทุกคนก็แยกย้ายกันไปพักผ่อน และเช้าตรู่ของวันต่อมา พวกนางก็รวมตัวกันในห้องซ้อมอย่างพร้อมหน้า
วันนี้ยังคงเป็นการฝึกซ้อมร้องเพลง ทว่าช่วงเวลาอันน่าเบื่อหน่ายก็ผ่านไปอย่างรวดเร็ว
หลังจากปรับเนื้อร้องให้เหมาะสมกับเอกลักษณ์ของตนเอง ทุกคนก็สามารถร้องเพลงได้อย่างราบรื่นยิ่งขึ้น อย่างไรก็ตาม ขั้นตอนต่อไปคือการฝึกเต้นรำซึ่งถือเป็นปัญหาใหญ่สำหรับเจียงฉาและสหายทั้งสี่อย่างมาก
แม้ยังไม่ได้เห็นการเต้นรำอย่างจริงจังเต็มรูปแบบของศิษย์พี่ทั้งห้า เพียงพิจารณาจากทักษะการร้องเพลงและการเต้นรำสั้น ๆ ก่อนหน้านี้ ฉินอวี้โม่ก็พอจะจินตนาการฝีมือการเต้นรำของพวกนางได้ เกรงว่ามันคงไม่ต่างจากหุ่นยนต์ที่ขยับเขยื้อนร่างกายไปมาด้วยความมั่นใจที่เต็มเปี่ยม
เป็นจริงดังที่คิดไว้ เจียงจิ้งและคนอื่น ๆ สร้างความตกตะลึงให้กับฉินอวี้โม่ในเช้าตรู่ของวันที่สาม
พวกนางไม่มีทักษะการเต้นรำที่พึงมีแม้แต่น้อย อย่างไรก็ตาม หากเป็นศิลปะการต่อสู้ สตรีเหล่านี้ก็ทรงพลังยิ่งกว่าผู้ใด ยิ่งไปกว่านั้น ในอดีตที่ผ่านมา เมื่อเข้าร่วมการแข่งขันของศิษย์สตรี ทั้งห้าก็มักจะเต้นรำออกท่าทางตามความพอใจของตนเองและเคลื่อนไหวตามสิ่งที่ตนเองต้องการ
ฉินอวี้โม่แทบจะมั่นใจแล้วว่าศิษย์พี่เหล่านี้จะต้องมีเส้นสายอยู่ภายในเป็นแน่ มิฉะนั้น ด้วยการแสดงของพวกนาง พวกนางจะอยู่ในสามอันดับแรกของการประกวดได้อย่างไร ?
นางทำได้เพียงกุมขมับอย่างจนปัญญา การสอนให้เจียงจิ้งและทุกคนเต้นรำได้อย่างชำนาญและงดงามนั้นยากยิ่งกว่าการสอนให้ชำนาญด้านศิลปะการต่อสู้เสียอีก
สิ่งเดียวที่ทำให้ฉินอวี้โม่พอจะโล่งใจได้ก็คือเหลิ่งซวงเสวี่ยมีฝีมือและความเข้าใจในการเต้นรำที่อยู่ในระดับลึกซึ้ง นางเข้าใจความหมายของฉินอวี้โม่ได้ทันทีที่กล่าวออกไปและสามารถวิเคราะห์ท่วงท่าต่าง ๆ ได้อย่างชาญฉลาด
ฉินอวี้โม่และเหลิ่งซวงเสวี่ยตัดสินใจในรูปแบบของการเต้นรำที่จะใช้ทำการแสดงได้ตั้งแต่วันแรก และในสิบวันต่อมา นางและฉินอวี้โม่ก็ร่วมมือกันสอนท่วงท่าการร่ายรำเหล่านั้นให้กับเจียงจิ้งและสหายอย่างราบรื่น
การฝึกซ้อมผ่านไปอย่างรวดเร็วและภายในชั่วพริบตา มันก็มาถึงวันก่อนการประกวดของเหล่าศิษย์สตรี
ในวันนี้ ฉินอวี้โม่และคนอื่น ๆ รวมตัวกันในภัตตาคารเพื่อผ่อนคลายจากการฝึกซ้อมอย่างหนักมานานหลายวัน
“สวรรค์ สิบกว่าวันที่ผ่านมานี้ช่างเป็นช่วงเวลาที่เหน็ดเหนื่อยจริง ๆ มันเหนื่อยยิ่งกว่าการออกไปฝึกฝนและฆ่าอสูรมายานับร้อยตัวเสียอีก”
ขณะนั่งอยู่ภายในภัตตาคาร ลั่วซือบ่นพึมพำทว่าใบหน้าประดับด้วยรอยยิ้ม
แม้เป็นช่วงเวลาที่เหนื่อยล้าอย่างมาก ทว่าการฝึกซ้อมหลายวันที่ผ่านมาก็ให้ผลลัพธ์ที่น่าพอใจ เวลานี้ ทักษะการแสดงของพวกนางพัฒนาขึ้นมากและมีโอกาสคว้าชัยชนะในการประกวดครานี้ !
“ก็แค่การเต้นรำของเด็ก ๆ มันจะเหนื่อยได้สักเพียงใดกัน ?”
น้ำเสียงเหน็บแนมดังขึ้นในหูของฉินอวี้โม่ และต้นเสียงก็คือหวังเผยยวี่ที่มักยั่วยุพวกนางราวกับไม่มีสิ่งใดต้องทำนั่นเอง
นอกเหนือจากหวังเผยยวี่ ฉินเสี่ยวเยี่ยนและสมาชิกในกลุ่มของนางก็ล้วนอยู่ที่นี่อย่างพร้อมหน้า
อย่างไรก็ตาม เมื่อได้ยินวาจาของหวังเผยยวี่ ฉินเสี่ยวเยี่ยนก็ขมวดคิ้วมุ่นทันที
“เผยยวี่ ไม่ช้าก็เร็วเจ้าจะต้องเผชิญกับเคราะห์ร้ายเพราะปากของตัวเอง”
ฉินเสี่ยวเยี่ยนกล่าวอย่างจนปัญญา แม้ทราบดีว่าหวังเผยยวี่ไม่มีเจตนาร้าย ทว่าวาจาของนางก็เกินควบคุมและมักกล่าวสิ่งที่ไม่น่าฟังออกมาเป็นประจำ
“ศิษย์น้องทั้งหลาย การฝึกซ้อมของพวกเจ้าเป็นอย่างไรบ้าง ?”
ฉินเสี่ยวเยี่ยนก้าวเข้ามาขณะเอ่ยถามพร้อมรอยยิ้มและไม่แสดงความเป็นปฏิปักษ์ใด
“สบายมาก ผู้ที่รับชมจะไม่มีทางผิดหวังอย่างแน่นอน กลุ่มของเจ้าเตรียมพบกับความพ่ายแพ้ได้เลย”
เจียงฉาซึ่งกำลังรับประทานอาหารอย่างเอร็ดอร่อยกล่าวตอบด้วยความมั่นใจที่เต็มเปี่ยม
ฉินเสี่ยวเยี่ยนมองฉินอวี้โม่และเหลิ่งซวงเสวี่ยด้วยแววตาพินิจพิจารณา นางสัมผัสได้ว่าสถานการณ์ของเจียงฉาและสหายทั้งสี่แตกต่างไปจากเดิมอย่างสิ้นเชิง และการเปลี่ยนแปลงทั้งหมดที่เกิดขึ้นนี้ก็คงจะเป็นเพราะฝีมือของศิษย์น้องทั้งสองคนนี้ นางมิอาจคาดเดาได้เลยว่ากลุ่มคนทั้งเจ็ดจะสร้างความประหลาดใจเพียงใดในการประกวดที่กำลังจะมาถึง
“เอาล่ะ ข้าจะรอดู”
ฉินเสี่ยวเยี่ยนคลี่ยิ้มและกล่าวด้วยความคาดหวัง