เพียงหวังจือเช่อยื่นนิ้วออกมาเพียงนิ้วเดียว เขาก็สามารถสังหารถังซานสือลิ่วได้อย่างง่ายดายราวกับบีบมดให้ตายคามือ หรืออาจจะเกินจริงไปหน่อย
ถ้าเขายื่นนิ้วออกมาสองนิ้ว เช่นนั้นก็ต้องสามารถสังหารถังซานสือลิ่วได้ง่ายยิ่งขึ้นแน่นอน
อย่างไรเสียความแตกต่างของความสามารถที่แท้จริงของขั้นเทพศักดิ์สิทธิ์ระหว่างทั้งสองคนนั้นก็ห่างไกลกันมากมายนัก
ถังซานสือลิ่วมิอาจข่มขู่หวังจือเช่อได้ ต่อให้อยากจะหาที่ตายต่อหน้าหวังจือเช่อก็ยังไม่ง่ายเลย
กระบี่เวิ่นสุ่ยถูกนิ้วมือทั้งสองของหวังจือเช่อคีบไว้และไม่สามารถขยับได้ ไม่แม้แต่จะกระดิกสักนิดเดียว
ทันใดนั้นการฆ่าตัวตายที่น่าสมเพชนี้ก็กลายเป็นภาพเช่นนี้ และมันก็ค่อนข้างดูน่ากระอักกระอ่วนไปเสียหน่อย
แต่ถังซานสือลิ่วกลับไม่ได้มีความรู้สึกกระอักกระอ่วนใด ๆ เขายังเลิกคิ้วขึ้นเสียด้วยซ้ำ
ความหมายของการเลิกคิ้วนั่นก็คือการท้าทาย
เจตนาของเขาชัดเจนยิ่งนัก
หากเขาต้องการตายจริง ๆ ก็มีวิธีการมากมาย และการใช้กระบี่ฆ่าตัวตายเป็นวิธีการที่ไร้ประสิทธิภาพที่สุดอย่างไม่ต้องสงสัย
เขาก็เพียงอยากจะรอให้หวังจือเช่อขัดขวางเขา เพื่อที่เขาจะได้ต่อรองเงื่อนไขอย่างไรเล่า
หวังจือเช่อมองไปที่เขาพลางกึ่งยิ้มกึ่งหัวเราะก่อนเอ่ย “ศิลาก้อนนี้ให้เจ้าไปก็ไม่มีประโยชน์”
ถังซานสือลิ่วมองสีหน้าเขาก็เข้าใจได้
ด้วยขั้นเทพศักดิ์สิทธิ์ของเขาในตอนนี้ ต่อให้ถือศิลาสีดำนี้ก็เข้าสวนโจวไม่ได้ และก็ช่วยเฉินฉางเซิงไม่ได้ด้วยเช่นกัน
ถังซานสือลิ่วเอ่ยอย่างจริงใจว่า “อย่างนั้นก็รบกวนท่านช่วยได้หรือไม่”
หวังจือเช่อไม่ได้เอ่ยคำใด
ถังซานสือลิ่วเอ่ยต่อ “ข้าทราบดีว่าสถานการณ์ของเขาในตอนนี้ต้องแย่มากแน่ ๆ”
สายตาของหวังจือเช่อทอดตกลงบนศิลาสีดำก้อนนั้น ก่อนเอ่ย “ไม่ผิด ตอนนี้เขากำลังเผชิญหน้ากับการต้องเลือก ในสิ่งที่ยากลำบากที่สุด”
ถังซานสือลิ่วเงียบไปครู่หนึ่งก่อนเอ่ยว่า “เขาเป็นคนดี”
ยามที่เอ่ยประโยคนี้ สีหน้าอารมณ์ของเขามีความจริงจังมากอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน
หวังจือเช่อเอ่ย “ใช่แล้ว”
ถังซานสือลิ่วมองสบตาเขาก่อนเอ่ยขึ้นว่า “คนดีไม่ควรจะต้องใช้ชีวิตอย่างยากลำบากเช่นนี้”
หวังจือเช่อเอ่ย “มันไม่เกี่ยวอะไรกับความดีความเลว”
ถังซานสือลิ่วผิดหวังและโกรธเคืองมาก
เขาเอ่ยอย่างเยาะเย้ยว่า “ใช่สิ นี่มันไม่เกี่ยวอะไรกับความดีความเลว มันเกี่ยวข้องกับความอ่อนแอและความแข็งแกร่งเท่านั้น สุดท้ายแล้วมันก็เป็นเพียงคนแข็งแกร่งรังแกคนอ่อนแอกว่า”
หวังจือเช่อส่ายหน้าก่อนเอ่ยว่า “ทุกคนล้วนต้องรับผิดชอบในสิ่งที่ตนเลือก”
ถังซานสือลิ่วหัวเราะอย่างเย้ยหยันก่อนเอ่ย “เช่นนั้นเหตุใดจึงเป็นเขาที่ต้องเลือกมาโดยตลอด เหตุใดจึงไม่ใช่พวกท่านที่เป็นคนเลือก”
หวังจือเช่อเอ่ยตอบ “ซางสิงโจวรับปากว่าจะต่อสู้กับเขา เดิมทีนี่ก็เป็นตัวเลือกที่ถูกบีบบังคับให้ทำ”
ถังซานสือลิ่วเอ่ย “การเลือกนั้นซับซ้อนเกินไป พวกท่านเองก็ควรจะคิดให้มันง่ายกว่านี้”
หวังจือเช่อเอ่ย “อย่างเช่น”
ถังซานสือลิ่วเอ่ย “พวกท่านสามารถเลือกที่จะไปตายเสีย หรือไม่ก็ไปตายเสีย”
หวังจือเช่อหัวเราะเบา ๆ ก่อนถาม “ยังมีตัวเลือกอื่นอีกหรือไม่”
ถังซานสือลิ่วตอบ “พวกท่านยังสามารถเลือกได้ว่าจะถูกไฟเผาตาย จมน้ำตาย ถูกกระบี่นับหมื่นแทงทะลุหัวใจ หรือถูกประหารชีวิตด้วยการตัดชิ้นส่วนมือและเท้า”
นี่ไม่ใช่ประโยคบอกเล่าแต่เป็นประโยคคำสั่ง หรือจะเรียกว่าเป็นการสาปแช่งก็ได้ น้ำเสียงที่สงบและไร้คลื่นสูงต่ำนี้ มีเต็มไปด้วยความเกลียดชังรุนแรงอยู่ในนั้น
แต่สิ่งเหล่านี้ล้วนมีที่มาจากความจนตรอก
เมื่อมองไปที่น้ำแข็งบาง ๆ และจอกแหนบนน้ำของปีที่แล้ว ถังซานสือลิ่วก็รู้สึกเหนื่อยล้าเล็กน้อย
จะพ่ายแพ้ไปอย่างนี้ใช่หรือไม่
เขาไม่เต็มใจจริง ๆ
เขาไม่เต็มใจแทนเฉินฉางเซิง
จู่ ๆ เขาก็ตะโกนก้องกับท้องฟ้า
“ท่านนี่กลายเป็นสุนัขตาบอดไปแล้ว”
……
……
ในตรอกไป๋ฮวานั้นวุ่นวายเล็กน้อย ไม่รู้ว่าจะได้ยินคำพูดนั้นของถังซานสือลิ่วหรือไม่
แต่สวนร้อยหญ้าที่มีเพียงกำแพงกั้นระหว่างสำนักฝึกหลวงได้ยินชัดเจนยิ่งนัก
อวี๋เหรินไม่รู้ว่าเกิดเรื่องอันใดขึ้น และถามด้วยสายตาของเขา
“ถังถังอยากก่อกวนการตัดสินใจของท่านหวังหรือ”
สวีโหย่วหรงเอ่ย “หากเป็นไปได้ เขาก็จะใช้กลวิถีที่เคยใช้เมื่ออยู่ในจวนเดิมเมืองเวิ่นสุ่ยในการบังคับให้ท่านหวังประนีประนอม”
นี่คือบทสนทนาระหว่างปู่ย่าตายายและลูกหลาน ฉากนั้นที่เคยเกิดขึ้น ณ โต๊ะเล่นไพ่
เขาไม่เสียดายหากจะต้องทำลายตระกูลถังเสีย แน่นอนว่าไม่มีทางสนใจไพร่ฟ้าใต้หล้าเช่นกัน
แต่เห็นได้ชัดเจนว่านี่ยังคงไม่เพียงพอที่จะพูดให้หวังจือเช่อหวั่นไหวหรือโน้มน้าวหวังจือเช่อได้
แม้กระทั่งคำพูดที่เขาต้องการจะเอ่ยออกมาเพื่อข่มขู่ก็ยังไม่สามารถเอ่ยออกมาได้
ความพยายามของถังซานสือลิ่วก็ล้มเหลวเช่นกัน
ในตาของสวีโหย่วหรงปรากฏความกังวล
มือซ้ายของนางกำไข่มุกศิลาทั้งห้าเม็ด
ไข่มุกศิลาทั้งห้าเม็ดเดิมทีก็คือแผ่นป้ายอนุสรณ์คัมภีร์สวรรค์ทั้งห้าที่อยู่ในสวนโจว คือส่วนหนึ่งของค่ายกลนั้นที่เป็นของโจวตู๋ฟู
ในช่วงหนึ่งก่อนหน้านี้ มีการเคลื่อนไหวบางอย่างเกิดขึ้นกับไข่มุกศิลาทั้งห้าเม็ด นั่นทำให้นางทราบได้ถึงสถานการณ์ภาพรวมในสวนโจว
นางทราบดีว่า เฉินฉางเซิงกำลังเผชิญหน้ากับการต้องเลือก
และนางก็ทราบดีว่า เฉินฉางเซิงจะเลือกอย่างไร
หรือแม้แต่ทราบก่อนที่เขาจะตัดสินใจเสียด้วยซ้ำ
สำหรับเฉินฉางเซิงแล้ว สิ่งนี้ไม่ได้ยากอย่างที่หวังจือเช่อว่าไว้
เนื่องจากนางเข้าใจในตัวเฉินฉางเซิง
อวี๋เหรินเองก็เข้าใจเฉินฉางเซิงเป็นอย่างดี
ดังนั้นเขาเองก็ทราบเช่นกันว่าเฉินฉางเซิงจะเลือกอย่างไร
และนั่นหมายความว่า เฉินฉางเซิงพ่ายแพ้แล้ว
……
……
ทุกตรอกซอกซอยในเมืองหลวง ทุกจวนที่พักอาศัย ล้วนได้ยินถึงเสียงดังนั้นที่ติดตามมา
ริมทะเลสาบเกิดคลื่นลมถาโถมอย่างบ้าคลั่ง เศษหิมะที่โปรยปรายรวมถึงต้นหญ้าตายแล้วสีเหลือง อีกทั้งโคลนเหนียวถูกพัดจนปลิวกระทบกับกำแพงและต้นไม้ เกิดเป็นเสียงดังโครมคราม
ทะเลสาบม้วนตัวสั่นสะเทือน กองหิมะพุ่งแหวกอากาศขึ้นมา แล้วก็ตกลงมาดังซู่ซ่า
ทั้งสำนักฝึกหลวงถูกปกคลุมไปด้วยพายุฝนที่โหมกระหน่ำอย่างกะทันหัน
ทันใดนั้นร่างสองร่างก็ปรากฏตัวท่ามกลางสายฝนที่ตกหนัก
เฉินฉางเซิงและซางสิงโจว
ท้องฟ้าสว่างวาบขึ้นราวกับสายฟ้าฟาด
ด้วยแสงสว่างที่ส่องให้เห็นพายุฝนอันมืดมิดนั้น ทำให้สามารถมองเห็นได้ว่ามือของซางสิงโจวกระแทกเข้ากับหน้าอกของเฉินฉางเซิง
เฉินฉางเซิงถูกกระแทกจนปลิวออกไปในอากาศราวกับก้อนหินก้อนหนึ่ง เขาไปกระแทกเข้ากับต้นไม้ใหญ่นับสิบต้นและตกลงไปในส่วนลึกของป่าใหญ่
ติดตามมาด้วยเสียงแตกหัก ต้นไม้ใหญ่กระแทกเข้ากับพื้นดินสะเทือนเลือนลั่น
ถังซานสือลิ่วถือกระบี่เวิ่นสุ่ยไว้และเตรียมพุ่งออกไป มือซ้ายที่ซ่อนไว้ในแขนเสื้อจับอาวุธสำคัญเอาไว้
เกิดเสียงปังเบา ๆ ขึ้น
นิ้วของหวังจือเช่อกดอยู่ที่หว่างคิ้วของเขา
ถังซานสือลิ่วไม่สามารถขยับได้
ทันใดนั้นก็เกิดเปลวไฟสีแดงทองขึ้นสองสายในสวนร้อยหญ้า
สวีโหย่วหรงหายตัวไปจากตรงนั้น
หวังจือเช่อไม่ได้หันกลับไปมอง นิ้วหนึ่งชี้แหวกอากาศไปด้านหลัง
เบื้องหลังของเขาคือกำแพงสำนักฝึกหลวง
ปรากฏช่องโหว่ขึ้นบนกำแพงสำนักฝึกหลวง
ร่องรอยซากปรักหักพังของอิฐและประตูไม้นั้นตกลงบนพื้นอย่างเงียบ ๆ
สายลมยังคงวนเวียนอยู่อย่างนั้น ดูอ่อนโยน แต่กลับผ่านไปไม่ได้
ปีกนกสีขาวบริสุทธิ์ร่วงหล่นลงมาจากบนท้องฟ้าที่ว่างเปล่า
สวีโหย่วหรงปรากฏร่างออกมา
ในทันทีหวังจือเช่อจู่ก็รับรู้ได้ถึงบางสิ่งและหันกลับไปมอง
สายตาของเขาไม่ได้มองไปยังร่างของสวีโหย่วหรง แต่เป็นเบื้องหลังของนาง
สวนร้อยหญ้ายังคงเงียบสงบและสวยงามดั่งเมื่อหลายร้อยปีก่อน
ไม้เท้าอันหนึ่งวางอยู่บนขอบโต๊ะศิลาอย่างเงียบ ๆ
……
……
ต้นไม้ใหญ่แตกกอ กิ่งไม้สดกระจัดกระจายไปทั่วทุกหนแห่งราวกลีบดอกไม้
เฉินฉางเซิงนั่งพิงไปยังต้นไม้ที่หัก เอาแต่ไอไม่หยุด
ซางสิงโจวเอ่ยถาม “เจ้ายังคงยืนยันว่าการเลือกนั้นมีความหมายใช่หรือไม่”
เฉินฉางเซิงตอบ “ใช่แล้ว เพราะทางที่เลือกจะเป็นตัวกำหนดว่าเราคือผู้ใด”
ซางสิงโจวนิ่งเฉย
จริงอย่างที่เฉินฉางเซิงเอ่ย
หากตอนนี้เป็นสวีโหย่วหรงหรือถังซานสือลิ่วที่อยู่ในสวนโจว เขาไม่มีทางให้โอกาสอีกฝ่ายได้เลือกแน่นอน
เขาให้เฉินฉางเซิงได้เลือก ก็เพราะเขาทราบดีกว่า เฉินฉางเซิงจะเลือกอย่างไร
เนื่องด้วยเหตุนี้ เฉินฉางเซิงก็ยังคงเป็นเฉินฉางเซิง
ดังนั้น การเลือกจึงมีความหมาย
แต่การต่อสู้ในตอนนี้ไม่ได้มีความหมายอะไรแล้ว
เฉินฉางเซิงยังพอลุกไหว แต่ทุกอย่างได้ถูกลิขิตเอาไว้แล้วว่าไม่มีทางเอาชนะได้
เขาที่เลือกจะออกจากสวนโจวไป ก็เท่ากับละทิ้งความหวังสุดท้ายที่จะเอาชนะได้ไปแล้ว
สีหน้าของซางสิงโจวเย็นชา “ยอมแพ้เถิด”
น้ำเสียงของเฉินฉางเซิงเรียบง่ายยิ่งนัก “ไม่”
ซางสิงโจวเงียบชั่วขณะ มือขวากุมกระบี่แน่น
มิใช่กระบี่ไร้ราคีแต่เป็นกระบี่นักพรตของเขาเอง
เฉินฉางเซิงกำลังจะลุกขึ้น มือขวาตกลงระหว่างต้นไม้ที่หัก
ทันใดนั้นมือของเขาก็สัมผัสเข้ากับวัตถุแข็ง ๆ อย่างหนึ่ง
……
……