ทุกคนต่างตื่นเต้นขึ้นมา

ไม่ว่าจะเป็นเทพมารหลินหรือหวังเสวียนอวี๋ ล้วนสามารถทำให้ผู้แข็งแกร่งในที่นั้นหวาดเกรง

แต่ตอนนี้ทั้งสองกลับเกิดความขัดแย้งกัน สามารถคาดการณ์ได้ว่าเมื่อศุภโชคมาเยือน ตอนที่เสือสองตัวแย่งชิงกัน ย่อมเป็นโอกาสให้ผู้แข็งแกร่งคนอื่นๆ ฉกฉวยอย่างแน่นอน

กับเรื่องนี้ หลินสวินและหวังเสวียนอวี๋เองก็รู้อยู่เต็มอก แต่ก็ไม่สนใจ

ผู้แข็งแกร่งที่มาถึงระดับอย่างพวกเขา ได้บ่มเพาะอานุภาพอันไร้เทียมทานมานานแล้ว จะกระวนกระวายใจเพราะการต่อสู้ครั้งหนึ่งได้อย่างไร

“เจ้า… จะทำอะไร”

มีคนร้องด้วยความตกใจ สังเกตเห็นว่าหลินสวินขยับตัวเดินมาทางตัวเอง

“ผ่านทาง ไม่จำเป็นต้องตื่นเต้น”

หลินสวินเหลือบมองเขาแวบหนึ่งพร้อมก้าวต่อไป

คนผู้นั้นแข็งทื่อไปทั้งตัวแล้ว กลัวเพียงว่าหลินสวินจะลงมือสังหาร ช่วงชิงตำแหน่งยืนของเขา

เสียดายที่เขาคิดมากไป หลินสวินเพียงแค่ผ่านทางจริงๆ

ผู้แข็งแกร่งคนอื่นๆ เห็นเช่นนี้สายตาต่างวูบไหวขึ้นมา เห็นได้ชัดว่าเทพมารหลินไม่ยินยอมจะอยู่รอบนอก หมายจะเข้าใกล้แท่นบูชานรกเทพ!

แต่เช่นนี้จะต้องเบียดไปอยู่ในตำแหน่งของคนอื่นอย่างแน่นอน!

ระหว่างทางเหล่าผู้แข็งแกร่งที่รู้ตัวว่าไม่ใช่คู่ต่อสู้ของหลินสวินต่างอดทนต่อการต่อต้านในใจ เป็นฝ่ายหลีกเลี่ยงเปิดทางให้หลินสวิน

หืม?

ทันใดนั้นหลินสวินสังเกตเห็นว่า เจิ้นอวิ๋นเฟิงผู้สืบทอดจวนเทพขุมทมิฬอยู่ไม่ไกลนัก

ในเวลาเดียวกันเจิ้นอวิ๋นเฟิงเองก็สื่อจิต ‘พี่หลิน เจ้ามาได้จังหวะพอดี รอตอนที่ศึกชิงวาสนาครั้งนี้เริ่มขึ้น ข้าจะสนับสนุนเจ้าอย่างสุดความสามารถ’

หลินสวินคล้ายจะยิ้มแต่ไม่ยิ้ม สื่อจิตกลับไป ‘พี่เจิ้น เจ้าบอกว่าแยกกันเคลื่อนไหว จะได้โอกาสช่วงชิงวาสนาได้มากกว่ามิใช่หรือ’

สีหน้าของเจิ้นอวิ๋นเฟิงอึดอัดเล็กน้อย แต่ยังคงยิ้มพูด ‘สถานการณ์ตอนนี้ไม่เหมาะจะแยกกันต่อสู้ อย่างน้อยหากมีข้าออกมือ แน่นอนว่าจะต้องช่วยพี่หลินกำราบเหล่าผู้แข็งแกร่งสำนักเอกอุบางส่วนได้!’

หลินสวินไม่คิดจะสาวความ ไม่ว่าอย่างไรความสัมพันธ์ของเขากับเจิ้นอวิ๋นเฟิงก็ยังไม่ถึงเวลาที่จะกลายเป็นศัตรูกัน

‘อิ๋นเสวี่ยกับจั่นลู่ซิวไม่ได้มาด้วยหรือ’ เขาถาม

เจิ้นอวิ๋นเฟิงส่ายหน้า ‘จำนวนคนที่จะขึ้นเรือนรกมีจำกัด พวกเขาสองคนเป็นฝ่ายทิ้งโอกาสครั้งนี้ไปเอง’

หลินสวินยิ้มในใจ เผชิญหน้ากับมหาศุภโชคระดับนี้ใครจะยอมทิ้งโอกาส

เจิ้นอวิ๋นเฟิงต้องไม่ได้พูดความจริงแน่

เขากับพวกอิ๋นเสวี่ยล้วนมาจากจวนเทพขุมทมิฬ แต่เห็นได้ชัดว่าฐานะของเจิ้นอวิ๋นเฟิงสูงกว่ามาก ตอนที่แย่งชิงขึ้นเรือเล็ก แม้ในใจพวกอิ๋นเสวี่ยไม่ยินยอม ก็จำต้องปล่อยโอกาสให้เจิ้นอวิ๋นเฟิงอยู่แล้ว

‘พี่เจิ้น เจ้าคิดดูให้ดีก่อนเถอะ อยู่ฝ่ายเดียวกับข้าเกรงว่าจะโดนศัตรูมากมายกดดันไปด้วยกัน’

หลินสวินพูดประโยคนี้ทิ้งท้ายเอาไว้แล้วมุ่งหน้าต่อไป

เจิ้นอวิ๋นเฟิงอึ้ง สีหน้าอึมครึมไม่นิ่ง

ตอนแรกที่หลินสวินมาถึง ที่เขาไม่ได้ทักทายหลินสวินทันที ก็เพราะกังวลว่าถ้ายืนอยู่ฝ่ายเดียวกับหลินสวินจะชักนำความเดือดร้อนมาให้ตนไม่น้อย

จนกระทั่งตอนหลังพอเห็นหลินสวินระเบิดอานุภาพ โจมตีสังหารถังลวี่ผู้สืบทอดลัทธิเพลิงศักดิ์สิทธิ์จนตะลึงกันทั้งที่นั้น ถึงขั้นทำให้หวังเสวียนอวี๋เองยังไม่กล้าดูถูก เจิ้นอวิ๋นเฟิงถึงได้ตัดสินใจจะเข้าหาสานสัมพันธ์กับหลินสวิน

แต่ที่น่าอึดอัดคือ หลินสวินเหมือนไม่ได้สนใจการ ‘ออกหน้า’ ของเขาแล้ว

เจิ้นอวิ๋นเฟิงถอนหายใจในใจ แน่นอนว่าเขารู้ดีว่าเพราะอะไร

ตอนแรกที่เข้าสู่ถ้ำนรกเทพ เขาตัดสินใจแน่วแน่ว่าจะแยกกันเคลื่อนไหวกับพวกหลินสวิน ความจริงก็เท่ากับตัดความสัมพันธ์ในการร่วมมือกับหลินสวินไปแล้ว

หรือพูดได้ว่า รอยร้าวได้ปรากฏตั้งแต่ตอนนั้นแล้ว

อีกทั้งเขายังเป็นคนสร้างมันเอง!

ตอนนี้หลินสวินเผยท่าทีเย็นชาเช่นนี้แล้ว แม้ทำให้เจิ้นอวิ๋นเฟิงไม่ชอบใจแต่ก็โทษใครไม่ได้

นี่เป็นสิ่งที่เขาเลือกเอง!

ในใจเจิ้นอวิ๋นเฟิงพลันกลัดกลุ้มขึ้นมาอย่าอดไม่อยู่

เขารู้ว่าแม้อยากไปซ่อมแซมความสัมพันธ์กับหลินสวินตอนนี้ ก็เกรงว่าคงไม่ได้แล้ว

ขวดกระเบื้องที่แตกไปแล้ว แม้จะถูกซ่อมแซม รอยแตกเหล่านั้นก็ไม่มีทางถูกลบล้างอย่างสมบูรณ์!

……

ด้านหน้าเมฆมงคลสีเลือดที่อยู่ใกล้แท่นบูชานรกเทพที่สุด หลินสวินถูกขวางแล้ว

“เทพมารหลิน ตำแหน่งแบ่งชัดตั้งนานแล้ว เจ้ามาช้าเกินไป หรือคิดจะใช้กำลังเข้าแย่งชิงหรือ”

คนที่ยืนอยู่ตรงนั้นคือชายที่สวมเกราะศึกสีเงิน รูปลักษณ์หล่อเหล่าอย่างมาก หน้าผากของเขามีเขาเดี่ยว แผ่นหลังมีปีกสีเงินยวงคู่หนึ่ง

ฮวาเทียนไห่ สัตว์ประหลาดยุคโบราณแห่งเผ่าแรดพยัคฆ์!

เสียงของเขาเย็นชาเรียบเฉย จิตต่อสู้ในสายตาพวยพุ่ง

รอบๆ แท่นบูชานรกเทพมีเมฆมงคลสีเลือดทั้งหมดสิบก้อน คนที่สามารถยืนอยู่บนเมฆได้ล้วนเป็นผู้แข็งแกร่งในบรรดาผู้แข็งแกร่งด้วยกันอย่างไม่มียกเว้น

ฮวาเทียนไห่แข็งแกร่งมากจริงๆ บรรลุระดับอมตะเคราะห์ขั้นหนึ่งแล้ว!

ทันใดนั้นสายตาของคนทั้งที่นั้นต่างจับจ้องมา

หลินสวินเอ่ย “ตัดสินกันด้วยความสามารถที่แท้จริง หากข้าชนะเจ้าก็ถอย หากข้าแพ้ ข้าก็จากไป”

ฮวาเทียนไห่สีหน้าเย็นชา “หากข้าไม่รับปากล่ะ”

หลินสวินยิ้มบางๆ “เช่นนั้นก็อย่าโทษที่ข้าจะใช้กำลังแย่งชิง”

ฮวาเทียนไห่สีหน้าขรึมเคร่ง ในสายตาสาดประกายหนาวเย็นอันน่าตกใจ เอ่ยว่า “เจ้าคิดว่าตัวเองเก่งมากสินะ หากไม่ใช่เพราะไม่อยากให้เกิดความยุ่งยากขึ้นก่อนศุภโชคจะมาเยือน แค่ท่าทีหยิ่งยโสของเจ้า ข้าก็จะฆ่าเจ้าเป็นคนแรก!”

หลินสวินคร้านจะพูดไร้สาระ “จะสู้หรือไม่”

“เจ้า…”

ฮวาเทียนไห่เดือดดาล เห็นว่าศึกใหญ่ครั้งหนึ่งจะปะทุขึ้น แต่ที่เหนือความคาดหมายคือ ยามนี้ฮวาเทียนกลับเลือกถอย

เขาโกรธจนหน้าเขียว แต่เป็นฝ่ายหลีกทางให้!

ในที่นั้นเงียบกริบทันใด

ทุกคนต่างตกใจ การถอยทัพของฮวาเทียนไห่ ทำให้พวกเขามีความเข้าใจใหม่เกี่ยวกับอานุภาพของหลินสวิน

แต่หลินสวินกลับขมวดคิ้ว สุดท้ายก็ไม่ได้พูดอะไรมาก

‘ปืนยิงนกที่โผล่หัว เทพมารหลิน ยิ่งเจ้าหยิ่งผยอง ยิ่งจะตายอย่างอนาถ!’

ฮวาเทียนไห่แอบหัวเราะเยาะ

‘เฮ้อ ทำตัวเด่นตอนนี้ จะต้องทำให้ทุกคนระแวงอย่างแน่นอน เหตุใดต้องทำเช่นนี้ด้วย’

ห่างออกไปเจิ้นอวิ๋นเฟิงถอนหายใจในใจ จนถึงตอนนี้เขาล้มเลิกความคิดที่จะเข้าหาสานสัมพันธ์กับหลินสวินอย่างสิ้นเชิงแล้ว

ตอนที่วาสนามาเยือน ศึกใหญ่ของการแย่งชิงเริ่มขึ้น ใครที่ทุกคนในนี้หวาดกลัวที่สุด

ไม่ต้องเดาก็รู้ว่าเป็นหลินสวินอย่างไม่ต้องสงสัย!

ก็เพราะเหตุผลนี้ จึงทำให้เขากลายเป็นเป้าของทุกคนได้ง่ายที่สุด!

ในที่นั้นพลันเงียบเชียบในชั่วขณะ

เรื่องน่าประหลาดคือ หลังจากนั้นก็ไม่มีผู้แข็งแกร่งที่มาใหม่อีกเลย

มีเพียงหลินสวินที่รู้ดีว่า โคมไร้มลทินอยู่ในมือตนแล้ว ฝีพายโครงกระดูกนั่นเกรงว่าคงไม่สามารถพายเรือรับคนได้อีกแล้ว

เขาเคลื่อนสายตาไปมองแท่นบูชา

ตรงนั้นมีโต๊ะหินทรงเหลี่ยม ด้านบนวางของบูชาอยู่ ของบูชาเหล่านั้นล้วนถูกแสงเซียนงดงามและไอขุ่นมัวปกคลุม หมุนเวียนคละคลุ้ง ไม่สามารถมองเห็นรูปลักษณ์ชัดเจนได้

หลินสวินรู้ว่านี่ก็คือพลังของผนึก ผนึกไม่คลาย ก็ไม่มีใครสามารถช่วงชิงของบูชาเหล่านั้นได้!

เวลาค่อยๆ ล่วงเลยไป

เช้าตรู่วันถัดมา บนแท่นบูชาแสงเซียนหลายหลายและไอขุ่นมัวนั่นราวกับเปลี่ยนเป็นฟองอากาศ เริ่มแตกออกทีละน้อย

เหล่าผู้แข็งแกร่งที่รอมานานแล้วยามนี้ในใจต่างสั่นสะท้าน สายตาจับจ้องมองไป บนร่างทุกคนล้วนแผ่กลิ่นอายน่ากลัว

เตรียมพร้อมลงมือตลอดเวลา!

“จะมาแล้ว…” มีคนพึมพำ

ตูม!

ทันใดนั้นไม่รอให้ผนึกคลายถึงที่สุดก็มีคนลงมือก่อนแล้ว ทะยานขึ้นฟ้ายื่นมือไปยังโต๊ะหินบนแท่นบูชา

เพียงแต่ภาพอันน่าเหลือเชื่อเกิดขึ้นแล้ว แท่นบูชาไม่ได้ใหญ่ แต่เงาร่างของคนผู้นั้นกลับหดเล็กกะทันหัน เปลี่ยนขนานจนเล็กเหมือนฝุ่นละออง

เมื่อเทียบกันแล้ว โต๊ะหินบนแท่นบูชาจึงสูงใหญ่ยิ่งกว่าภูเขาเทพเสียอีก!

เช่นนี้ การโจมตีของคนผู้นี้ก็ไร้ประโยชน์ไปทันที

วิชาแห่งสุเมรุ!

ทุกคนต่างนัยน์ตาหดรัด นี่คือพลังแห่งกฎระเบียบ แท่นบูชาดูเหมือนขนาดเท่าเนินเขาเล็ก ความจริงกลับยิ่งใหญ่อย่างที่สุด!

“ไป!”

คนอื่นๆ ต่างอดทนไม่ไหว พลันพุ่งเข้าไปอย่างบ้าคลั่ง

คนที่เคลื่อนไหวก่อนแน่นอนว่าเป็นกลุ่มผู้แข็งแกร่งที่อยู่ใกล้แท่นบูชาที่สุด ด้วยความได้เปรียบในตำแหน่งจึงพุ่งขึ้นไปเป็นกลุ่มแรก

หลินสวินเองก็เป็นหนึ่งในนั้น

“สวรรค์! พวกนี้คือของเทพในตำนานหรือ”

มีคนอุทานด้วยความตกใจ บนแท่นบูชา ของบูชาที่วางไว้บนโต๊ะหินค่อยๆ เผยสภาพที่แท้จริง มีม้วนตำรา กระถางทองแดง โอสถสมบัติ หนังสัตว์

ล้วนแผ่ระลอกคลื่นที่กลิ่นอายราวกับอริยะอย่างไม่มีข้อยกเว้น!

วาสนาที่ถูกปิดผนึกมานับหมื่นสมัย ปรากฏสู่โลก ณ ตอนนี้!

ทันใดนั้นแววตาทุกคนล้วนร้อนเร่า พุ่งเข้าไปอย่างสุดกำลังประหนึ่งบ้าคลั่ง กลิ่นอายของแต่ละคนรุนแรงดุดัน

นี่เป็นถึงราชันกลุ่มหนึ่ง อานุภาพจะธรรมดาได้อย่างไร

“ของสิ่งนี้เหมือนกระถางไอขุ่นมัวในตำนานเหลือเกิน นี่ต้องเป็นสมบัติอริยะแน่!” มีคนตะโกนร้อง ลงมือจะช่วงชิงสมบัติชิ้นนี้

หลินสวินเองก็สังเกตเห็นว่าของสิ่งนี้เหนือธรรมดาและศักดิ์สิทธิ์มากจริงๆ เต็มไปด้วยแสงเทพ เป็นประกายระยิบระยับ แพร่กระจายกลิ่นอายบริสุทธิ์

“โอสถเทพชั้นสูง! มีความเป็นไปได้สูงมากว่าจะซ่อนนัยเร้นลับมหามรรคเทียมฟ้า!”

มีคนอุทานด้วยความตกใจอีกครั้ง

นั่นเป็นปะการังสีแดงชาดต้นหนึ่ง บนนั้นมีตะวันม่วงดวงหนึ่งแขวนอยู่ จรัสแสงแรงกล้า เมื่อมองอย่างละเอียด เห็นชัดว่าตะวันม่วงดวงนั้นเป็นผลเทพลูกหนึ่ง!

ศึกใหญ่อันดุเดือดปะทุขึ้น

ผู้แข็งแกร่งทั้งกลุ่มพุ่งไปข้างหน้าเพื่อช่วงชิง การต่อสู้เกิดขึ้นอย่างไม่ขาดสาย ดุเดือดอย่างที่สุด

หลินสวินเป็นผู้แข็งแกร่งกลุ่มแรกที่เคลื่อนไหว และทันทีที่ลงมือก็ใช้นัยเร้นลับของเจินหลงกระตุ้นก้าวย่างชือน้ำแข็ง ว่องไวอย่างที่สุด ราวกับเคลื่อนไหวในพริบตา

เพียงแต่บนแท่นบูชาที่ดูเหมือนจะเล็กและแคบ ความจริงเป็นเหมือนโลกอีกแห่งหนึ่ง โดยเฉพาะโต๊ะหินนั่นยิ่งสูงตระหง่านเหมือนภูเขาลึกลูกหนึ่ง

ต่อให้เป็นความไวของหลินสวิน กว่าจะไปถึงยอดโต๊ะหินก็ใช้เวลาไปสิบกว่าลมหายใจแล้ว

ทว่าคนที่สามารถไปถึงเป็นกลุ่มแรกเหมือนกับเขา มีเพียงห้าหกคนเท่านั้น

หนึ่งในนั้นก็มีหวังเสวียนอวี๋แห่งสำนักเอกอุด้วย

สวบ!

หลินสวินไม่ได้สนใจอย่างอื่น ตั้งแต่แวบแรกเขาก็จับจ้องไปที่คัมภีร์โบราณหนังสัตว์เล่มหนึ่ง พลันสำแดงผนึกป้าเซี่ย ช่วงชิงผ่านอากาศ

เพียงแต่ที่ทำให้เขาผิดคาดคือ คัมภีร์โบราณหนังสัตว์เล่มนั้นประหนึ่งมีจิตวิญญาณ พริบไหวคราเดียวก็ไปปรากฏอยู่อีกที่แล้ว

หลินสวินสูดหายใจลึกเฮือกหนึ่ง แผ่จิตรับรู้ออกไปจับตำแหน่งคัมภีร์โบราณหนังสัตว์ทันที หลังจากตรวจสอบคร่าวๆ หนังตาพลันกระตุกขึ้นมา

ของปลอม!

คัมภีร์โบราณหนังสัตว์นี้ เป็นเพียงของที่แปรสภาพลวงตา ไม่ได้มีอยู่จริง!

“แม่งเอ๊ย ดันเป็นสมบัติที่แปรสภาพมาจากมายา!”

ในเวลาเดียวกันมีเสียงก่นด่าด้วยความหัวเสียดังขึ้น ผู้แข็งแกร่งคนหนึ่งที่อยู่ห่างออกไปกำลังตะโกนใส่โอสถเทพที่ผลราวกับตะวันม่วง

ทันใดนั้นสีหน้าของผู้แข็งแกร่งหลายคนที่พุ่งเข้ามาต่างเปลี่ยนไป

หรือศุภโชคพลิกฟ้าที่ถูกปิดผนึกมานับหมื่นสมัยเป็นเรื่องโกหกที่สะเทือนฟ้าอย่างหนึ่ง?

“ไป!”

“ใครกล้าขวางข้า”

ห่างออกไปยังมีผู้แข็งแกร่งจำนวนมากโฉบพุ่งเข้ามา พวกเขายังไม่รู้เรื่องราว ตอนนี้ในใจเต็มไปด้วยความตื่นเต้นและไอสังหาร หมายจะช่วงชิงศุภโชค

‘ไม่ใช่สิ ของที่นี่ยังมีชิ้นที่เป็นของจริง!’

ทันใดนั้นหลินสวินสังเกตมุกสมบัติสีแดงชาดขนาดประมาณไข่ห่านที่หวังเสวียนอวี๋ชิงมาได้

เมื่อสังเกตเห็นสายตาของหลินสวิน เขาพลันหรี่ตา จากนั้นยิ้มพูด “พี่หลิน เจ้าคงไม่คิดจะลงมือตอนนี้หรอกหระมัง”

…………….