สังหารอย่างดุเดือดในการโจมตีเดียว!

ภาพคาวเลือดนั่นมีแรงจู่โจมอันรุนแรงอย่างหนึ่ง

ชายหนุ่มชุดทองที่ถูกฆ่านามว่าถังลวี่ เป็นราชันระดับมกุฎเช่นกัน แต่ตอนนี้แม้แต่หมัดเดียวยังต้านไม่อยู่ สิ้นชีพ ร ที่นั้น

ฝนเลือดสาดกระเซ็น หลินสวินยืนอยู่บนเมฆมงคลสีเลือดที่เดิมถังลวี่เคยยืน นัยน์ตาดำเย็นเยียบ ท่าทางนิ่งเฉยไม่แยแส

เพียงแต่สายตาที่ทุกคนมองเขาอีกครั้งได้เปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิงแล้ว

นี่เป็นพวกร้ายกาจคนหนึ่ง!

ผู้แข็งแกร่งที่อยู่บริเวณใกล้ๆ หลินสวิน ถึงขั้นระมัดระวังและเตรียมพร้อมขึ้นมาอย่างไม่รู้ตัว ราวกับเผชิญศัตรูที่แข็งแกร่ง

“เทพมารหลิน!”

และตอนนี้เองมีคนจำฐานะของหลินสวินได้ พลันทำให้เกิดความฮือฮาขึ้นในที่นั้น

หลายคนต่างเผยสีหน้าเข้าใจได้ในทันที มิน่าถึงกล้าแข็งกร้าวเช่นนี้ ที่แท้ก็เป็นคนร้ายกาจที่กำเริบเสิบสานไม่สนฟ้าดินในคำเล่าลือ

ผู้แข็งแกร่งส่วนใหญ่ในที่นั้นล้วนไม่เคยเห็นหลินสวิน แต่สิ่งนี้ก็ไม่ได้ขัดขวางความเข้าใจในคำว่า ‘เทพมารหลิน’ สามคำนี้ของพวกเขา

ชั่วขณะเดียวแม้แต่บุคคลชั้นยอดบางส่วนในที่นั้นก็เริ่มให้ความสนใจและความสำคัญ ไม่กล้ามองว่าหลินสวินเป็นคนผ่านทางแล้ว

ส่วนพวกเซวียเป่าจี ทั่วป๋าหุนต่างอึ้งงัน ตาค้างไปแล้ว

แน่นอนว่าพวกเขาเองก็รู้จักเทพมารหลิน แต่คิดไม่ถึงว่าคู่ต่อสู้ที่พวกเขาเคียดแค้นที่สุดคนหนึ่ง กลับเป็น…

ชั่วขณะนี้พวกเขาต่างรู้สึกอยากจะกระอักเลือด หากรู้เรื่องนี้แต่แรก ตอนที่ข้ามแม่น้ำนรกพวกเขาคงไม่กระทำกับหลินสวินเช่นนั้นแน่!

น่าเสียดายที่เสียใจตอนนี้ก็สายไปแล้ว

สำหรับพวกหวังจื่ออิง ยามนี้แม้แต่คำพูดก็ไม่กล้าเอ่ยแล้ว

ตอนที่อยู่บริเวณหินไตรภพ แม้พวกเขาจะถูกบังคับให้ยอมแพ้ แต่ในใจได้ล้มเลิกความคิดที่จะต่อสู้กับหลินสวินแล้ว

ช่วยไม่ได้ พวกเขาต่างรู้ดีว่าพลังต่อสู้ของเทพมารหลินแข็งแกร่งเพียงใด ไม่ใช่บุคคลที่คนอย่างพวกเขาสามารถล่วงเกินได้

แน่นอนว่าหากมีคนกระโดดออกมาหมายหัวเล่นงานหลินสวิน พวกเขาก็ยินดีอย่างยิ่ง

“สหายยุทธ์หลิน เจ้ารู้หรือไม่ว่าถังลวี่เป็นใคร”

จู่ๆ ก็มีคนพูดขึ้น แฝงแววมีความสุขบนความทุกข์ผู้อื่น

ทุกคนอึ้งไปก่อนเป็นอันดับแรก จากนั้นราวกับตระหนักได้ถึงบางอย่าง สีหน้าเปลี่ยนเป็นแปลกประหลาดขึ้นมา

หลินสวินพูดเสียงเรียบ “คนตายคนหนึ่งเท่านั้น ข้าจะสนใจไปทำไมว่าเขาเป็นใคร”

คำพูดประโยคนี้เผด็จการอย่างที่สุด

หลายคนแอบชื่นชม ช่างสมกับที่เป็นเทพมารหลินผู้ไม่เกรงกลัวอะไร เพียงแค่ความกล้าก็เพียงพอจะทำให้หลายคนรู้สึกสู้ไม่ได้แล้ว

ทั้งยังมีคนหัวเราะเยาะ “หลินสวิน ขอบอกเจ้าอย่างไม่มีปิดบัง ถังลวี่นี่มาจากลัทธิเพลิงศักดิ์สิทธิ์แห่งอาณาจักรอ้าวไหล ปู่ของเขาคือโหรถังมู่แห่งลัทธิเพลิงศักดิ์สิทธิ์!”

ทันทีที่คำพูดนี้ออกจากปาก สีหน้าของทุกคนในที่นั้นต่างแปรเปลี่ยนขึ้นมา

ไม่ว่าใครที่รู้จักลัทธิเพลิงศักดิ์สิทธิ์ล้วนรู้ดีว่า นี่คือแดนเร้นอริยะที่เล่นงานยากมากแห่งหนึ่ง ลูกศิษย์ในสำนักมากมายนับไม่ถ้วน แต่ละคนล้วนเหี้ยมโหดไม่กลัวตาย

แม้ความสามารถจะสู้เจ้าไม่ได้ แต่ก็กล้าสู้กับเจ้าอย่างสุดชีวิต!

หากเพียงเท่านี้ก็ยังไม่เพียงพอจะทำให้ใครๆ กลัว

สิ่งที่น่ากลัวจริงๆ คือ ทุกคนที่ถูกลัทธินี้มองว่าเป็นศัตรู ไม่ว่าใครล้วนต้องถูกตามฆ่าจนกว่าจะตาย!

วิธีปฏิบัติเช่นนี้คล้ายเผ่าสุนัขสวรรค์มายาทมิฬอย่างมาก แต่ที่ต่างคือ ลัทธิเพลิงศักดิ์สิทธิ์เป็นแดนเร้นอริยะ ความแข็งแกร่งของอิทธิพล รากฐานที่พวกเขามี เหนือกว่าเผ่าสุนัขสวรรค์มายาทมิฬมาก!

แม้อยู่ในกลุ่มแดนเร้นอริยะด้วยกัน หากพูดถึงอำนาจและอิทธิพล ลัทธิเพลิงศักดิ์สิทธิ์ก็เป็นลัทธิที่ยิ่งใหญ่อย่างแน่นอน

โดยทั่วไปแล้วไม่มีใครอยากล่วงเกินลูกศิษย์ของลัทธิเพลิงศักดิ์สิทธิ์ เพราะพวกนี้เหมือนฝูงคนคลั่งที่เลือดเย็นไร้ปรานี

ไม่เพียงแค่เหี้ยมกับศัตรู กับตัวเองยังเหี้ยมยิ่งกว่า!

และตอนนี้หลินสวินสังหารถังลวี่ หากแพร่ออกไปจะต้องถูกลัทธิเพลิงศักดิ์สิทธิ์หมายหัวอย่างแน่นอน รอกลับจากแดนมกุฎ คงถูกแก้แค้นไม่มีเลิกลาแน่

สำนักอื่นๆ บางทีอาจจะยังหวาดเกรงศักยภาพและพลังอำนาจของหลินสวิน ไม่ลดตัวลงไปถือสาคนรุ่นหลังอย่างหลินสวินมากขนาดนั้น

แต่ลัทธิเพลิงศักดิ์สิทธิ์ไม่!

สำนักนี้ แม้อริยะก็กล้าฆ่า!

เพราะฉะนั้นหลังจากทุกคนตอบสนอง สายตาที่มองไปทางหลินสวินก็แปลกไปไม่มากก็น้อย

เป็นความจริงที่ว่าในแดนมกุฎแห่งนี้ เทพมารหลินอาจจะกำเริบเสิบสานไม่เกรงกลัวใคร ความสามารถเหนือกว่าคนในรุ่นเดียวกันช่วงใหญ่ แต่ก็ใช่ว่าจะไม่สามารถถูกกำราบได้!

ไม่ว่าอย่างไรต่อให้เจ้าเทพมารหลินสามารถมีชีวิตรอดออกจากแดนมกุฎ แต่มีหรือที่ศัตรูพวกนั้นจะปล่อยเจ้าไป

เพียงแค่ลัทธิเพลิงศักดิ์สิทธิ์ก็เพียงพอที่เจ้าจะเดือดร้อนครั้งใหญ่แล้ว!

“ลัทธิเพลิงศักดิ์สิทธิ์……”

ตอนนี้หลินสวินนึกถึงตอนอยู่ในแม่น้ำพรมแดน ประสบการณ์ล้อมโจมตีจากลัทธิเพลิงศักดิ์สิทธิ์ เป้าหมายที่พวกเขาจะเล่นงานคือเยวี่ยไฉ่เวย

ไม่ว่าอย่างไรความแค้นก็ได้ก่อตัวขึ้นตั้งแต่ตอนนั้นแล้ว

เพราะฉะนั้นตอนที่เห็นว่ามีคนกล้าใช้ชื่อของลัทธิเพลิงศักดิ์สิทธิ์มาขู่ตน หลินสวินก็อดรู้สึกตลกไม่ได้

เขากวาดมองทุกคนพร้อมพูดว่า “ตั้งแต่เข้าสู่ดินแดนรกร้างโบราณ ข้าเคยกลัวใครที่ไหน หากอยากดูเรื่องครื้นเครงของข้าหลินสวิน กลัวว่าคงจะทำให้ผิดหวังแล้ว!”

เสียงทรงพลังมีความเย่อหยิ่ง

ทันใดนั้นสีหน้าของผู้ฝึกปราณหลายคนในที่นั้นพลันไม่เป็นธรรมชาติขึ้นมา

และมีหลายคนนึกถึงเรื่องฮือฮาต่างๆ ที่หลินสวินเคยทำในดินแดนรกร้างโบราณ ในใจก็อดทอดถอนใจไม่ได้

หวนคิดถึงตอนนั้น เทพมารหลินเผยฤทธิ์เดชที่แดนฐิติประจิมเป็นครั้งแรก เคยประกาศกร้าวว่า ‘สักวันจะสังหารสุนัขมายาทมิฬทั่วหล้า’ ชื่อเสียงสะเทือนฝั่งหนึ่ง

กำราบเหล่าผู้กล้าในเทศกาลโคมกถามรรค พิสูจน์มหามรรค ดึงดูดความสนใจจากทั่วทุกสารทิศ!

จวบจนกระทั่งเข้าสู่แดนชัยบูรพา ชิงชัยกับผู้สืบทอดสำนักโบราณอย่างแดนศักดิ์สิทธิ์แกนสวรรค์ แดนศักดิ์สิทธิ์สมบัติวิญญาณ สร้างความวุ่นวายไม่หยุดหย่อน เป็นที่สนใจของคนทั่วหล้า

จากนั้นก็บุกเข้านครหยกขาวตามลำพัง เพียงวันเดียวก็ทำลายสถิติของอวิ๋นชิ่งไป๋ใน ‘สิบสองหอ’ ไปหลายอย่าง!

การแข่งขันกระดานยอดมกุฎรุ่นเยาว์ เขาฝีมือเหนือล้ำกว่าทุกคน ขึ้นครองอันดับหนึ่ง โดดเด่นแต่เพียงผู้เดียว

บนชายฝั่งทะเลหมากดารา เขาสังหารเหล่าราชันได้สำเร็จในชั่วพริบตา!

จนกระทั่งตอนหลังยิ่งมีอริยะหญิงผู้ลึกลับปรากฏตัว ทวงความยุติธรรมให้หลินสวิน แปลงอริยะเป็นสัตว์เดรัจฉาน ทำให้หกขุมอำนาจใหญ่เสียหน้า!

…ทุกเรื่องราวล้วนมาพร้อมกับความน่ากลัวและอันตราย ผสมผสานคาวเลือดและการเข่นฆ่า

ทุกๆ ครั้งล้วนไม่มีใครคาดหวังกับหลินสวิน

แต่ทุกครั้งเขาก็รอดชีวิตมาได้!

บุคคลที่ราวกับเทพมารไร้พ่ายเช่นนี้ จะกลัวการข่มขู่ได้อย่างไร

“ศิษย์น้องหวัง เขาก็คือเทพมารหลิน!”

บริเวณที่ใกล้กับแท่นบูชานรกเทพที่สุด ถานไถหลิ่วเอ่ยปากด้วยสีหน้าอึมครึม “ตอนนั้นหากไม่ใช่เขาแทรกแซง คัมภีร์โบราณหินสลักลึกลับนั่นคงตกอยู่ในการครอบครองของพวกเราสำนักเอกอุไปนานแล้ว”

ในเสียงเผยความชิงชังและไม่จำยอม

ข้างๆ หวังเสวียนอวี๋อยู่ในชุดคลุมดำ ดวงตาทั้งคู่นิ่งสงบไร้อารมณ์ ยิ้มน้อยๆ กล่าว “แค่การแย่งชิงวาสนาเท่านั้น แพ้ให้กับคนร้ายกาจที่ชื่อเสียงโด่งดังไปทั่วหล้าคนหนึ่งไม่ใช่เรื่องแปลก”

“แต่เขากำเริบเสิบสานเกินไป หากไม่ใช่เพราะพวกเราหนีทันก็เกือบตายในมือเขาแล้ว!” ถานไถหลิ่วร้อนรนขึ้นมาแล้ว หมายความว่าอย่างไร ศิษย์น้องหวังไม่คิดจะเอาความหรือ

หวังเสวียนอวี๋ยังคงยิ้ม สองมือไพล่หลัง พูดเรียบๆ “ก็ไม่ตายมิใช่หรือ นั่นหมายความว่าเทพมารหลินก็มีขอบเขต ไม่ใช่คนที่จะฆ่าผู้บริสุทธิ์”

ถานไถหลิ่วอัดอั้นใจขึ้นมา จนคำพูดอย่างมาก ฟังอย่างไรก็รู้สึกว่าหวังเสวียนอวี๋เหมือนกำลังเถียงให้เทพมารหลิน!

“เขาบอกด้วยว่าจะคุยซึ่งๆ หน้ากับเจ้า ศิษย์น้องหวัง!”

ถานไถหลิ่วพูดอย่างไม่อภิรมย์ “คนอื่นรังแกพวกเราแล้ว เจ้ายังคิดจะช่วยไกล่เกลี่ยอีกหรือ”

หวังเสวียนอวี๋อึ้งไปก่อน จากนั้นจึงยิ้มพูด “ข้ายังยืนยันคำเดิม ในการแย่งชิงวาสนาย่อมมีแพ้มีชนะ ตัดสินตามความสามารถก็เท่านั้น”

หยุดไปครู่เขาพลันเบี่ยงประเด็น “แน่นอน วันพรุ่งนี้ตอนที่วาสนาบนแท่นบูชานรกเทพปรากฏ หากเทพมารหลินอยากแย่งกับข้า ข้าเองก็จะไม่ไว้ไมตรี”

ได้ยินเช่นนี้ในใจถานไถหลิ่วจึงสงบลงไม่น้อย

แต่ตอนนี้เองเขาพลันสังเกตเห็นว่าหลินสวินที่อยู่ห่างออกไปมองมา พาให้เขาเดือดดาลยกใหญ่ทันควัน เจ้าหมอนี่ยังต้องการอะไรอีก

ทันใดนั้นเขาค้นพบอย่างน่าอึดอัดว่าตนคิดมากไป สายตาของหลินสวินเพียงกวาดมองเขาแวบหนึ่งแล้วไปหยุดอยู่ที่หวังเสวียนอวี๋ที่อยู่ข้างๆ

นี่ทำให้ถานไถหลิ่วอัดอั้นขึ้นมาอีกระลอก ในใจหลินสวิน เขาเป็นเพียงแค่คนแพ้ที่ไม่ควรค่าแก่การสนใจแล้วอย่างไม่ต้องสงสัย!

“เจ้าก็คือหวังเสวียนอวี๋หรือ” พอหลินสวินอ้าปากพูด ก็ดึงดูดความสนใจของทุกคนทันที

ในบรรดาผู้แข็งแกร่งนับร้อยที่อยู่รอบๆ แท่นบูชานรกเทพแห่งนี้ การดำรงอยู่ของหวังเสวียนอวี๋น่าหวั่นหวาดที่สุดอย่างไม่ต้องสงสัย

เหตุผลง่ายมาก พลังต่อสู้ของหวังเสวียนอวี๋แข็งแกร่งมาก และไม่ได้แข็งแกร่งแบบธรรมดาด้วย!

และตอนนี้เทพมารหลินเอ่ยชื่อหวังเสวียนอวี๋โดยตรง จะต้องมีเรื่องบางอย่างเกิดขึ้นอย่างแน่นอน!

ทันใดนั้นทุกคนต่างคิดไปต่างๆ นานา ล้วนตั้งหน้าตั้งตารออย่างอดไม่ได้

หากเทพมารหลินกับหวังเสวียนอวี๋ขัดแย้งกันขึ้นมา นี่ก็คือการต่อสู้ระหว่างเสือสองตัว ไม่แน่ว่าอาจจะสร้างโอกาสให้พวกเขาได้ฉกฉวยผลประโยชน์บางส่วน!

“เป็นข้าน้อยเอง” หวังเสวียนอวี๋ประสานมืออย่างนอบน้อม ท่าทางเป็นสง่ายิ่ง

ช่างสมกับที่เป็นผู้นำของผู้สืบทอดสำนักเอกอุ แค่เพียงบุคลิกเช่นนี้ก็ทำให้หลายคนตาเป็นประกายแล้ว

“มีเรื่องหนึ่งจะคุยกับเจ้า”

หลินสวินเองก็ยิ้ม เขาดูออกว่าภายใต้รูปลักษณ์ที่อ่อนโยนและสุภาพของหวังเสวียนอวี๋ ซ่อนความเย่อหยิ่งที่เกินกว่าปกติ

“พี่หลินเชิญว่ามาได้เลยมิต้องเกรงใจ”

สีหน้าของหวังเสวียนอวี๋ไม่ได้เผยอารมณ์ ท่าทีเรียบเฉย อ่อนโยนและสุขุม

“ง่ายมาก ไม่ว่าศุภโชค ณ ที่แห่งนี้จะตกเป็นของใคร ฉวยโอกาสนี้ข้าอยากจะขอ…”

ตอนที่หลินสวินพูดถึงตรงนี้ ทุกคนต่างแปลกใจขึ้นมาทันที พลันหูตั้งขึ้นมา

“ปล้นเจ้าสักหน่อย”

ตอนที่ได้ยินคำนี้ สีหน้าของทุกคนล้วนแตกต่างกันไป หลายคนเกือบจะสำลัก ไออย่างรุนแรงไม่หยุด

ปล้นสักหน่อยหรือ

เทพมารหลินนี่ตรงเกินไปหรือเปล่า

แม้แต่หวังเสวียนอวี๋เองยังอึ้งงัน รู้สึกเหนือความคาดหมาย อดยิ้มขื่นไม่ได้ “พี่หลิน คำพูดนี้หมายความว่าอย่างไร”

ไม่ได้โกรธและไม่ได้โมโห เพียงแต่มีท่าทางหัวเราะไม่ได้ร้องไห้ไม่ออก ความสุขุมเช่นนี้ยอดเยี่ยมมาก

หลินสวินยิ้มน้อยๆ พูดว่า “ช่วยไม่ได้ สหายของข้าถูกเจ้าฉวยโอกาสทีเผลอ เสียเพลิงมรรคฟ้าประทานไปดวงหนึ่ง ข้าจะนิ่งดูดายได้อย่างไร”

ที่แท้ก็ออกหน้าเพื่อสหาย!

คนไม่น้อยเข้าใจในทันที

และมีคนลอบตกใจ หวังเสวียนอวี๋ถึงกับชิงเพลิงมรรคฟ้าประทานมาได้ดวงหนึ่ง!

“ที่แท้ก็เพราะเรื่องนี้”

หวังเสวียนอวี๋ก็นึกออกแล้ว อดยิ้มขึ้นมาไม่ได้ “พี่หลิน แย่งชิงวาสนากันก็เท่านั้น เรียกว่าฉวยโอกาสทีเผลอได้อย่างไร อีกทั้งตอนนั้นข้าไม่ได้กระทำรุนแรง เรื่องนี้คิดว่าเจ้าเองก็คงรู้ดี”

หลินสวินพยักหน้า “ไม่ผิด ข้าเห็นด้วยกับเรื่องนี้มาก เพราะฉะนั้นตอนที่ข้าปล้นชิง ก็จะปล้นชิงเท่านั้นไม่ฆ่าคน หากไม่เชื่อเจ้าสามารถถามสหายยุทธ์ถานไถหลิ่วได้”

ถูกหลินสวินเอ่ยชื่อท่ามกลางสายตาของทุกคน ถานไถหลิ่วอยากจะแทรกแผ่นดินหนีเสียเดี๋ยวนี้ สีหน้าอึมครึม แพ้หลินสวินอย่างราบคาบแล้ว ข้ายังจะเถียงอย่างไรได้อีก

หวังเสวียนอวี๋ยังคงมีท่าทีนิ่งเฉย ถึงขั้นยังยิ้มน้อยๆ กล่าวว่า “พี่หลิน ในเมื่อเป็นเช่นนี้ งั้นรอตอนที่ศุภโชคครั้งนี้ปรากฏ พวกเราสองคนมาวัดความสามารถกันสักหน่อยเป็นอย่างไร”

หลินสวินพยักหน้า “ได้!”

ทันใดนั้นประกายแสงสายหนึ่งแวบผ่านสายตาของหวังเสวียนอวี๋ ราวกับมีปลาหยินหยางว่ายผ่านแล้วหายไปโดยพลัน

เขามองหลินสวินที่อยู่ห่างออกไปเงียบๆ ยิ้มโดยไม่พูดอะไร

——