ส่วนที่ 7 ภาคกล้าให้อาทิตย์ดวงจันทร์ผันเปลี่ยน ตอนที่ 65 โค่นต้นไม้

ท้าลิขิตพลิกโชคชะตา

เพียงหวังจือเช่อยื่นนิ้วออกมาเพียงนิ้วเดียว เขาก็สามารถสังหารถังซานสือลิ่วได้อย่างง่ายดายราวกับบีบมดให้ตายคามือ หรืออาจจะเกินจริงไปหน่อย

ถ้าเขายื่นนิ้วออกมาสองนิ้ว เช่นนั้นก็ต้องสามารถสังหารถังซานสือลิ่วได้ง่ายยิ่งขึ้นแน่นอน

อย่างไรเสียความแตกต่างของความสามารถที่แท้จริงของขั้นเทพศักดิ์สิทธิ์ระหว่างทั้งสองคนนั้นก็ห่างไกลกันมากมายนัก

ถังซานสือลิ่วมิอาจข่มขู่หวังจือเช่อได้ ต่อให้อยากจะหาที่ตายต่อหน้าหวังจือเช่อก็ยังไม่ง่ายเลย

กระบี่เวิ่นสุ่ยถูกนิ้วมือทั้งสองของหวังจือเช่อคีบไว้และไม่สามารถขยับได้ ไม่แม้แต่จะกระดิกสักนิดเดียว

ทันใดนั้นการฆ่าตัวตายที่น่าสมเพชนี้ก็กลายเป็นภาพเช่นนี้ และมันก็ค่อนข้างดูน่ากระอักกระอ่วนไปเสียหน่อย

แต่ถังซานสือลิ่วกลับไม่ได้มีความรู้สึกกระอักกระอ่วนใด ๆ เขายังเลิกคิ้วขึ้นเสียด้วยซ้ำ

ความหมายของการเลิกคิ้วนั่นก็คือการท้าทาย

เจตนาของเขาชัดเจนยิ่งนัก

หากเขาต้องการตายจริง ๆ ก็มีวิธีการมากมาย และการใช้กระบี่ฆ่าตัวตายเป็นวิธีการที่ไร้ประสิทธิภาพที่สุดอย่างไม่ต้องสงสัย

เขาก็เพียงอยากจะรอให้หวังจือเช่อขัดขวางเขา เพื่อที่เขาจะได้ต่อรองเงื่อนไขอย่างไรเล่า

หวังจือเช่อมองไปที่เขาพลางกึ่งยิ้มกึ่งหัวเราะก่อนเอ่ย “ศิลาก้อนนี้ให้เจ้าไปก็ไม่มีประโยชน์”

ถังซานสือลิ่วมองสีหน้าเขาก็เข้าใจได้

ด้วยขั้นเทพศักดิ์สิทธิ์ของเขาในตอนนี้ ต่อให้ถือศิลาสีดำนี้ก็เข้าสวนโจวไม่ได้ และก็ช่วยเฉินฉางเซิงไม่ได้ด้วยเช่นกัน

ถังซานสือลิ่วเอ่ยอย่างจริงใจว่า “อย่างนั้นก็รบกวนท่านช่วยได้หรือไม่”

หวังจือเช่อไม่ได้เอ่ยคำใด

ถังซานสือลิ่วเอ่ยต่อ “ข้าทราบดีว่าสถานการณ์ของเขาในตอนนี้ต้องแย่มากแน่ ๆ”

สายตาของหวังจือเช่อทอดตกลงบนศิลาสีดำก้อนนั้น ก่อนเอ่ย “ไม่ผิด ตอนนี้เขากำลังเผชิญหน้ากับการต้องเลือก ในสิ่งที่ยากลำบากที่สุด”

ถังซานสือลิ่วเงียบไปครู่หนึ่งก่อนเอ่ยว่า “เขาเป็นคนดี”

ยามที่เอ่ยประโยคนี้ สีหน้าอารมณ์ของเขามีความจริงจังมากอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน

หวังจือเช่อเอ่ย “ใช่แล้ว”

ถังซานสือลิ่วมองสบตาเขาก่อนเอ่ยขึ้นว่า “คนดีไม่ควรจะต้องใช้ชีวิตอย่างยากลำบากเช่นนี้”

หวังจือเช่อเอ่ย “มันไม่เกี่ยวอะไรกับความดีความเลว”

ถังซานสือลิ่วผิดหวังและโกรธเคืองมาก

เขาเอ่ยอย่างเยาะเย้ยว่า “ใช่สิ นี่มันไม่เกี่ยวอะไรกับความดีความเลว มันเกี่ยวข้องกับความอ่อนแอและความแข็งแกร่งเท่านั้น สุดท้ายแล้วมันก็เป็นเพียงคนแข็งแกร่งรังแกคนอ่อนแอกว่า”

หวังจือเช่อส่ายหน้าก่อนเอ่ยว่า “ทุกคนล้วนต้องรับผิดชอบในสิ่งที่ตนเลือก”

ถังซานสือลิ่วหัวเราะอย่างเย้ยหยันก่อนเอ่ย “เช่นนั้นเหตุใดจึงเป็นเขาที่ต้องเลือกมาโดยตลอด เหตุใดจึงไม่ใช่พวกท่านที่เป็นคนเลือก”

หวังจือเช่อเอ่ยตอบ “ซางสิงโจวรับปากว่าจะต่อสู้กับเขา เดิมทีนี่ก็เป็นตัวเลือกที่ถูกบีบบังคับให้ทำ”

ถังซานสือลิ่วเอ่ย “การเลือกนั้นซับซ้อนเกินไป พวกท่านเองก็ควรจะคิดให้มันง่ายกว่านี้”

หวังจือเช่อเอ่ย “อย่างเช่น”

ถังซานสือลิ่วเอ่ย “พวกท่านสามารถเลือกที่จะไปตายเสีย หรือไม่ก็ไปตายเสีย”

หวังจือเช่อหัวเราะเบา ๆ ก่อนถาม “ยังมีตัวเลือกอื่นอีกหรือไม่”

ถังซานสือลิ่วตอบ “พวกท่านยังสามารถเลือกได้ว่าจะถูกไฟเผาตาย จมน้ำตาย ถูกกระบี่นับหมื่นแทงทะลุหัวใจ หรือถูกประหารชีวิตด้วยการตัดชิ้นส่วนมือและเท้า”

นี่ไม่ใช่ประโยคบอกเล่าแต่เป็นประโยคคำสั่ง หรือจะเรียกว่าเป็นการสาปแช่งก็ได้ น้ำเสียงที่สงบและไร้คลื่นสูงต่ำนี้ มีเต็มไปด้วยความเกลียดชังรุนแรงอยู่ในนั้น

แต่สิ่งเหล่านี้ล้วนมีที่มาจากความจนตรอก

เมื่อมองไปที่น้ำแข็งบาง ๆ และจอกแหนบนน้ำของปีที่แล้ว ถังซานสือลิ่วก็รู้สึกเหนื่อยล้าเล็กน้อย

จะพ่ายแพ้ไปอย่างนี้ใช่หรือไม่

เขาไม่เต็มใจจริง ๆ

เขาไม่เต็มใจแทนเฉินฉางเซิง

จู่ ๆ เขาก็ตะโกนก้องกับท้องฟ้า

“ท่านนี่กลายเป็นสุนัขตาบอดไปแล้ว”

……

……

ในตรอกไป๋ฮวานั้นวุ่นวายเล็กน้อย ไม่รู้ว่าจะได้ยินคำพูดนั้นของถังซานสือลิ่วหรือไม่

แต่สวนร้อยหญ้าที่มีเพียงกำแพงกั้นระหว่างสำนักฝึกหลวงได้ยินชัดเจนยิ่งนัก

อวี๋เหรินไม่รู้ว่าเกิดเรื่องอันใดขึ้น และถามด้วยสายตาของเขา

“ถังถังอยากก่อกวนการตัดสินใจของท่านหวังหรือ”

สวีโหย่วหรงเอ่ย “หากเป็นไปได้ เขาก็จะใช้กลวิถีที่เคยใช้เมื่ออยู่ในจวนเดิมเมืองเวิ่นสุ่ยในการบังคับให้ท่านหวังประนีประนอม”

นี่คือบทสนทนาระหว่างปู่ย่าตายายและลูกหลาน ฉากนั้นที่เคยเกิดขึ้น ณ โต๊ะเล่นไพ่

เขาไม่เสียดายหากจะต้องทำลายตระกูลถังเสีย แน่นอนว่าไม่มีทางสนใจไพร่ฟ้าใต้หล้าเช่นกัน

แต่เห็นได้ชัดเจนว่านี่ยังคงไม่เพียงพอที่จะพูดให้หวังจือเช่อหวั่นไหวหรือโน้มน้าวหวังจือเช่อได้

แม้กระทั่งคำพูดที่เขาต้องการจะเอ่ยออกมาเพื่อข่มขู่ก็ยังไม่สามารถเอ่ยออกมาได้

ความพยายามของถังซานสือลิ่วก็ล้มเหลวเช่นกัน

ในตาของสวีโหย่วหรงปรากฏความกังวล

มือซ้ายของนางกำไข่มุกศิลาทั้งห้าเม็ด

ไข่มุกศิลาทั้งห้าเม็ดเดิมทีก็คือแผ่นป้ายอนุสรณ์คัมภีร์สวรรค์ทั้งห้าที่อยู่ในสวนโจว คือส่วนหนึ่งของค่ายกลนั้นที่เป็นของโจวตู๋ฟู

ในช่วงหนึ่งก่อนหน้านี้ มีการเคลื่อนไหวบางอย่างเกิดขึ้นกับไข่มุกศิลาทั้งห้าเม็ด นั่นทำให้นางทราบได้ถึงสถานการณ์ภาพรวมในสวนโจว

นางทราบดีว่า เฉินฉางเซิงกำลังเผชิญหน้ากับการต้องเลือก

และนางก็ทราบดีว่า เฉินฉางเซิงจะเลือกอย่างไร

หรือแม้แต่ทราบก่อนที่เขาจะตัดสินใจเสียด้วยซ้ำ

สำหรับเฉินฉางเซิงแล้ว สิ่งนี้ไม่ได้ยากอย่างที่หวังจือเช่อว่าไว้

เนื่องจากนางเข้าใจในตัวเฉินฉางเซิง

อวี๋เหรินเองก็เข้าใจเฉินฉางเซิงเป็นอย่างดี

ดังนั้นเขาเองก็ทราบเช่นกันว่าเฉินฉางเซิงจะเลือกอย่างไร

และนั่นหมายความว่า เฉินฉางเซิงพ่ายแพ้แล้ว

……

……

ทุกตรอกซอกซอยในเมืองหลวง ทุกจวนที่พักอาศัย ล้วนได้ยินถึงเสียงดังนั้นที่ติดตามมา

ริมทะเลสาบเกิดคลื่นลมถาโถมอย่างบ้าคลั่ง เศษหิมะที่โปรยปรายรวมถึงต้นหญ้าตายแล้วสีเหลือง อีกทั้งโคลนเหนียวถูกพัดจนปลิวกระทบกับกำแพงและต้นไม้ เกิดเป็นเสียงดังโครมคราม

ทะเลสาบม้วนตัวสั่นสะเทือน กองหิมะพุ่งแหวกอากาศขึ้นมา แล้วก็ตกลงมาดังซู่ซ่า

ทั้งสำนักฝึกหลวงถูกปกคลุมไปด้วยพายุฝนที่โหมกระหน่ำอย่างกะทันหัน

ทันใดนั้นร่างสองร่างก็ปรากฏตัวท่ามกลางสายฝนที่ตกหนัก

เฉินฉางเซิงและซางสิงโจว

ท้องฟ้าสว่างวาบขึ้นราวกับสายฟ้าฟาด

ด้วยแสงสว่างที่ส่องให้เห็นพายุฝนอันมืดมิดนั้น ทำให้สามารถมองเห็นได้ว่ามือของซางสิงโจวกระแทกเข้ากับหน้าอกของเฉินฉางเซิง

เฉินฉางเซิงถูกกระแทกจนปลิวออกไปในอากาศราวกับก้อนหินก้อนหนึ่ง เขาไปกระแทกเข้ากับต้นไม้ใหญ่นับสิบต้นและตกลงไปในส่วนลึกของป่าใหญ่

ติดตามมาด้วยเสียงแตกหัก ต้นไม้ใหญ่กระแทกเข้ากับพื้นดินสะเทือนเลือนลั่น

ถังซานสือลิ่วถือกระบี่เวิ่นสุ่ยไว้และเตรียมพุ่งออกไป มือซ้ายที่ซ่อนไว้ในแขนเสื้อจับอาวุธสำคัญเอาไว้

เกิดเสียงปังเบา ๆ ขึ้น

นิ้วของหวังจือเช่อกดอยู่ที่หว่างคิ้วของเขา

ถังซานสือลิ่วไม่สามารถขยับได้

ทันใดนั้นก็เกิดเปลวไฟสีแดงทองขึ้นสองสายในสวนร้อยหญ้า

สวีโหย่วหรงหายตัวไปจากตรงนั้น

หวังจือเช่อไม่ได้หันกลับไปมอง นิ้วหนึ่งชี้แหวกอากาศไปด้านหลัง

เบื้องหลังของเขาคือกำแพงสำนักฝึกหลวง

ปรากฏช่องโหว่ขึ้นบนกำแพงสำนักฝึกหลวง

ร่องรอยซากปรักหักพังของอิฐและประตูไม้นั้นตกลงบนพื้นอย่างเงียบ ๆ

สายลมยังคงวนเวียนอยู่อย่างนั้น ดูอ่อนโยน แต่กลับผ่านไปไม่ได้

ปีกนกสีขาวบริสุทธิ์ร่วงหล่นลงมาจากบนท้องฟ้าที่ว่างเปล่า

สวีโหย่วหรงปรากฏร่างออกมา

ในทันทีหวังจือเช่อจู่ก็รับรู้ได้ถึงบางสิ่งและหันกลับไปมอง

สายตาของเขาไม่ได้มองไปยังร่างของสวีโหย่วหรง แต่เป็นเบื้องหลังของนาง

สวนร้อยหญ้ายังคงเงียบสงบและสวยงามดั่งเมื่อหลายร้อยปีก่อน

ไม้เท้าอันหนึ่งวางอยู่บนขอบโต๊ะศิลาอย่างเงียบ ๆ

……

……

ต้นไม้ใหญ่แตกกอ กิ่งไม้สดกระจัดกระจายไปทั่วทุกหนแห่งราวกลีบดอกไม้

เฉินฉางเซิงนั่งพิงไปยังต้นไม้ที่หัก เอาแต่ไอไม่หยุด

ซางสิงโจวเอ่ยถาม “เจ้ายังคงยืนยันว่าการเลือกนั้นมีความหมายใช่หรือไม่”

เฉินฉางเซิงตอบ “ใช่แล้ว เพราะทางที่เลือกจะเป็นตัวกำหนดว่าเราคือผู้ใด”

ซางสิงโจวนิ่งเฉย

จริงอย่างที่เฉินฉางเซิงเอ่ย

หากตอนนี้เป็นสวีโหย่วหรงหรือถังซานสือลิ่วที่อยู่ในสวนโจว เขาไม่มีทางให้โอกาสอีกฝ่ายได้เลือกแน่นอน

เขาให้เฉินฉางเซิงได้เลือก ก็เพราะเขาทราบดีกว่า เฉินฉางเซิงจะเลือกอย่างไร

เนื่องด้วยเหตุนี้ เฉินฉางเซิงก็ยังคงเป็นเฉินฉางเซิง

ดังนั้น การเลือกจึงมีความหมาย

แต่การต่อสู้ในตอนนี้ไม่ได้มีความหมายอะไรแล้ว

เฉินฉางเซิงยังพอลุกไหว แต่ทุกอย่างได้ถูกลิขิตเอาไว้แล้วว่าไม่มีทางเอาชนะได้

เขาที่เลือกจะออกจากสวนโจวไป ก็เท่ากับละทิ้งความหวังสุดท้ายที่จะเอาชนะได้ไปแล้ว

สีหน้าของซางสิงโจวเย็นชา “ยอมแพ้เถิด”

น้ำเสียงของเฉินฉางเซิงเรียบง่ายยิ่งนัก “ไม่”

ซางสิงโจวเงียบชั่วขณะ มือขวากุมกระบี่แน่น

มิใช่กระบี่ไร้ราคีแต่เป็นกระบี่นักพรตของเขาเอง

เฉินฉางเซิงกำลังจะลุกขึ้น มือขวาตกลงระหว่างต้นไม้ที่หัก

ทันใดนั้นมือของเขาก็สัมผัสเข้ากับวัตถุแข็ง ๆ อย่างหนึ่ง

……

……